สวัสดีค่ะทุกคน เราวางแผนไปเที่ยวไต้หวันกันในช่วงปลายปี และเดินทางเมื่อ 15-20 พ.ย.ที่ผ่านมานี้เองค่ะ
เราขอสรุป การเดินทาง ของเราตั้งแต่เครื่องบิน รถไฟรถแท็กซี่ รถบัสเลยนะคะ ว่า เราใช้บริการอย่างไรบ้างค่ะ
เริ่มตั้งแต่ จองตั๋วเครื่องบิน อยู่ๆก็นึกอยากไป เพราะเห็น ตั๋วไปไต้หวันราคาหลักพัน คิดแบบนั้นได้ก็หาตั๋วเลย
ตอนนั้นเดือนมีนาคมหรือเมษายนนี่ละจำไม่ได้
เรา search ใน traveloka แล้วเห็นตั๋วราคาถูก ของ Thai Lion Air ประมาณ 5000 กว่าบาทและรวมน้องๆ ไปเที่ยวด้วยได้อีก 2 คน เลยตัดสินใจจอง ถือว่าราคาถูกมาก
แต่ต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ตอนแรกก็ซื้อคนเดียว 20 กิโลกรัมทั้งไปและกลับ คิดว่าไม่ซื้ออะไรเยอะ
ก็คุยกันว่า ของเอาไปไม่เยอะ กระเป๋าใบใหญ่ใบเดียวก็น่าจะพอ ยัดของรวมๆกันไป แกก็ไม่ต้องเอาอะไรไปเยอสิวะะะะ (สรุป!มันนี่แหละเกินโควต้าคนอื่นหมด5555)
พอใกล้เดินทาง น้องๆก็ตัดสินใจว่าน่าจะต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มเพราะจะเหมาของฝากกลับมา เลยจะถือกระเป๋าไปใส่ของ เลยซื้อขาไปเพิ่มอีก 10 กิโลกรัมและขากลับเพิ่มอีก 20 กิโลกรัม (รวมๆแล้วคือ ขาไป 30 กิโลกรัม แต่ขากลับ 60 กิโลกรัม เพราะตอนที่ไปถึงไต้หวันแล้ว เห็นของที่ซื้อก็รู้เลย จำเป็นจะต้องซื้อน้ำหนักเพิ่ม )
ส่วนราคาน้ำหนักถ้าซื้อเป็นแพคเกจ 10 กิโลกรัม 600 บาท , 20 กิโลกรัม 900 บาท โหลดกระเป๋ากี่ใบก็ได้ตามน้ำหนักที่เราซื้อ แต่ว่า 1 ใบหนักมากสุดคือ 32 กิโลกรัม ค่ะ (คิดเองว่าคนแบกคงแบกมากไม่ไหวมั๊ง!)
อ้อ..เรามีซื้อที่นั่งไปเพิ่มด้วยนะคะ ราคาที่นั่งละ100บาท
และคอนเฟิร์มที่นั่งตอนที่เจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาหา
ได้ที่นั่งแถวที่17ขาไป และ18ขากลับ เป็น3ที่ตรงกลาง นั่งสบาย เก้าอี้ก็ไม่แข็งมากไม่เล็กมากค่ะ
ที่นั่งไม่อยู่ลึกเกินไปถือว่าสะดวกมากๆเลย ขึ้นก็ใกล้ ลงก็โคตรใกล้5555
เราว่าคุ้มนะ จ่าย200บาท ได้ที่นั่งโอเค ไม่ต้องลำแบกอะไรมาก...ลำบาก!
