ຫຼວງພຮະບາງ...ແຄ່ພຽງຊ່ອງວ່າງຂອງລມຫາຍໃຈ (หลวงพระบาง...แค่เพียงช่องว่างของลมหายใจ)


ສະບາຍດີ...ທ່ານຜູ້ອ່ານທຸກທ່ານ
 
"ทุกการเดินทางย่อมมีความหมายของมันเสมอ และการเดินทางในแต่ละครั้ง ย่อมที่มาและที่ไปแตกต่างกัน"
 
          ในครั้งนี้ผมได้มีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงพระบาง ซึ่งตั้งใจว่าจะไปหลายปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ไป
จนเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ความตั้งใจและความพยายามนั้น ก็ได้พาไปถึงหลวงพระบางสักที...
 
          การไปหลวงพระบางเริ่มต้นจากความคิดที่อยากลองไปเที่ยวไกล ๆ คนเดียวสักครั้ง แต่สุดท้ายก็อดชวนเพื่อนไปด้วยไม่ได้อยู่ดี 
ตอนแรกมีเพื่อนหลงเชื่อ 4 คน แต่ติดธุระไป 2 คน สรุปก็ไปกันทั้งหมด 3 คนถ้วน การเดินทางไปหลวงพระบางเดี๋ยวนี้น่าจะสะดวกกว่าแต่ก่อน 
มีทั้งเครื่องบิน รถโดยสารระหว่างประเทศ หรือจะล่องเรือไปก็ยังได้ แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาและราคาที่ไม่แตกต่างกันมาก 
พวกเราจึงเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน
 
วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 

เวลา 13.55 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง

          ในขณะที่กัปตันกำลังนำเครื่องขึ้น ผมนึกขึ้นมาในใจว่า “ที่หลวงพระบางอากาศจะเย็นแค่ไหน จากสนามบินจะไปที่พักยังไง 
แล้วความเป็นจริงที่เจอจะเหมือนกับข้อมูลจากเรื่องเล่าผ่านตัวอักษรของคนอื่นหรือเปล่า” แต่ผมก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ 
เพราะคำตอบกำลังรออยู่ข้างหน้าแล้ว

เวลา 15.15 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง

          เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่เครื่องบินได้พาผมข้ามแม่น้ำหลายสาย ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า กว่าจะมาถึงที่นี่ 
ภาพทิวเขาสลับซับซ้อนสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาทางตอนเหนือของ สปป.ลาว ช่างงดงามยิ่งนัก 
          ทันทีที่สัมผัสอากาศภายนอกเครื่องบิน ผมก็พบว่า ฟ้าครึ้ม ๆ และละอองฝนในตอนเช้าที่กรุงเทพฯ นั้นเย็นกว่า  
“สนามบินที่นี่ไม่มีแอร์นะ” ผมบอกเพื่อน ในขณะที่เพื่อนยังคงสงสัย “จริงเหรอ มันก็ดูมีกระจกกั้นอยู่นะ”  
“เคยอ่านเจอตามรีวิวในพันทิป” ผมตอบไปตามข้อมูลที่ได้หามา แต่พอเข้าไปด้านในอาคารกลับมีเครื่องปรับอากาศ
ผมเลยบอกกับเพื่อนว่า “เขาคงปรับปรุงแล้วล่ะมั้ง” แล้วผมก็รีบเดินไปตรวจลงตราหนังสือเดินทางต่อไป

          “ซิมไหมครับ ร้อยเดียว ร้อยเดียว” เสียงพ่อค้าขายซิมโทรศัพท์เรียกพวกเราที่บูธขายของระหว่างเดินออกไปข้างหน้า
“มีซิมเอไอเอสละ ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวแชร์เน็ตกันก็ได้” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น “แต่มันร้อยเดียวเองนะแก เราว่าเราซื้อไว้ดีกว่า”
เพื่อนอีกคนมีท่าทีสนใจคำเสนอขายของพ่อค้า ผมคิดลังเลอยู่สักพัก ด้วยราคาที่ไม่แพง ได้ใช้อินเตอร์เน็ต 4 GB บนเครือข่าย 4.5 G
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ซื้อ “เดี๋ยวใช้ไวไฟของที่พักเอาก็แล้วกัน” ผมบอกเพื่อนไปตามนั้น
แล้วเราก็เดินออกมาแลกเงินที่โถงส่วนหน้าของอาคาร อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ 1 บาท เท่ากับ 301 กีบ    

