Coca-Cola สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับคนทั่วโลก แต่ Coca-Cola ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะนำเครื่องดื่มน้ำดำชนิดนี้ให้แพร่หลายไปทั่ว โลก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Coca-Cola มีโรงงานตั้งอยู่ 44 ประเทศทั่วโลก ทั้งฝ่ายพันธมิตรและอักษะ
ในปี 1941 โรเบิร์ต วู้ดดรัฟฟ์ สั่งให้ขาย Coca-Cola ให้กับชายในเครื่องแบบทหาร ในราคาขวดละ 5 เซ็นต์ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามที่มีขาย Coca-Cola โดยไม่แบ่งฝ่ายและไม่สนใจว่าบริษัทจะควักกระเป๋าเองเท่าไหร่ และเป็นผลสำเร็จในการคว้าโอกาสในครั้งนี้เมื่อ ศูนย์บัญชาการใหญ่ฝ่ายพันธมิตรที่แอฟริกาเหนือ มีข้อความว่า ขอให้ส่งอุปกรณ์ และเครื่องจักรที่จำเป็นต่อการตั้งโรงงาน Coca-Cola จำนวน 10 โรงและทางกองทัพยังขอให้ส่งไปอีกสามล้านขวด และวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการผลิต Coca-Cola ปริมาณนี้เดือนละ 2 ครั้ง
ภายในระยะเวลา 6 เดือนวิศวกรของบริษัทต้องบินไปยังเมืองอัลเจียรส์ เพื่อเปิดโรงงานผลิตและบรรจุ Coca-Cola นับเป็นเมืองแรกที่มีการเปิดโรงงานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่อีก 64 โรงจะก่อตั้งในประเทศต่างๆ โดยส่วนมากโรงงานแต่ละที่จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสนามรบทั้งทวีป Europe Asia Pacific ระหว่างสงคราม นายทหารทั้งหมดได้ดื่ม Coca-Cola เป็นจำนวนกว่า 5พันล้านขวด
การมีส่วนร่วมในสงครามนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อบำรุงรักษาขวัญและกำลังใจ แก่ของทหารเท่านั้น เมื่อสงครามสิ้นสุดลง กิจการ Coca-Cola ได้ขยายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จำนวนของโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น2เท่า Coca-Cola ก็กลายเป็นสัญลักษณ์สากลของมิตรภาพ และความสดชื่น
Cr.dodokongjai.blogspot.com/
“The Medals of Friendship”
นักกีฬา 5 ชีวิต ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกีฬาค้ำถ่อชาย ในโอลิมปิกปีค.ศ.1936, ที่ความสูงของคานเกินกว่า 4 เมตร 15 เซนติเมตร ท่ามกลางผู้ชม 25,000 คน ที่สนามกีฬากรุงเบอร์ลินของเยอรมัน ขณะนั้น เวลาแข่งขันเข้าสู่ช่วงเย็นย่ำ ไฟสนามเริ่มเปิดส่องสว่างสไวไปทั่ว บิล กราเบอร์ จากสหรัฐ เริ่มกระโดดค้ำเป็นคนแรก แล้วเขาก็พลาดตกรอบไปก่อนที่ความสูง 4.25 เมตร จากนั้นเป็นตาของนักกีฬาอเมริกันอีกคน เอิร์ล มีโดว์ เขาทำได้ที่ระดับ 4.35 เมตร…ถือว่าสูงมากสำหรับการแข่งขันในวันนั้น
เหลือผู้เข้าแข่งขันอีกแค่ 3 คน, อเมริกัน 1 ญี่ปุ่น 2 ทุกคนหวังจะเป็นผู้ชนะ…มีโดว์ได้ลองอีกครั้งที่ความสูง 4.45 เขาพลาด แต่อย่างไรเขาก็จองเหรียญทองไปได้แล้ว ด้วยความสูงมากถึง 4.35 ที่ทำไว้
บิล เซฟตัน อเมริกันคนที่สาม ต้องมาแย่งเหรียญเงินกับอีกสองนักค้ำถ่อจากแดนอาทิตย์อุทัย ทว่าเขาพลาด ขณะที่สองนักกีฬาญี่ปุ่นกระโดดผ่านทั้งคู่
ดังนั้น ทั้งสองคนได้เหรียญจากการแข่งแน่ๆ เหลือแค่ใครจะได้เหรียญอะไรเท่านั้น…