ขาไปเดินทางตอนตีสาม ถือว่างอมมากเพราะก่อนไปนอนน้อยด้วย กะว่าไปนอนบนเครื่องที่ไหนได้ งีบอยู่แป้บนึง พอเห็นแสงก็ตื่นตามนาฬิกาชีวิตเลยค่ะ
ขากลับกลับตอน10.55 น. มาถึงบ่ายโมงครึ่งค่ะ
ส่วนราคาตั๋วบวกลบคุณหารแล้ว ถ้าเจออีวีเอแอร์หรือสายการบินอื่นที่ประมาณ8,000ก็ซื้อไปเหอะค่ะ
เพียงแต่ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลยแค่อยากไปและต้องถูกอย่างเดียว
เลยซื้อซะ "บทจะไปก็ไป!" .... อะไรแบบนั้น
ส่วนสายการบินอะไรจะถูกใจ แต่ละคนต้องไปพิสูจน์กันเอง
สำหรับเราที่ชอบอันนี้คือขึ้นลงที่ดอนเมือง ใกล้บ้านและก็ชอบไฟลท์กลับ มาถึงบ่ายสองกว่า (แม้ต้องตื่นตีสี่ครึ่งมาผลัดกันเข้าห้องน้ำอะนะ) แล้วทำงานต่อได้ 55555
อ้อ..ขากลับมีจองรถแท็กซี่ที่โรงแรมให้มารับ06.30น. เขาคิด1,000เหรียญ
ก็ถือว่า โอเคเลยเพราะว่า กระเป๋าใหญ่2ใบ กลาง1ใบ เล็ก2ใบ และเป้ติดตัวอีกคนละ1ใบ
คงลำบากเกินไปหากไปรถไฟ และมีน้องเตือนว่าการจราจรตอนเช้า(ทางรถไฟและรถยนต์) อาจติดขัดได้ ยังไงต้องเผื่อเวลาเลยแหละ
ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า เพราะแม้เผื่อไว้หลายชั่วโมง แต่แท็กซี่ส่งผิด พาไปลงเทอร์มินอล2 (คงเพราะพวกเราดูดี เขาคงคิดว่าเราไม่ได้มาแบบโลว์คอสต์สินะ5555)
เลยต้องพากันหาทางไปเทอร์มินอล1กันอย่างแตกตื่น5555 สุดท้ายเจอว่ามีรถไฟเชื่อมต่อให้ เฮ้อ!โล่งอก
ใครใส่รถเข็นกระเป๋าแล้วสามารถใช้รถเข็นลากขึ้นรถไฟได้เลยนะคะ
ไม่ต้องแบกขึ้นลงอย่างเราแล้วถึงรู้ทีหลังว่า...เวร..เอารถเข็นขึ้นรถไฟได้ด้วย เบาๆ 60กก.กันไป นางเก่งนางล่ำกันทั้งน้านนน
ตอนที่ไปถึง ก่อน07.30น. เคาน์เตอร์ก็ยังไม่เปิด ก็นั่งรอกันไป จนสามชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องบินออก เจ้าหน้าที่ก็มาให้บริการค่ะ
***เน้นว่าขากลับดูให้ดีว่าเป็นเทอร์มินอล1หรือ2นะคะ ส่วนมากไทยไลอ้อนแอร์ นกสกู๊ต ขึ้นลงที่เทอร์มินอล1ค่ะ***
เราพยายามไม่มีปัญหา เรื่องของกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องบินที่กำหนดไว้ว่าต้องเป็น 7 กิโลกรัม ก็เลย ซื้อแพคเกจไปเลยให้จบ และถือขึ้นเครื่อง ตามโควตาที่สายการบินกำหนด ก็ตัดปัญหาเถียงกันหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ไปเลยค่ะ
ส่วนการเดินทางเมื่อไปถึงสนามบินแล้วจะไปที่โรงแรมนั้น