          พอทำธุระปะปังในสนามบินเสร็จ พวกเราก็ซื้อตั๋วแท็กซี่ให้มาส่งยังที่พัก ราคา 50,000 กีบ สำหรับ 3 คน 
ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวที่มามักจะติดต่อรถจากที่พักให้มารับโดยตรง แต่เกสต์เฮาส์ที่เลือกพักไม่มีบริการรถรับส่ง
เลยต้องเดินตามลุงคนขับแท็กซี่มาขึ้นรถตู้ ประมาณ 10 ที่นั่ง เนื่องจากที่ สปป. ลาว ขับรถชิดขวา ที่นั่งคนขับอยู่ด้านซ้าย
ผมก็เกือบขึ้นรถผิดด้านเหมือนกัน รออยู่สักพักก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ขึ้นมาด้วยจนเต็มคันถึงออกรถ
          “เพลงนี้เพลงของดาว บ้านดอน นี่นา” ผมหันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งแถวหลัง “คงเป็นเพลงไทยที่เอามาร้องแหละ มีชุมแพ ๆ อะไรด้วย” เพื่อนตอบ  
แล้วลุงก็ขับรถไปส่งนักท่องเที่ยวคนที่หนึ่ง สอง สาม ... ตามที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวงพระบาง แล้วค่อยวนมาส่งพวกเราเป็นกลุ่มสุดท้าย
ตรงข้ามวัดอาฮาม “เดี๋ยวเดินเข้าไปในซอยนี้นะ” ลุงคนขับบอกทาง พร้อมกับที่พวกเรากล่าวขอบคุณ

- ซอยบริเวณด้านหน้าที่พัก -

เวลา 16.00 น. ที่ซอยแห่งหนึ่งในเมืองหลวงพระบาง

          “เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาเนี่ย” ผมหันไปถามเพื่อน “ดูป้ายดิ มันบอกให้ไปทางนี้” เพื่อนผมที่เห็นป้ายก่อนพูดบอกกัน 
รอบนี้พวกเราพักที่ Chill Riverside Guesthouse อยู่ติดแม่น้ำคาน ราคาก็ถือว่าถูกถ้าเทียบกับที่อื่น ๆ คิดว่าเอาไว้นอนอย่างเดียวก็พอ 
ถึงที่พักก็เช็คอิน สอบถามเรื่องรถที่จะไปเที่ยวตาดกวางสีในวันพรุ่งนี้ เก็บของไว้ในห้อง แล้วก็นัดเจอกันอีกครั้งราว 20 นาทีต่อมา 


- ที่พักตลอดสามคืนนี้ -
 
          เหลือเวลาอีกราว 2 ชั่วโมง ก่อนที่กลางคืนจะมาถึง เย็นวันนั้น พวกเราเดินไปวัดหัวเซียง กับวัดมะหาทาด
สองวัดนี้ตั้งอยู่ติดกันทางด้านใต้ของเมืองหลวงพระบางบนเนินที่ลาดยาวต่อลงมาจากพูสี ขณะนั้นใกล้เวลาทำวัตรเย็น
พระสงฆ์และสามเณรกำลังเตรียมตัวลงมาที่พระอุโบสถ เณรบางรูปมองเราอย่างสงสัย ผมเข้าไปกราบพระประธานที่ด้านใน
แล้วเดินชมรอบ ๆ วัดอย่างเงียบ ๆ สลับกับการยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเป็นบางครั้ง


- ร้านนางแอ ขายเฝอ อาหารตามสั่ง ข้าวจี่ อยู่ตรงข้ามตลาดดาลา -

- ตึกแถวแห่งหนึ่งในเมืองหลวงพระบาง -

- วัดหัวเซียง -

-
- วัดมะหาทาด หรือวัดทาดน้อย -

          “เดี๋ยวขอกินข้าวจี่ก่อน” เพื่อนคนหนึ่งร้องบอก หลังจากคิดว่าข้าวจี่ที่ซื้อไว้คงจะเย็นลงบ้างแล้ว “มีน้ำพริกมาให้ด้วย คล้าย ๆ น้ำพริกหนุ่ม”
“เออ มันหนุบ ๆ หนึบ ๆ อร่อยดีเหมือนกัน” “เสร็จแล้วเดี๋ยวเดินไปตามซอยนี้ พอเจอแม่น้ำโขงแล้วค่อยเดินย้อนขึ้นมาร้านโจมาแล้วกัน”
ต่างคนต่างออกความเห็น ตอนท้ายผมเสนอแผนกับเพื่อน ๆ ที่มอบให้ผมเป็นผู้จัดการทริปไปโดยปริยาย