ทั้งสองคนยังเป็นเพียงนักศึกษา, ชูเฮ นิชิดะ มาจากม.วาเซดะ ส่วน ซูเอโอะ โอเอะ จากม.ไคโอ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมาก จึงไม่อยากต้องมาแข่งขันกันเอง พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะแบ่งปันเกียรติยศในครั้งนี้อย่าง เท่าเทียม ร่วมกัน นิชิดะ จับมือ โอเอะ แล้วปฏิเสธการแข่งขันเพื่อตัดสิน ทิ้งทุกอย่างไว้เพียงเท่านั้น
ทว่าผู้จัดการแข่งไม่อนุญาตให้จบลงตามความตั้งใจของนักกีฬา เพราะต้องมีคนหนึ่งได้เหรียญเงิน อีกคนรับทองแดง ดังนั้นจึงสั่งให้ทีมญี่ปุ่นตกลงกันเองแล้วแจ้งมาว่าจะให้ใครรับเหรียญไหน หลังการเจรจาต่อรองกันอย่างยาวนาน จึงมีการประกาศให้นิชิดะได้เหรียญเงิน เพราะกระโดดไปหนึ่งครั้ง สำเร็จที่ความสูง 4.25 เมตร ส่วนโอเอะ ทำได้สูงเท่ากัน แต่ต้องกระโดดถึงสองครั้ง
อย่างไรก็ตาม สองสหายไม่พอใจคำตัดสินแล้วเดินทางตรงกลับบ้านเกิดทันที แล้วจึงตัดสินใจให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของตน จึงนำเหรียญทั้งสองมาตัดต่อกันใหม่อย่างละครึ่ง เกิดเป็นเหรียญไฮบริด ซึ่งเรื่องราวของเหรียญดังกล่าวถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์กีฬาโลกว่าคือ “เหรียญรางวัลแห่งมิตรภาพ” หรือ “The Medals of Friendship”
ต่อมาในปี 1941 โอเอะ เสียชีวิตในสงคราม ส่วนนิชิดะ เสียชีวิตในปี 1997 ปัจจุบัน เหรียญแห่งมิตรภาพของโอเอะ ยังคงเป็นสมบัติส่วนบุคคล ขณะที่เหรียญของนิชิดะ ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ม.วาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น
เชื่อกันว่า ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความกลัวและความเกลียดชัง อันเป็นช่วงเวลาของฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมัน ประเทศเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปีนั้น ..หนุ่มน้อยนักกีฬาญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ทั้งสองคน เลือกที่จะแบ่งปันเกียรติยศซึ่งกันและกัน พร้อมแสดงให้โลกเห็นว่า ท่ามกลางการแก่งแย่งแข่งขัน มนุษย์ยังสามารถคงไว้ซึ่งมิตรภาพ
Cr.khaosod.co.th/
คือผู้ชนะที่แท้จริง
“ขอให้ประกาศนียบัตรฉบับนี้เป็นเครื่องหมายแห่งความสำนึกในบุญคุณ อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของเรา สำหรับการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยคุณงามความดีของบรรพบุรุษของท่านและขอให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความอบอุ่น มิตรภาพของเรา ซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นับแต่สงครามเป็นต้นมา…”
คำกล่าวสุนทรพจน์ของนายจอห์น โฮวาร์ดนายกรัฐมนตรีรัฐบาลออสเตรเลียในวันเปิดพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๑ ที่ได้ประกาศเกียรติคุณความกล้าหาญของนายบุญผ่อง สิริเวชชะภัณฑ์ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งทางรถไฟสายมรณะ…
ในปีพ.ศ. ๒๔๘๕ กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างทางรถไฟ ตั้งแต่บ้านโป่งไปจนถึงตันบูซายัดในพม่า ด้วยระยะทางราว ๔๑๕ กิโลเมตร เพื่อขนส่งกองทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เป้าหมายคือบุกยึดพม่าและอินเดียให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว แรงงานพลเรือนชาวเอเชียกว่าสองแสนคน และทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรอังกฤษ ออสเตรเลียซึ่งส่วนใหญ่จับได้จากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียอีกกว่าหกหมื่นคน ถูกส่งเข้ามาเพื่อสร้างทางรถไฟ