ตอนแรก เราจองรถแท็กซี่ไปกับแพ็คเกจของตั๋วเครื่องบิน
แต่กลายเป็นว่าก่อนเดินทางประมาณ 3 วัน
คนขับส่งข้อความแจ้งว่าต้องคิด เงินเพิ่ม แต่ถ้าลดขนาดรถให้เล็กกว่าเดิม
ก็เพิ่มเงิน นิดหน่อย และมีบอกด้วยว่า ถ้าไปยกเลิกที่จองไว้แล้วมาเช่าเขา เขาจะคิดถูกกว่าที่จองไว้
ก็เห็นว่าไม่เป็นไปตามที่แจ้งไว้ว่าจะไม่คิดเงินเพิ่ม จึงส่งเมล์ไปยกเลิก แต่ไม่ได้รับคำตอบ
มีแต่เมล์อัตโนมัติเตือนมาว่า เราไม่ได้บอกเวลาไฟล์ทบิน
และทุกครั้งก็แจ้งยกเลิกการจองกลับไปแต่ไม่ได้รับคำตอบ
จนสุดท้ายต้องตำหนิกันยกใหญ่ จึงได้รับเมล์ยกเลิกการจองให้ ก็ยังโอเคอยู่
ใครที่จะจองรถด้วยวิธีนี้ ให้ตรวจสอบให้ดี ถึงสถานที่รับและส่ง เวลาที่รับ ราคา และขนาดของรถที่จะใช้รับเรา ว่าตรงตามที่เราได้จองไปหรือไม่
ถ้าไม่ตรงตามที่เราต้องการ ก็ให้รีบยกเลิกก่อนถึงวันเดินทางนะคะ ซัก 3-4 วัน ก่อนเดินทางก็น่าจะดี
สุดท้ายเมื่อไม่มีรถแท็กซี่ ไปรับที่สนามบิน
จึงต้องเปลี่ยนแผนว่าเดินทางโดยรถไฟเข้ามาที่โรงแรม
เราไปรถไฟและใช้อีซี่การ์ด(น้องอุปถัมภ์) ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้โดยสารรถสาธารณะ และจ่ายค่าสินค้าได้ในบัตรเดียว
เติมเงินที่สถานีรถไฟตรงสนามบิน ก่อนไปที่ชานชาลา จะมีตู้เติมเงินอัตโนมัติ มีอาสาสมัครคอยช่วยเหลืออยู่
เราจะใช้บัตรจ่ายเงินทั้งค่ารถและค่าซื้อของ จึงเติมเงินไป 2,000 บาท
แต่ความจริง ค่ารถทั้งรถเมล์และรถไฟ ราคาไม่แพง 1เที่ยวประมาณ 15 บาท ขึ้นไป เท่านั้นเองค่ะ
ถือว่าประหยัดค่าแท็กซี่ที่ขายโอ๊ตมา ขาละเกือบ 1,300 บาทได้เยอะทีเดียว เพราะค่ารถไฟไปที่พัก 160 บาทต่อคนเท่านั้น รวม 3 คน 480 บาท ประหยัดไปได้ 800 กว่าบาทเลยนะคะ
ส่วนการเดินทาง โดยรถบัส ได้ใช้อยู่ไม่กี่ครั้ง ก็ใช้Easy Card แตะที่เครื่อง เวลาขึ้น และก่อนจะลงรถ ก็แตะบัตรอีกครั้งนึง เราจะเห็นยอดคงเหลือแสดงไว้ค่ะ ไม่ยากเลย
ตอนที่จะเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งใช้ Google Map ที่บอกได้ถึง ประเภทของรถที่เราสามารถใช้เดินทางได้ บอกเวลาที่รถคันนั้นจะมาถึง บอกระยะที่เราต้องเดินไปต่อรถ บอกถึงขนาดที่ว่ามีสถานีอะไรบ้างที่เราต้องผ่านแต่ละจุด ไปถึงประมาณกี่โมงใช้เวลากี่นาที
สำหรับเราคิดว่า Google Map ตอบโจทย์เรื่องนี้มากถึงแม้จะมีบางครั้ง ที่เอ๋อๆ หรือสัญญาณ GPS หายอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่ชอบก็คือ รถสาธารณะของไต้หวัน ค่อนข้างตรงเวลา แม้รถบัสจะFAST8 อยู่บ้างก็ตาม5555