          ด้วยระยะทางที่ไม่ไกล เพียงระยะเวลาไม่นาน เราก็เดินมาหยุดอยู่หน้าตึกเก่าสไตล์โคโลเนียลหลังหนึ่ง
ด้านหน้ามีป้ายแนะนำรายการขนมและเครื่องดื่ม “อันนี้น่าอร่อย ลองสั่งดูไหม” เพื่อนผมชี้ไปที่ป้ายนั้น
“เอา Brownie หนึ่งชิ้น กับ Pumpkin Pie แล้วก็ Pumpkin Latte แก้วนึงค่ะ” เพื่อนผู้หิวโหยสั่งพนักงานอย่างคล่องแคล่ว
แล้วเราก็เดินมานั่งที่โต๊ะด้านในร้านเป็นที่เรียบร้อย รู้ตัวอีกทีขนมสองชิ้นกับกาแฟที่สั่งมาก็หายไปจากจานกับแก้วแล้ว


“เอา Brownie หนึ่งชิ้น กับ Pumpkin Pie แล้วก็ Pumpkin Latte แก้วนึงค่ะ”

- ภายในร้านโจมาเบเกอรี่ สาขาถนนเจ้าฟ้างุ้ม - 

เวลา 18.40 น. บนถนนศรีสว่างวงศ์

          ผมและเพื่อน ๆ เริ่มต้นเดินตลาดมืดหลวงพระบาง เลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่มีร้านอาหารเรียงกันไปหลายร้าน 
แต่ยังไม่มีใครหิว ก็เลยตกลงกันว่าไปเดินดูของก่อน แล้วค่อยกลับมาหาอะไรกินอีกที 
ตลาดมืดหลวงพระบางก็คือไนท์บาซาร์นั่นเอง พ่อค้าแม่ค้าจะนำเต็นท์มากางบนถนนแล้ววางของขายกันกับพื้น 
ส่วนมากจะเป็นผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า อย่างปลอกหมอน ผ้าขาวม้า กระเป๋าดินสอ เสื้อผ้า ถุงผ้า 
นอกจากนี้ก็มีของชิ้นเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้ ภาพวาด หลอดดูดน้ำที่ทำจากไม้ไผ่  
“ไม่ค่อยมีของกินเท่าไหร่ แล้วทางเดินก็ดูจะเล็กไปหน่อย” ผมคิดในใจก่อนที่จะบอกกับเพื่อนไปตามที่คิด 
ผ่านไปสักพักพวกเราก็เดินมาสุดถนนอีกด้านหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายน้ำผลไม้ปั่นที่ตั้งแผงเรียงกันไป 
แล้วก็เดินกลับมาซอยร้านอาหารที่แวะเข้าไปในตอนแรกด้วยความหิว


- สินค้าส่วนหนึ่งที่วางขายในตลาดมืดหลวงพระบาง -

          ซอยนี้คนเยอะกว่าเดิมมาก เวลาหนึ่งทุ่มกว่า ๆ คงเป็นเวลาที่ใครหลายคนหิว “ร้านไหนว่างก็นั่งร้านนั้นแหละ”
เพื่อนผมคนนึงพูดขึ้นมา ในเวลาที่จมูกได้กลิ่นควันจากไก่ย่างและปลาปิ้งลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
หูกำลังฟังเสียงครกที่กระทบกับสากอย่างเป็นจังหวะ สลับกับเสียงจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ที่กำลังพูดคุยกัน
ขณะที่เท้ากำลังก้าวเดินไปตามแถวมนุษย์ท่ามกลางพื้นที่อันมีอยู่อย่างจำกัด ในที่สุดเราก็ได้นั่งที่โต๊ะกับเก้าอี้หน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง
แล้วสั่งตำลาว ปลาปิ้ง ไก่ย่าง ไส้กรอก มากินกับข้าวเหนียว รออยู่สักพักลุงกับป้าคนขายก็ทยอยยกอาหารมาทีละจาน ๆ