ชีวิตของเชลยศึกเหล่านั้นมาจากหลายเชื้อชาติ พวกเขาถูกทรมาณ ถูกบังคับให้ทำงานตลอดทั้งวัน อาหารประทังชีวิตก็แค่ข้าว ผักและปลาแห้งบรรเทาความหิว ในยามที่บาดเจ็บหรือล้มป่วยหยูกยาหรือเครื่องมือทางการแพทย์ก็ขาดแคลน ซ้ำยังถูกทหารญี่ปุ่นทำทารุณกรรมส่งผลให้เหล่าเชลยศึกจำนวนมากต้องเสียชีวิต
นายบุญผ่องได้เห็นได้สัมผัสรับรู้ถึงความทุกข์ยากอันแสนสาหัสของเชลยศึกในค่ายกักกัน จากการที่เขาได้เข้าไปค้าขายสินค้าให้กับกองทัพญี่ปุ่น ภาพที่เห็นอยู่เจนตาทุกๆวันคือร่างไร้วิญญาณศพแล้วศพเล่าถูกโยนทิ้งลงสู่สุสานใต้บาดาล ปลุกจิตสำนึกให้นายบุญผ่องตัดสินใจ ยอมเสี่ยงชีวิตลักลอบนำยาควินินมาให้หมอเวรี่(ศัลยแพทย์เชลยสงคราม เซอร์เอ็เวิร์ด เวียรี่ ดันลอป)รักษาคนไข้เชลยศึกที่เป็นโรคมาลาเรีย หลายครั้งที่เขาต้องแขวนเครื่องเวชภัณฑ์ไว้ที่คอ แล้วว่ายน้ำเข้าไปยังค่ายกักกันในยามวิกาล บางคราวลูกสาววัยสิบขวบกว่าก็ต้องรับบทเสี่ยงด้วยการแอบนำยาให้เชลยศึกเพื่อไม่ให้ฝ่ายญี่ปุ่นสงสัย
ทุกๆค่ำคืนในราวป่า เสียงเหล็กกระทบกับก้อนหิน บริเวณช่องเขาขาดดังกลบบรรยากาศเงียบสงัด แสงวาบๆจากกองไฟส่องกระทบเรือนร่างอันผอมโซของเชลยศึกและคนงานที่ต้องทำงานหนัก โศกนาฎกรรมอันน่าสะเทือนใจที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คือที่มาของชื่อ “ช่องไฟนรก” เหตุการณ์ที่ช่องเขาจังหวัดกาญจนบุรี....
Cr.oknation.nationtv.tv/
ต้นโอ๊กแห่งมิตรภาพ
ต้นโอ๊กที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้มอบให้กับผู้นำสหรัฐอเมริกา และร่วมกันปลูกเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ ล่าสุดได้ยืนต้นตายลงแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ต้นโอ๊กร่วมปลูกระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่แสดงถึงมิตรภาพในความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทั้งสองได้ปลูกขึ้นเมื่อปีที่แล้วในรั้วทำเนียบขาว แต่ปรากฏว่าล่าสุด ต้นโอ๊กต้นนี้ยืนต้นตาย
ตามรายงานระบุว่า ต้นโอ๊กต้นดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่สังคมได้สงสัยแคลงใจ หลังพบว่ามันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากในรั้วทำเนียบขาว กระทั่งอดีตเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสหรัฐฯ ได้ออกมาชี้แจงในกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ขณะนี้ต้นโอ๊กต้นนี้ถูกย้ายไปอยู่ในด่านกักโรค ที่เป็นขั้นตอนตามปกติของการนำสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์เข้าสู่สหรัฐฯ และได้นำกลับมาปลูกเอาไว้ตามเดิม
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า ต้นโอ๊กต้นนี้ได้ยืนต้นตายลงแล้ว หลังจากที่ถูกย้ายไปยังด่านกักกันโรคเพียงไม่นาน ประเด็นนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เพราะหลายสำนักข่าวจับโยงไปถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มไม่ค่อยดีระหว่างสหรัฐอเมริกากับฝรั่งเศส เนื่องจากผู้นำทั้งมีความคิดเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง นับตั้งแต่ประเด็นของประเทศอิหร่านไปถึงกรณีสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น
