▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
อำเภออมก๋อย
จังหวัดเชียงใหม่
เดินทาง 9 ปี กว่าจะถึง อมก๋อย เชียงใหม่ บ้านแม่โขง อ่านแล้วยิ้มไปกับผม
นี่เป็นกระทู้แรกของผม
อยากเล่าเรื่องราวความรู้สึกดีดี จากการเดินทาง ที่ใช้เวลา 9 ปี กว่าจะถึง อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ให้คนอ่านได้ยิ้มไปด้วยกัน
เมื่อตอน ปี 2553 ที่ มหาลัยราชมงคลธัญบุรี ได้มีการจัดนิทรรศการ ได้มีงานต่างๆมากมายมาแสดงในงาน ผมก็เดินในงาน เจอการจัดการแสดงหนึ่งที่สะดุดตามากมีผู้ชายคนหนึ่ง ร่างใหญ่ผ้ามัดหัวมีหนวดหน่อย และเด็กชาวดอยใส่เสื้อผ้าชัดเจนว่าเขาเป็นคนดอย วาดรูปลายปากการูปบ้านของชาวบ้านผมมองเห็นความเป็นธรรมชาติในตัวเด็ก ที่ปนอยู่กับสายตา เสื้อผ้า รอยยิ้มการแสดงออกว่า เขาไม่คุ้นเคยกับเมืองและคน
ผมได้เดินเข้าไปคุยกับ ผช ร่างใหญ่ ซึ่งรู้ทีหลังว่าเขาเป็นคุณครูสอน ศิลปะ เขาเล่าความเป็นอยู่ชาวบ้าน เด็ก โรงเรียนให้ฟัง จนผมมีจิตใจแน่วแน่ว่าอยากเป็นครู อยากไปสอนอยากไปช่วยในส่วนที่ขาดที่เราช่วยได้ ผมขอที่อยู่นามบัตรจากคุณครู ได้นามบัตรลายเซนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมก็เคลือบเก็บไว้อย่างดี
เบอร์ที่ให้ไว้โทรไปไม่ติด ติดต่อไม่ได้ไม่รู้ว่ายังสอนอยู่ไหม ผมก็เข้าไปหาเบอร์ทะเบียนครูในโรงเรียน ยางเปา ที่ให้ไว้โทรเข้าเบอร์ ผอ. ผู้ช่วย ก็ไม่มีคนรับสาย สุดท้ายโทรเข้าเขต เล่าเรื่องรูปลักษณะสันฐาน จนสุดท้ายท้ายสุด ทุกคนเรียกว่าคุณครูเบิ้ม หรือคุณครู ชัยยศ สุขต้อ จากนั้นก็ได้เบอร์มา ก็ถามสารทุกข์สุขดิบ คุณครูเล่าว่า ไปล่องเรือเรือล่ม เพื่อนครูและภารโรง ตาย2 ตัวเองรอดมาได้ โทรศัพท์ตกน้ำหายหมด ทั้งผมและคุณครูต่างก็ดีใจที่ได้ติดต่อกันอีกครั้งหลังผ่านไป 7 ปี คราวนี้ก็ตั้งใจว่าจะไปต้องขึ้นไปดูต้องขึ้นไปเห็นว่าความลำบากบนดอย สิ่งที่ขาดสิ่งที่เราช่วยได้มีอะไร แต่ก็ยังมีอุปสรรค์เหมือนเดิม
ปีนั้นผมลาออกจากงาน อยากมีกิจการเป็นของตัวเองเหนื่อยชีวิตพนักงาน มาเปิดร้านขายราเมง ( เจ๊งไม่เป็นท่า หม้อก็ไม่เหลือ ) สู้ต่อมาเปิดบริษัท รับเหมาไฟฟ้า ปีแรกจะไปขอข้าววัดกินอยู่แล้ว ปี 2561 สู้ไม่ถอย มีแม่ทัพ และเพื่อนกำลังหลักช่วยร่วมรบ ปี 2562 ยังมีความคิดว่าจะขึ้นไป แต่ขอให้รวยก่อนขอให้มีเงินเก็บมากกว่านี้ก่อนค่อยขึ้นไป คิดแต่แบบนี้ไม่เคยรวย ไม่เคยพร้อมซักที จนวันหนึ่งคิดได้ว่า คำว่าพอ คือ = คำว่าพร้อม ชีวิตคนเรามันสั้นไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อนกัน ผมตัดสินใจเด็ดเดี่ยว บินเดี่ยวจองตั๋วเดินทาง เก็บของไปเชียงใหม่ ขึ้นสนามบินอู่ตะเภา วันที่ 15 พ.