เรื่องราวจากสงครามที่ไม่ธรรมดา

พัดสงครามที่เรียกว่า "กุนไบ"


หนึ่งในอาวุธที่ไม่ธรรมดาของญี่ปุ่นก็คือ พัดสงครามที่เรียกว่า "กุนไบ" หรือ "กุมไบ" (Gunbai,gumbai - 軍配 ) เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงเครื่องใช้เพื่อบรรเทาความร้อนของเหล่าขุนศึกเท่านั้น หากแต่มันยังถูกใช้เป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องส่งสัญญาณทัพ หรือแม้แต่เป็นอาวุธป้องกันตัวในระยะประชิดอีกด้วย
เพราะว่ากุนไบนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากของแข็งอย่างแผ่นไม้เนื้อแข็งที่กรุขอบด้วยเหล็ก หรือแม้แต่เป็นแผ่นเหล็กทั้งชิ้นก็มี แล้วลงรักเขียนลายอย่างงดงาม จนทำให้มันกลายเป็นอาวุธที่บ่งบอกถึงฐานันดรโดยอ้อมด้วย เพราะคนที่จะใช้มันได้ก็มีแต่ขุนศึกชั้นผู้บัญชาการเท่านั้น

หากถามความแกร่งของมันแล้ว เคยมีปรากฏหลักฐานว่าในสงครามทุ่งคาวานะคาจิมะครั้งที่ 4 (the 4 th battle of kawanakajima) นั้น เจ้าผู้ครองแคว้นคาอิ - ทาเคดะ ชินเง็น - เคยใช้พัดเหล็กรับคมดาบทาชิที่ฟันลงมาจากหลังม้าของเจ้าผู้ครองแคว้นเอจิโงะ - อุเอสึงิ เคนชิน - ได้ถึง 3 ดาบ โดยที่พัดใบนั้นมีเพียงรอยขีดข่วนเท่านั้น  ของธรรมดาที่ไหนล่ะนั่นน่ะ...
Cr.ประวัติศาสตร์ฮาเฮ

"พลั่ว"เครื่องมือที่ไม่ธรรมดา


"พลั่ว"เครื่องมือไม่ธรรมดา ที่"ทหารจีน"ใช้เป็นทั้งเครื่องมือและ"อาวุธ"สารพัดประโยชน์จนคาดไม่ถึง

 "พลั่ว" เป็นเครื่องมือของทั้วไปชาวบ้านที่ใช้ในการขุด แต่สำหรับ "ทหารจีน" มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น โดยมีการนำมาดัดแปลงให้มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงมากขึ้น แต่หน้าตายังคงเดิม เพื่อใช้เป็นทั้ง "อาวุธ" และเครื่องมือ   

โดยทำการผลิตออกมาใช้มากถึง 3 รุ่นแล้ว แต่ที่นิยมใช้กันมากคือพลั่วรุ่นแรก ตั้งแต่ช่วงที่มีการทำสงครามพลั่วกลายเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็นทางการทหารมาก เพราะต้องใช้ในการสร้างป้อมปราการ ขุดคูน้ำ ขุดดิน ใช้ตั้งแคมป์ เป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายฉุกเฉิน ขุดเตาอาหาร หั่นผัก หรือแม้กระทั่งทอดไข่   
การริเริ่มใช้พลั่วของทหารจีนนั้นเริ่มมาจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต โดยมีการนำพลั่วธรรมดามาใช้แต่มันมีด้ามยาวจับและพกพาไม่สะดวก จึงมีการปรับปรุงพลั่วให้มีขนาดสั้นลง ทั้งยังเจารูสำหรับร้อยเชือกให้แขวนได้เพื่อความสะดวกในการพกพาและใช้งาน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้ด้านหนึ่งเป็นคมมีดที่สามารถตัดลวดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 มิลลิเมตรได้อย่างสบาย เพื่อใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับศัตรูนั่นเอง
 
และถึงแม้พลั่วจะกลายเป็นทั้งเครื่องมือและอาวุธที่สำคัญสำหรับทหารจีน แต่ก็ใช่ว่าทหารทุกคนจะมีครอบครอง ส่วนใหญ่แล้วจะมีเฉพาะทหารช่าง ทหารงานขนย้าย และทหารปืนใหญ่ โดยพวกเขามักจะเสียบพลั่วไว้ที่กระเป๋าเป้เสมอเพื่อความสะดวกในการพกพาและใช้งาน 
เรียกว่ามีอาวุธดีมีชัยไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว ไม่เคยคิดเลยว่าสำหรับทหารพลั่วจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้เป็นทั้งอาวุธและเครื่องมือ... 
Cr.ข้อมูลและภาพประกอบจาก "China Xinhua News"
 