สำหรับต้นโอ๊กต้นนี้ถูกร่วมกันปลูกเอาไว้ในรั้วทำเนียบขาว เมื่อครั้งนี้ผู้นำฝรั่งเศสเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนเมษายน 2018 และร่วมกันปลูกต้นโอ๊กต้นนี้เอาไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ
ขอขอบคุณข้อมูล :RT.com
Cr.sanook.com/
มิตรภาพท่ามกลางสนามรบระหว่างทหารกับสัตว์
สัตว์เหล่านี้คงรับรู้ถึงความเมตตาจากทหารเหล่านี้ เป็นภาพที่อบอุ่นแม้จะอยู่ท่ามกลางสนามรบ เชื่อว่าสัตว์เหล่านี้เองก็คงทำให้เหล่าทหารได้มีช่วงเวลาที่คลายความกดดันจากการทำสงครามด้วยเช่นกัน มิตรภาพระหว่างคนและสัตว์เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และไม่มีอะไรแอบแฝง น่าประทับใจจริงๆ
Cr.liekr.com/
อดีตทหารนาซียกมรดก 17 ล้าน ให้ชุมชนสกอตแลนด์
Heinrich Steinmeyer คือทหารนาซีจากหน่วยชุทซ์ชทัฟเฟิล (Waffen SS) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ถูกจับกุมตัวหลังวันดีเดย์และถูกส่งไปยังค่ายกักกันนักโทษ Cultybraggan ในชุมชน Comrie เมือง Perthshire ประเทศสกอตแลนด์
ตลอดเวลาที่ถูกคุมตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น สิ่งที่เขาได้รับอย่างไม่เคยคาดหวังก็คือน้ำใจไมตรีและมิตรภาพจากผู้คนในชุมชน ดังนั้นหลังจากสงครามสิ้นสุด Heinrich Steinmeyer จึงตัดสินใจยก “มรดกทั้งหมด” ให้กับชุมชนเล็กๆ ที่มีประชากรราว 2,000 คนแห่งนี้
หลังจาก Heinrich เสียชีวิตลงในวัย 90 ปี มรดกทั้งสิ้น 17 ล้านบาท จึงถูกนำมามอบให้กับชุมชน Comrie โดยมีการจัดตั้งกองทุน Heinrich Steinmeyer Legacy Fund ขึ้นมา
Heinrich Steinmeyer เกิดเมื่อปี 1924 เติบโตและอาศัยอยู่ที่เมืองไซลีเซีย (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์) ทำงานหาเงินเลี้ยงตนเองตั้งแต่เด็กด้วยรับจ้างขายเนื้อ เข้าร่วมกับหน่วย SS ของนาซีตอนอายุ 17 ปี จากนั้นก็เข้าร่วมรบในแนวหน้าและถูกคุมตัวในฐานะนักโทษระดับ C ที่ค่าย Cultybraggan
Heinrich กล่าวว่าชุมชน Comrie และชาวสกอตแลนด์นั้นมีพระคุณต่อเขาถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกตอนที่ช่วยชีวิตเขาจากกองทัพฝรั่งเศส ครั้งที่สองตอนที่ช่วยเขาระหว่างถูกกองทัพโปแลนด์ส่งตัว และสุดท้ายสำหรับความมีน้ำใจและความช่วยเหลือทั้งตอนที่เป็นนักโทษและทำงานอยู่ที่นี่ เพราะถ้าหากเขาต้องไปอยู่ในคุกแห่งอื่นก็อาจพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านี้มาก
Cr.clipmass.com/
My Way สงคราม มิตรภาพ ความรัก
สองหนุ่มคู่ปรับตลอดกาล “จุนชิก” และ “ทัตสึโอะ” มีเป้าหมายเดียวกันคือการได้เข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอนในกีฬาโอลิมปิค ณ กรุงโตเกียว และทั้งสองถูกลิขิตให้เดินไปในทิศทางเดียวกันอีกครั้งเมื่อได้รับคำสั่งให้ เข้าร่วมรบในสงคราม
Cr.movie.mthai.com/
ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมด
บนเส้นทางแห่งมิตรภาพ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับคนทั่วโลก แต่ Coca-Cola ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะนำเครื่องดื่มน้ำดำชนิดนี้ให้แพร่หลายไปทั่ว โลก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Coca-Cola มีโรงงานตั้งอยู่ 44 ประเทศทั่วโลก ทั้งฝ่ายพันธมิตรและอักษะ