ย.2562 ผมเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน 04.00 น. คนเราที่สุดแล้วตัวเองต้องเป็นที่พึ่งของตน เราสามารถทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้ในบางเรื่อง ไม่ต้องอ้างว่ารอ...เพือน โชคชะตา และนั่นแสดงว่าเรามีกำลังพอที่ดูแลคนอื่นได้ด้วย จงอย่ากลัวความลำพัง ถ้าความลำพังนั้นไม่ใช่เป็นการทอดทิ้งจากใครๆ
พี่พาลาโปะ เป็นชาวกระเหรียงในหมู่บ้านคนแรกที่จบ ปริญญาตรี ศิลปศาสตร์ ราชมงคลล้านนา
บรรยากาศเยือกเย็น ที่นี่มีไฟจากการปั่นพลังงานน้ำ เปิดปิดเป็นเวลา วันไหนน้ำไหลน้อยก็ไม่มีไฟใช้ บ้านหนึ่งจะมีไฟหนึ่งหรือสองหลอด แค่เห็นแสงไฟในบ้าน รางๆ บริเวณโดยรอบ ไม่ต้องพูดถึงมืดสนิท ทางเดินในหมู่บ้านมืดสนิท ทุกคนนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ ที่ 100 %
ลมหนาวเบาๆ ดาวเต็มท้องฟ้า เงาของภูเขาล้อมรอบหมู่บ้าน
หมู ไก่ วัว ควาายเลี้ยงแบบปล่อย เดินไปเรื่อย บ้านไม่มีรั้ว ไม่รู้จะแก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยาอะไรกัน ที่นั่นไม่มีตำแหน่งไม่มีลาภยศ อะไรให้แสวงหา เพราะทุกคนต่างรอคอย ฝนให้ตกตาม ฤดูกาลเหมือนกัน
ผมไม่ได้รับรู้ถึงความเหนื่อยเมื่อยล้าอะไรเลย ไม่รู้สึกอะเลยจริงๆ เพราะมีจุดมุ่งหมายที่หนักแน่นมากในการเดินทางครั้งนี้
กลับขึ้นไปมืดพอดี ชาวบ้านดีใจมาก โคมไฟถนนมาผมและพี่โปะ เดินไปตามจุดต่างๆที่สำรวจไว้ตอนกลางวันและกลางคืนมองเห็นภาพได้ชัดเจนมาก
ในเวลากลางคืนที่มืดสนิทชาวบ้านตื่นเต้นดีใจได้ไฟส่องทาง เด็กๆก็ดีใจผมเดินไปตามแยกมุมแยกที่ส่องสว่างให้ได้แสงสว่างมีประโยชน์กับทุกคนมากที่สุดเพราะ เงินทั้งหมดที่ผมซื้อไปคือครึ่งหนึ่งของเงินเก็บทั้งหมดที่ผมมี ผมไม่ใช่คนรวยแล้วมาทำ ผมไม่ใช่คนสำเร็จรวยเหลือล้นแล้วมาทำมาให้แต่ผมมาทำมาให้ในส่วนที่ผมมีกำลังที่ทำได้
แต่ยังมีอีกหลายหมู่บ้านที่มืดสนิทนั่นคือโครงการหน้าที่ผมจะลุยต่อ นี่แค่เริ่มต้น
ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