นี่คือวิธีที่พวกเราทุลักทุเลทัวร์ใช้เดินทาง ตอนไปเที่ยวนะคะ
เดี๋ยวจะมีตอนอื่นๆ ที่จะเล่าถึง เรื่องกินเรื่องเที่ยว เรื่องที่พัก ให้ฟังด้วยค่ะ อย่าลืมติดตามนะคะ😁
https://www.facebook.com/Oatztrip/
ซีรีส์ไต้หวัน ตอนที่1 "บทจะไปก็ไป!" (รวมสารพัดการเดินทางในทริปสไตล์เรา)
เราขอสรุป การเดินทาง ของเราตั้งแต่เครื่องบิน รถไฟรถแท็กซี่ รถบัสเลยนะคะ ว่า เราใช้บริการอย่างไรบ้างค่ะ
เริ่มตั้งแต่ จองตั๋วเครื่องบิน อยู่ๆก็นึกอยากไป เพราะเห็น ตั๋วไปไต้หวันราคาหลักพัน คิดแบบนั้นได้ก็หาตั๋วเลย
ตอนนั้นเดือนมีนาคมหรือเมษายนนี่ละจำไม่ได้
เรา search ใน traveloka แล้วเห็นตั๋วราคาถูก ของ Thai Lion Air ประมาณ 5000 กว่าบาทและรวมน้องๆ ไปเที่ยวด้วยได้อีก 2 คน เลยตัดสินใจจอง ถือว่าราคาถูกมาก
แต่ต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ตอนแรกก็ซื้อคนเดียว 20 กิโลกรัมทั้งไปและกลับ คิดว่าไม่ซื้ออะไรเยอะ
ก็คุยกันว่า ของเอาไปไม่เยอะ กระเป๋าใบใหญ่ใบเดียวก็น่าจะพอ ยัดของรวมๆกันไป แกก็ไม่ต้องเอาอะไรไปเยอสิวะะะะ (สรุป!มันนี่แหละเกินโควต้าคนอื่นหมด5555)
พอใกล้เดินทาง น้องๆก็ตัดสินใจว่าน่าจะต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มเพราะจะเหมาของฝากกลับมา เลยจะถือกระเป๋าไปใส่ของ เลยซื้อขาไปเพิ่มอีก 10 กิโลกรัมและขากลับเพิ่มอีก 20 กิโลกรัม (รวมๆแล้วคือ ขาไป 30 กิโลกรัม แต่ขากลับ 60 กิโลกรัม เพราะตอนที่ไปถึงไต้หวันแล้ว เห็นของที่ซื้อก็รู้เลย จำเป็นจะต้องซื้อน้ำหนักเพิ่ม )
ส่วนราคาน้ำหนักถ้าซื้อเป็นแพคเกจ 10 กิโลกรัม 600 บาท , 20 กิโลกรัม 900 บาท โหลดกระเป๋ากี่ใบก็ได้ตามน้ำหนักที่เราซื้อ แต่ว่า 1 ใบหนักมากสุดคือ 32 กิโลกรัม ค่ะ (คิดเองว่าคนแบกคงแบกมากไม่ไหวมั๊ง!)
อ้อ..เรามีซื้อที่นั่งไปเพิ่มด้วยนะคะ ราคาที่นั่งละ100บาท
และคอนเฟิร์มที่นั่งตอนที่เจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาหา
ได้ที่นั่งแถวที่17ขาไป และ18ขากลับ เป็น3ที่ตรงกลาง นั่งสบาย เก้าอี้ก็ไม่แข็งมากไม่เล็กมากค่ะ
ที่นั่งไม่อยู่ลึกเกินไปถือว่าสะดวกมากๆเลย ขึ้นก็ใกล้ ลงก็โคตรใกล้5555
เราว่าคุ้มนะ จ่าย200บาท ได้ที่นั่งโอเค ไม่ต้องลำแบกอะไรมาก...ลำบาก!