 

 

“Reckless” ม้าฮีโร่ในสงครามเกาหลี 


ในสงครามเกาหลีนั้น สหรัฐอเมริกาได้รบต้านทานศัตรูที่ด่านเวกัสในขณะกำลังถอยทัพ เสียงแห่งการต่อสู้ดังราวกับ “ทอร์นาโด 20 ลูกกำลังถาโถม” ที่เกิดจากอาวุธยุโธปกรณ์ของกองทัพเรือซึ่งกำลังขับไล่กองทัพจีนออกไปในวันที่ 27 มีนาคม 1953

การเดินทางไปมา 51 รอบเพียงลำพัง ผ่านทุ่งนาไร้ผู้คน ผ่านเขาชัน ต่อสู้กับธรรมชาติจนคอและขาล้าเต็มทีก็เพื่อนำกระสุนมาส่งให้แก่หน่วยรบ โดยทหารในกองทัพรู้ดีถึงวีรกรรมกล้าหาญของทหารที่ไม่ธรรมดาผู้นี้ เพราะว่ามันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็น “ม้า”

ม้าตัวนี้ชื่อ “Reckless” ตลอดชีวิตในสมครามของมัน มันได้ขนของไปมาบนเขา และอพยพผู้บาดเจ็บลงเขาไปรักษา มันโดนกระสุนเข้าสองนัด และมีครั้งหนึ่งที่มันสวมชุดป้องกันและได้เข้าไปปกป้องทหาร 4 นายจากสะเก็ดระเบิด

แรกเริ่มมันเกิดในสนามม้ากรุงโซล ประเทศเกาหลี มีขนสีน้ำตาล ซึ่งมันเคยมีชื่อว่า “Ah Chim Hai” แปลว่า “เปลวเพลิงแห่งรุ่งอรุณดิ์” ถูกกำหนดให้เป็นม้าแข่ง แต่เมื่อเกิดสงครามเกาหลี เจ้าของเดิมของมันจึงได้รับผลกระทบ และต้องการเงินมาช่วยเหลือพี่น้องของ Reckless ที่เสียขาไปจากการเหยียบระเบิด
Reckless ถูกสอนให้ก้าวข้ามลวดหนามและสายโทรศัพท์  นอกจากนี้มันสามารถหลบเข้าบังเกอร์หากได้ยินคำว่า “Incoming!!” และมันยังหาทางไปหาทหารแต่ละนายได้ด้วยตัวของมันเอง แถมยังเข้าใจสัญญาณมืออีกด้วย
มันเป็นม้าสงครามที่ไม่ธรรมดา  มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ เพราะไปไหนมาไหนกับกองทัพตลอดเวลา ทั้งกินทั้งนอนก็ทำร่วมกับกองทัพเช่นกัน

Reckless ก็ได้รับยศจ่าในวันที่ 10 เมษายน 1954 กลายเป็นสัตว์ตัวเดียวที่ได้ยศอย่างเป็นทางการในกองทัพเรือ Reckless กลับมาถึงอเมริการในเดือนพฤศจิกายน 1954 และสังกัดอยู่ในค่าย Pendleton ในแคลิฟอร์เนีย มันได้รับการเลื่อนยศและออกลูกมา 4 ตัว สุดท้ายได้ตายลงในปี 1968 ซึ่งลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งและจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติที่มันควรจะได้รับ (ที่มา: History)
Cr.catdumb.com/

"ทีมสุภาพสตรีฟุตบอลหญิง"


แฟนบอลจำนวนมหาศาลมาเพื่อตั้งใจดูการแข่งขันของทีมฟุตบอลหญิงทีมหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นถือเป็นช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของเหล่าแข้งสาวก่อนจะโดนหยุดพัฒนาการไปถึง 50 ปี ในอีก 12 เดือนให้หลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 ฟุตบอลลีกไม่สามารถแข่งขันได้ เหล่าผู้ชายอกสามศอกต้องเข้ารับราชการทหาร ไปรบเพื่อประเทศชาติและอุดมการณ์
สิ่งที่ตามมาเมื่อมีสงครามคือความต้องการอาวุธ ยุทโธปกรณ์ในระดับสูง เมื่อผู้ชายไปแนวหน้าหมดแล้ว หน้าที่ในโรงงานผลิตเหล่านี้ย่อมตกเป็นของผู้หญิงที่อยู่แนวหลัง
ประเมินกันว่าผู้หญิงราว 700,000 คน เข้ามาทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ ยุทโธปกรณ์ เพื่อส่งไปให้กองทัพสหราชอาณาจักรใช้รบในสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้
เหมือนย้อนไปหลายสิบปีก่อนหน้านั้น สโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อล เริ่มต้นจากกลุ่มคนงานชายของโรงงานผลิตอาวุธ ผลิตกระสุน ที่ตั้งอยู่ตรงไดอั่ล สแควร์ เขตวูลิช ริมแม่น้ำเทมส์  กลุ่มชายหนุ่มเหล่านั้นเคยใช้เวลาว่างช่วงพักเบรกเตะฟุตบอลเพื่อแก้ความเบื่อหน่าย เริ่มจากการเตะที่ไม่ได้มีความจริงจังอะไร แต่มันค่อยๆ เข้มข้นขึ้น  เหล่าหญิงสาวแนวหลังในโรงงานผลิตอาวุธเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 นี่ก็เช่นกัน พวกเธอใช้เวลาพักเที่ยงเตะฟุตบอลกัน

