7 สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ มหกรรมฟุตบอล ยูโร 2020

สำหรับแฟนฟุตบอลหลาย ๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า กลางปี 2020 ที่จะถึงนั้น จะมีการจัดการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปอย่าง มหกรรมฟุตบอล ยูโร 2020 ซึ่งจะเวียนมาบรรจบทุก ๆ 4 ปีด้วยกัน โดยในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 16 ที่ สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) จัดการแข่งขันรายการนี้ขึ้นนับตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา



วันนี้เราจึงนำเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวกับฟุตบอล ยูโร 2020 มาฝากกัน รวมถึงสถิติในอดีตที่ผ่านมา โดยจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย...

ยูโร 2020 รอบสุดท้าย เริ่มต้นเมื่อไหร่ ?

​​เช่นเดียวกับครั้งก่อน ๆ ที่ทัวร์นาเมนต์จะจัดขึ้นในช่วงกลางปี หลังโปรแกรมฟุตบอลลีกในยุโรปเสร็จสิ้น โดยในครั้งนี้จะใช้เวลาการแข่งขันหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคม 
 
ใครเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ?

นมหกรรมฟุตบอล ยูโร 2020 นี้ จะแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่ปกติจะมี "เจ้าภาพ" หนึ่งหรือสองประเทศ เป็นผู้จัดการแข่งขันตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์

​แต่ในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะมีสังเวียนฟาดแข้งถึง 12 สนามจาก 12 เมืองใน 12 ประเทศ เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ของการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ โดยจะประกอบด้วย

อัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) - โยฮัน ครัฟฟ์ อารีนา 
​บาคู (อาเซอร์ไบจาน) - โอลิมปิค สเตเดี้ยม 
​บิลเบา (สเปน) - ซาน มาเมส 
​บูคาเรสต์ (โรมาเนีย) - อารีนา เนชันนัล 
​บูดาเปสต์ (ฮังการี) - ปุสกัส อารีนา 
​โคเปนเฮเกน (เด็นมาร์ค) - พาร์เคน สเตเดี้ยม 
​ดับลิน (ไอร์แลนด์) - อาวีวา สเตเดี้ยม 
​กลาสโกว์ (สกอตแลนด์) - แฮมป์เดน พาร์ค 
​ลอนดอน (อังกฤษ) - เวมบลีย์ 
​มิวนิค (เยอรมนี) - อัลลิอันซ์ อารีนา 
​โรม (อิตาลี) - สตาดิโอ โอลิมปิโก 
​เซ็นต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย) - เครสดอฟสกี้ สเตเดี้ยม

ทีมใดบ้างที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน ?

​​ในรอบสุดท้ายกลางปี 2020 นั้น จะมีทีมที่ผ่านเข้าไปเล่นทั้งหมด 24 ประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีเพียง 16 ประเทศเท่านั้นที่จะได้สิทธิเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ในปี 2016 ได้มีการเปลี่ยนกฏและเพิ่มให้เป็น 24 ทีมมาจนถึงปัจจุบัน

โดยคัดเลือกจาก 2 ทีมที่อันดับดีที่สุดจาก 10 กลุ่มในรอบคัดเลือก และ คัดเลือกอีก 4 ทีมจากการเพลย์ออฟ

(ทีมที่ได้สิทธิเข้าร่วมแน่นอนแล้ว คือ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, เบลเยียม, ยูเครน, โปแลนด์, สเปน, สาธารณะรัฐเช็ก, ตุรกี, ฟินแลนด์, สวีเดน, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ออสเตรีย, โครเอเชีย, โปรตุเกส, สวิตเซอร์แลนด์, เดนมาร์ก และ เวลส์)

วิธีการแข่งขันในรอบสุดท้ายเป็นอย่างไร ?

จะมีการจับฉลากแบ่งสายกันในวันที่ 30 พฤศจิกายน นี้ โดยทั้ง 20 ทีมที่ผ่านเข้ารอบแบบอัตโนมัติและอีก 4 ทีมที่ต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟ จะถูกนำมาจัดให้เป็น 6 กลุ่ม เอ ถึง เอฟ โดยมีกลุ่มละ 4 ทีม

กลุ่ม เอ จะเล่นที่ โรม / บาคู
​กลุ่ม บี จะเล่นที่ เซ็นต์ ปีเตอร์สเบิร์ก / โคเปนเฮเกน
กลุ่ม ซี จะเล่นที่ อัมสเตอร์ดัม / บูคาเรสต์
กลุ่ม ดี จะเล่นที่ กลาสโกว์ / ลอนดอน
กลุ่ม อี จะเล่นที่ บิลเบา / ดับลิน
กลุ่ม เอฟ จะเล่นที่ มิวนิค / บูดาเปสต์

ซึ่งทีมที่จะได้เข้าสู่รอบน็อคเอาท์ต่อไปนั้น คือทีมอันดับที่ 1-2 ของแต่ละกลุ่ม และ อันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีม จึงจะได้สิทธิเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

เกมนัดเปิดสนาม จะเริ่มในวันที่ 12 มิถุนายน ที่สนาม สตาดิโอ โอลิมปิโก ใน กรุงโรม ประเทศอิตาลี
​เกมนัดชิงชนะเลิศ จะแข่งขันในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่สนาม เวมบลีย์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ทีมที่เคยเป็นแชมป์มากที่สุด

เยอรมนี 3 ครั้ง
สเปน 3 ครั้ง
ฝรั่งเศส 2 ครั้ง
เช็คโกสโลวาเกีย 1 ครั้ง
เดนมาร์ก 1 ครั้ง
กรีซ 1 ครั้ง
อิตาลี 1 ครั้ง
เนเธอร์แลนด์ 1 ครั้ง
โปรตุเกส 1 ครั้ง
สหภาพโซเวียด 1 ครั้ง



ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดในรอบสุดท้าย

คริสเตียนโน โรนัลโด้ 21 เกม
บาสเตียน ชไวน์สไตน์เกอร์ 18 เกม
จิอันลุยจิ บุฟฟอน 17 เกม
​เชส ฟาเบรกาส 16 เกม
อันเดรส อิเนียสต้า 16 เกม
​เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ 16 เกม
​ลิลิยอง ตูราม 16 เกม
ดาบิด ซิลบา 15 เกม
​ชูเอา มูตินโญ 15 เกม



ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดในรอบสุดท้าย

คริสเตียนโน โรนัลโด้ 9 ประตู
มิเชล พลาตินี 9 ประตู
​อลัน เชียร์เรอร์ 7 ประตู
​อองตวน กรีซมันน์ 6 ประตู
​เธียร์รี อองรี 6 ประตู
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช 6 ประตู
แพทริค ไคลเวิร์ต 6 ประตู
นูโน โกเมส 6 ประตู



credit : www.90min.com/th
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่