ขาไปเดินทางตอนตีสาม ถือว่างอมมากเพราะก่อนไปนอนน้อยด้วย กะว่าไปนอนบนเครื่องที่ไหนได้ งีบอยู่แป้บนึง พอเห็นแสงก็ตื่นตามนาฬิกาชีวิตเลยค่ะ
ขากลับกลับตอน10.55 น. มาถึงบ่ายโมงครึ่งค่ะ
ส่วนราคาตั๋วบวกลบคุณหารแล้ว ถ้าเจออีวีเอแอร์หรือสายการบินอื่นที่ประมาณ8,000ก็ซื้อไปเหอะค่ะ
เพียงแต่ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลยแค่อยากไปและต้องถูกอย่างเดียว
เลยซื้อซะ "บทจะไปก็ไป!" .... อะไรแบบนั้น
ส่วนสายการบินอะไรจะถูกใจ แต่ละคนต้องไปพิสูจน์กันเอง
สำหรับเราที่ชอบอันนี้คือขึ้นลงที่ดอนเมือง ใกล้บ้านและก็ชอบไฟลท์กลับ มาถึงบ่ายสองกว่า (แม้ต้องตื่นตีสี่ครึ่งมาผลัดกันเข้าห้องน้ำอะนะ) แล้วทำงานต่อได้ 55555
อ้อ..ขากลับมีจองรถแท็กซี่ที่โรงแรมให้มารับ06.30น. เขาคิด1,000เหรียญ
ก็ถือว่า โอเคเลยเพราะว่า กระเป๋าใหญ่2ใบ กลาง1ใบ เล็ก2ใบ และเป้ติดตัวอีกคนละ1ใบ
คงลำบากเกินไปหากไปรถไฟ และมีน้องเตือนว่าการจราจรตอนเช้า(ทางรถไฟและรถยนต์) อาจติดขัดได้ ยังไงต้องเผื่อเวลาเลยแหละ
ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า เพราะแม้เผื่อไว้หลายชั่วโมง แต่แท็กซี่ส่งผิด พาไปลงเทอร์มินอล2 (คงเพราะพวกเราดูดี เขาคงคิดว่าเราไม่ได้มาแบบโลว์คอสต์สินะ5555)
เลยต้องพากันหาทางไปเทอร์มินอล1กันอย่างแตกตื่น5555 สุดท้ายเจอว่ามีรถไฟเชื่อมต่อให้ เฮ้อ!โล่งอก
ใครใส่รถเข็นกระเป๋าแล้วสามารถใช้รถเข็นลากขึ้นรถไฟได้เลยนะคะ
ไม่ต้องแบกขึ้นลงอย่างเราแล้วถึงรู้ทีหลังว่า...เวร..เอารถเข็นขึ้นรถไฟได้ด้วย เบาๆ 60กก.กันไป นางเก่งนางล่ำกันทั้งน้านนน
ตอนที่ไปถึง ก่อน07.30น. เคาน์เตอร์ก็ยังไม่เปิด ก็นั่งรอกันไป จนสามชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องบินออก เจ้าหน้าที่ก็มาให้บริการค่ะ
***เน้นว่าขากลับดูให้ดีว่าเป็นเทอร์มินอล1หรือ2นะคะ ส่วนมากไทยไลอ้อนแอร์ นกสกู๊ต ขึ้นลงที่เทอร์มินอล1ค่ะ***
เราพยายามไม่มีปัญหา เรื่องของกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องบินที่กำหนดไว้ว่าต้องเป็น 7 กิโลกรัม ก็เลย ซื้อแพคเกจไปเลยให้จบ และถือขึ้นเครื่อง ตามโควตาที่สายการบินกำหนด ก็ตัดปัญหาเถียงกันหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ไปเลยค่ะ
ส่วนการเดินทางเมื่อไปถึงสนามบินแล้วจะไปที่โรงแรมนั้น
ตอนแรก เราจองรถแท็กซี่ไปกับแพ็คเกจของตั๋วเครื่องบิน
แต่กลายเป็นว่าก่อนเดินทางประมาณ 3 วัน
คนขับส่งข้อความแจ้งว่าต้องคิด เงินเพิ่ม แต่ถ้าลดขนาดรถให้เล็กกว่าเดิม