ดิ๊ค, เคอร์ แอนด์ โค (Dick, Kerr & Co.) คือโรงงานผลิตหัวรถไฟและอาวุธ ตั้งอยู่ที่เปรสตัน, แลงคาเชียร์ ที่นี่ก็เหมือนกับอีกหลายโรงงานช่วงสงคราม เมื่อสาวๆ ใช้เวลาพักหวดลูกหนังโบราณ แบบเดียวกับที่ผู้ชายเคยทำมาก่อน  ในช่วงปี 1917 ความต้องการอาวุธ  และเครื่องกระสุนลดลง เวลาว่างมีมากขึ้น ทีมหญิงที่เตะมาอย่างต่อเนื่อง ลงแข่งเล่นๆ กับพวกคนงานชาย และเอาชนะได้ด้วย

อัลเฟร็ด แฟรงค์แลนด์ เสมียนของโรงงาน  ตัดสินใจฟอร์มทีมขึ้นมาอย่างเป็นทางการ  และตั้งชื่อทีมตามชื่อโรงงานว่า "ดิ๊ค, เคอร์ เลดี้ส์" - "ทีมสุภาพสตรีคิ๊ค, เคอร์"  ในวันคริสต์มาส 1917 พวกเธอก็เอาชนะ อารันเดล คูลธาร์ด  ทีมหญิงของอีกโรงงาน ไปได้ 4-0 เกมนัดนี้แข่งกันที่ ดีพเดล สนามของเปรสตัน นอร์ธเอนด์ ท่ามกลางสักขีพยาน 10,000 คน

ความนิยมใน ดิ๊ค, เคอร์ เลดี้ส์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงแรกคนมองกันว่าเป็นแค่ของแปลกที่มีผู้หญิงตั้งทีมฟุตบอลกันเป็นเรื่องเป็นราว พวกเธอตระเวนเตะเกมกระชับมิตรหลายนัดในปี 1918 เพื่อหาเงินมาช่วยเหลือ "สมาคมทหารและกะลาสีผู้พิการและปลดประจำการแห่งชาติ"  แน่นอนว่าพวกเธอชนะเกือบทุกเกม
ช่วงสงครามฟุตบอลถูกผ่อนปรนไป ฟุตบอลลีกของชายไม่มีแข่งขัน แต่เมื่อทุกอย่างสงบความกังวลเข้ามา สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ กังวลว่าความนิยมฟุตบอลหญิงจะกระทบต่อยอดผู้ชมฟุตบอลลีกของชาย
 5 ธันวาคม 1921 เอฟเอ ประกาศห้ามมิให้สโมสรสมาชิก อนุญาติให้มีการแข่งฟุตบอลหญิงในสนามของแต่ละสโมสร และห้ามมิให้ผู้ตัดสิน, ผู้กำกับเส้นไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟุตบอลหญิง

เหตุผลของเอฟเอ คือ อ้างหลักฐานทางการแพทย์ที่ว่าการแข่งฟุตบอลเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดกับผู้หญิง และถึงกับอ้างว่าการไปเตะเอาเงินเพื่อมาช่วยเหลือองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะทหารผ่านศึกนั้น มาไม่ครบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่หลังจากอังกฤษคว้าแชมป์โลกในบ้านตัวเองเมื่อปี 1966 จึงมีแนวคิดที่จะฟื้นฟูฟุตบอลหญิงขึ้นมา ในปี 1969 สมาคมฟุตบอลหญิงถูกก่อตั้งจนได้
มีการบันทึกไว้ว่า นี่คือทีมฟุตบอลหญิงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุครุ่งเรืองของฟุตบอลหญิง 
Cr.cheerball.com/

เด็กสาวผู้ลอบสังหารนาซี


ในปี 1940 ทหารนาซีได้บุกเนเธอร์แลนด์ก่อนที่จะได้รับชัยชนะและปกครองประเทศไปเป็นเวลานาน
ทำให้ Freddie Oversteegan ตอนนั้นอายุได้เพียงราวๆ 14 ปี เข้าร่วมกองกำลังต่อต้านของชาวดัตช์ เริ่มต้นจากการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวต่อต้านนาซี ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในนักลอบสังหารของพวกเขาในเวลาเพียง 2 ปี
 