          “อันนี้ทำไมมันหวานจัง เห็นสีแดง ๆ นึกว่าคล้ายไส้กรอกอีสาน เหมือนกุนเชียงมากกว่า แล้วมีแต่มันเต็มเลย”
เพื่อนคนที่สั่งไส้กรอกพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง “เออ กิน ๆ ไปเถอะสั่งมาแล้ว” ผมบอกกับเพื่อน
แล้วปั้นข้าวเหนียวในมือใส่ปากตามส้มตำที่ตักเข้าไปก่อนหน้านี้ จนทุกคนอิ่มกันหมดก็ได้เวลาจ่ายเงิน
แล้วเดินกลับไปยังที่พักพร้อมกับความรู้สึกน้ำลายเหนียว ระหว่างทางเลยแวะซื้อน้ำเปล่าที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตตรงตลาดดาลา 
เมื่อมาถึงที่พัก ผมนัดเวลาเจอกันพรุ่งนี้เช้า ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนด้วยความประหลาดใจ



- แผงขายขนมปัง แผงขายกับข้าว และแผงจิ้มจุ่ม  แต่ที่ถ่ายรูปมาไม่ได้กินสักร้านนะ -

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562 

เวลา 6.00 น. ที่ Chill Riverside Guesthouse

          “ง่วง เมื่อคืนกว่าจะหลับ” ผมบอกเพื่อน “เออ นี่ก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกัน” เพื่อนตอบผมพร้อมกับบอกว่าเพื่อนอีกคนยังไม่ตื่น 
จะรอมาเจอตอนกินข้าวเช้าทีเดียวเลย เช้าวันนี้ผมเลยต้องเดินไปตักบาตรข้าวเหนียวกับเพื่อนอีกหนึ่งคน  
ผมเดินมาตรงวัดใหม่สุวันนะพูมาฮาม แต่ไม่เห็นคนรอตักบาตรสักคนเดียว ผมเริ่มแปลกใจ
“แต่ที่หาข้อมูลมาเขาบอกว่ามีตั้งแต่ตีห้าถึงเจ็ดโมงนะ” ผมยืนยันกับเพื่อน ทันใดนั้นพอมองเข้าไปในวัด
ก็เห็นพระสงฆ์และสามเณรยืนอยู่ที่ศาลาในวัด โดยไม่ได้สะพายบาตรแล้ว เป็นอันว่าเช้าวันนี้อดตักบาตรข้าวเหนียวซะแล้ว
“ไม่เป็นไร ไปเดินตลาดเช้าข้าง ๆ วัดแทนแล้วกัน”

- ทางเข้าตลาดเช้าอยู่ติดกับรั้ววัดใหม่ -

          ตลาดเช้าที่นี่อยู่ในซอยเล็ก ๆ ไม่มีอาคาร มีเพียงถุงกระสอบสำหรับวางสินค้าและร่มผ้าใบสีต่าง ๆ 
ช่วยกันแสงแดดยามเช้าที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ในตลาดเช้าขายอาหารสดแทบทุกอย่าง 
ผัก ผลไม้ หมู เนื้อ ปลา ขนม อาหารเช้า ของกินเล่น เสื้อผ้า เครื่องเทศ รวมไปถึงเครื่องใช้ในครัว 
ของทุกอย่างดูสดและดูน่ากินไปหมด “ถ้าอยู่ที่บ้านผมคงซื้อกลับไปทำกับข้าวแล้วแน่ ๆ” 
ผมพึมพำกับตัวเองในขณะที่เดินไปดูสินค้าไปตามซอย ในขณะที่เพื่อนหยุดซื้อขนมครกแล้วต้องถือไว้ก่อน 
เพราะพึ่งแคะออกมาร้อน ๆ หลังจากนั้นผมกับเพื่อนก็แวะร้านข้าวเกรียบปากหม้อญวน 
ผมซื้อผัดหมี่มาหนึ่งห่อ กล้วยไข่อีกหนึ่งหวี ระหว่างเดินกลับที่พักเพื่อนผมก็ซื้อข้าวจี่หรือบาแกตต์อีกหนึ่งชิ้น 
ผมสังเกตเห็นว่าข้าวจี่ถูกห่อไว้ด้วยกระดาษเอสี่ดับเบิ้ลเออีกหนึ่งชั้นก่อนจะใส่ถุงมาให้เรา 

- ในตลาดเช้าเมืองหลวงพระบาง -
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่