ก็เพิ่มเงิน นิดหน่อย และมีบอกด้วยว่า ถ้าไปยกเลิกที่จองไว้แล้วมาเช่าเขา เขาจะคิดถูกกว่าที่จองไว้
ก็เห็นว่าไม่เป็นไปตามที่แจ้งไว้ว่าจะไม่คิดเงินเพิ่ม จึงส่งเมล์ไปยกเลิก แต่ไม่ได้รับคำตอบ
มีแต่เมล์อัตโนมัติเตือนมาว่า เราไม่ได้บอกเวลาไฟล์ทบิน
และทุกครั้งก็แจ้งยกเลิกการจองกลับไปแต่ไม่ได้รับคำตอบ
จนสุดท้ายต้องตำหนิกันยกใหญ่ จึงได้รับเมล์ยกเลิกการจองให้ ก็ยังโอเคอยู่
ใครที่จะจองรถด้วยวิธีนี้ ให้ตรวจสอบให้ดี ถึงสถานที่รับและส่ง เวลาที่รับ ราคา และขนาดของรถที่จะใช้รับเรา ว่าตรงตามที่เราได้จองไปหรือไม่
ถ้าไม่ตรงตามที่เราต้องการ ก็ให้รีบยกเลิกก่อนถึงวันเดินทางนะคะ ซัก 3-4 วัน ก่อนเดินทางก็น่าจะดี
สุดท้ายเมื่อไม่มีรถแท็กซี่ ไปรับที่สนามบิน
จึงต้องเปลี่ยนแผนว่าเดินทางโดยรถไฟเข้ามาที่โรงแรม
เราไปรถไฟและใช้อีซี่การ์ด(น้องอุปถัมภ์) ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้โดยสารรถสาธารณะ และจ่ายค่าสินค้าได้ในบัตรเดียว
เติมเงินที่สถานีรถไฟตรงสนามบิน ก่อนไปที่ชานชาลา จะมีตู้เติมเงินอัตโนมัติ มีอาสาสมัครคอยช่วยเหลืออยู่
เราจะใช้บัตรจ่ายเงินทั้งค่ารถและค่าซื้อของ จึงเติมเงินไป 2,000 บาท
แต่ความจริง ค่ารถทั้งรถเมล์และรถไฟ ราคาไม่แพง 1เที่ยวประมาณ 15 บาท ขึ้นไป เท่านั้นเองค่ะ
ถือว่าประหยัดค่าแท็กซี่ที่ขายโอ๊ตมา ขาละเกือบ 1,300 บาทได้เยอะทีเดียว เพราะค่ารถไฟไปที่พัก 160 บาทต่อคนเท่านั้น รวม 3 คน 480 บาท ประหยัดไปได้ 800 กว่าบาทเลยนะคะ
ส่วนการเดินทาง โดยรถบัส ได้ใช้อยู่ไม่กี่ครั้ง ก็ใช้Easy Card แตะที่เครื่อง เวลาขึ้น และก่อนจะลงรถ ก็แตะบัตรอีกครั้งนึง เราจะเห็นยอดคงเหลือแสดงไว้ค่ะ ไม่ยากเลย
ตอนที่จะเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งใช้ Google Map ที่บอกได้ถึง ประเภทของรถที่เราสามารถใช้เดินทางได้ บอกเวลาที่รถคันนั้นจะมาถึง บอกระยะที่เราต้องเดินไปต่อรถ บอกถึงขนาดที่ว่ามีสถานีอะไรบ้างที่เราต้องผ่านแต่ละจุด ไปถึงประมาณกี่โมงใช้เวลากี่นาที
สำหรับเราคิดว่า Google Map ตอบโจทย์เรื่องนี้มากถึงแม้จะมีบางครั้ง ที่เอ๋อๆ หรือสัญญาณ GPS หายอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่ชอบก็คือ รถสาธารณะของไต้หวัน ค่อนข้างตรงเวลา แม้รถบัสจะFAST8 อยู่บ้างก็ตาม5555
นี่คือวิธีที่พวกเราทุลักทุเลทัวร์ใช้เดินทาง ตอนไปเที่ยวนะคะ
เดี๋ยวจะมีตอนอื่นๆ ที่จะเล่าถึง เรื่องกินเรื่องเที่ยว เรื่องที่พัก ให้ฟังด้วยค่ะ อย่าลืมติดตามนะคะ😁
https://www.facebook.com/Oatztrip/