Freddie และเพื่อนๆ (พี่สาวกับเพื่อนอีกหนึ่งคน) ก็เริ่มทำงานโดยล่อทหารนาซีเยอรมันและผู้ให้ความร่วมมือชาวดัตช์มาสังหาร ด้วยความที่ดูเป็นเด็ก ไม่นาน Freddie และเพื่อนๆ กลายเป็นนักลอบสังหารที่ทำงานได้เป็นอย่างดี  ผลงานที่มีชื่อเสียงของพวกเธอคือการล่อนายทหาร SS ไปสังหารในป่า และการออกลงมือสังหารตามลำพังของพี่น้อง Oversteegan 

น่าเศร้าที่ในปี 1945 เพื่อนของพวกเธอถูกจับและประหารโดยทหารนาซี   หลังจบสงครามพี่สาวของ Freddie ต้องเผชิญกับความชอกช้ำทางจิตเป็นอย่างมาก กว่าสิ่งที่ Freddie และพี่สาวทำจะได้รับการยอมรับจากทางรัฐบาลก็ในปี 2014 เมื่อที่ทั้งคู่กลายเป็นหญิงชราไปแล้ว โดยพวกเธอได้รับรางวัล Mobilisatie-Oorlogskruis  เหรียญรางวัลที่มอบให้ทหารที่รับใช้ชาตินั่นเอง
Cr.catdumb.com/

ใช้ถ่านหุงข้าวให้รถวิ่งแทนน้ำมัน


ชีวิตคนไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  เมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยสะดวกสบายจะเกิดขัดข้องไปหมด เช่น การคมนาคม อาหารการกิน เสื้อผ้า ยารักษาโรค และของใช้บางอย่าง

เรื่องอาหารการกินจะขาดแคลนในสิ่งที่เราผลิตเองไม่ได้ เช่น แป้งสาลี น้ำตาลทราย ทำให้เราไม่มีบะหมี่กินในภาวะสงคราม มีแต่เส้นก๋วยเตี๋ยวเท่านั้น ร้านค้าที่เคยขายบะหมี่ได้ทดลองเอาหน่อไม้มาทำเป็นเส้นบะหมี่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมันต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้มันจะออกสีเหลืองเหมือนกัน แต่รสชาติจะคนละอย่าง เทียบกันไม่ได้เลย  ผู้ใดป่วยไข้ก็ใช้ยาสมุนไพรไปตามมีตามเกิด เคราะห์ดีก็หาย เคราะห์ร้ายก็เอาชีวิตไม่รอด

ชาวบ้านทั่วไปที่ใช้หุงต้มอาหารก็ใช้เชื้อเพลิงจากถ่านที่เผาใช้เองตามปกติ และรถยนต์ที่เคยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็ไม่มีน้ำมันใช้ ต้องใช้ถ่านหุงข้าวธรรมดา โดยปรับปรุงเครื่องทำความร้อนหลังรถ สามารถผลักดันให้เกิดความร้อนจนรถสามารถวิ่งได้ด้วยความร้อนจากถ่านหุงข้าวธรรมดา นับว่าชาวบ้านเป็นผู้มีความคิดปรับปรุงถ่านหุงข้าวเป็นพลังงานให้รถวิ่งได้ ฉะนั้นรถยนต์โดยสารแบบสองแถวขณะสงครามจะมีถังใหญ่อยู่หลังรถ แล้วปั่นด้วยมือหมุนจนเกิดพลังงานทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้โดยไม่มีน้ำมัน
Cr.silpa-mag.com/

Hacksaw  Ridge  (2016)
Director :  Mel  Gibson
 
เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่  2  ที่หยิบเอาเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของ  เดสมอนด์  ดอสส์   นายทหารแพทย์ท่ามกลางสนามรบบนหน้าผาแฮคซอว์  ที่สามารถช่วยชีวิตทหารที่ได้รับบาดเจ็บมากมายที่ติดอยู่บนเขาอันเต็มไปด้วยทหารญี่ปุ่นที่เป็นศัตรู ทั้งๆที่ไม่มีอาวุธติดตัวใด ๆ  เหตุการณ์นี้ทำให้  ดอสส์  กลายเป็นวีรบุรุษสงครามอีกคนที่น่ายกย่องในวีรกรรมที่นอกจากจะช่วยชีวิตคนได้มากมายแล้ว เขาก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครเลยแม้แต่คนเดียว
Cr.shuckmovie.com/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่