ในปี 1941 โรเบิร์ต วู้ดดรัฟฟ์ สั่งให้ขาย Coca-Cola ให้กับชายในเครื่องแบบทหาร ในราคาขวดละ 5 เซ็นต์ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามที่มีขาย Coca-Cola โดยไม่แบ่งฝ่ายและไม่สนใจว่าบริษัทจะควักกระเป๋าเองเท่าไหร่ และเป็นผลสำเร็จในการคว้าโอกาสในครั้งนี้เมื่อ ศูนย์บัญชาการใหญ่ฝ่ายพันธมิตรที่แอฟริกาเหนือ มีข้อความว่า ขอให้ส่งอุปกรณ์ และเครื่องจักรที่จำเป็นต่อการตั้งโรงงาน Coca-Cola จำนวน 10 โรงและทางกองทัพยังขอให้ส่งไปอีกสามล้านขวด และวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการผลิต Coca-Cola ปริมาณนี้เดือนละ 2 ครั้ง
ภายในระยะเวลา 6 เดือนวิศวกรของบริษัทต้องบินไปยังเมืองอัลเจียรส์ เพื่อเปิดโรงงานผลิตและบรรจุ Coca-Cola นับเป็นเมืองแรกที่มีการเปิดโรงงานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่อีก 64 โรงจะก่อตั้งในประเทศต่างๆ โดยส่วนมากโรงงานแต่ละที่จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสนามรบทั้งทวีป Europe Asia Pacific ระหว่างสงคราม นายทหารทั้งหมดได้ดื่ม Coca-Cola เป็นจำนวนกว่า 5พันล้านขวด
การมีส่วนร่วมในสงครามนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อบำรุงรักษาขวัญและกำลังใจ แก่ของทหารเท่านั้น เมื่อสงครามสิ้นสุดลง กิจการ Coca-Cola ได้ขยายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จำนวนของโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น2เท่า Coca-Cola ก็กลายเป็นสัญลักษณ์สากลของมิตรภาพ และความสดชื่น
Cr.dodokongjai.blogspot.com/
“The Medals of Friendship”
นักกีฬา 5 ชีวิต ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกีฬาค้ำถ่อชาย ในโอลิมปิกปีค.ศ.1936, ที่ความสูงของคานเกินกว่า 4 เมตร 15 เซนติเมตร ท่ามกลางผู้ชม 25,000 คน ที่สนามกีฬากรุงเบอร์ลินของเยอรมัน ขณะนั้น เวลาแข่งขันเข้าสู่ช่วงเย็นย่ำ ไฟสนามเริ่มเปิดส่องสว่างสไวไปทั่ว บิล กราเบอร์ จากสหรัฐ เริ่มกระโดดค้ำเป็นคนแรก แล้วเขาก็พลาดตกรอบไปก่อนที่ความสูง 4.25 เมตร จากนั้นเป็นตาของนักกีฬาอเมริกันอีกคน เอิร์ล มีโดว์ เขาทำได้ที่ระดับ 4.35 เมตร…ถือว่าสูงมากสำหรับการแข่งขันในวันนั้น
เหลือผู้เข้าแข่งขันอีกแค่ 3 คน, อเมริกัน 1 ญี่ปุ่น 2 ทุกคนหวังจะเป็นผู้ชนะ…มีโดว์ได้ลองอีกครั้งที่ความสูง 4.45 เขาพลาด แต่อย่างไรเขาก็จองเหรียญทองไปได้แล้ว ด้วยความสูงมากถึง 4.35 ที่ทำไว้
บิล เซฟตัน อเมริกันคนที่สาม ต้องมาแย่งเหรียญเงินกับอีกสองนักค้ำถ่อจากแดนอาทิตย์อุทัย ทว่าเขาพลาด ขณะที่สองนักกีฬาญี่ปุ่นกระโดดผ่านทั้งคู่
ดังนั้น ทั้งสองคนได้เหรียญจากการแข่งแน่ๆ เหลือแค่ใครจะได้เหรียญอะไรเท่านั้น…
ทั้งสองคนยังเป็นเพียงนักศึกษา, ชูเฮ นิชิดะ มาจากม.วาเซดะ ส่วน ซูเอโอะ โอเอะ จากม.ไคโอ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมาก จึงไม่อยากต้องมาแข่งขันกันเอง พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะแบ่งปันเกียรติยศในครั้งนี้อย่าง เท่าเทียม ร่วมกัน นิชิดะ จับมือ โอเอะ แล้วปฏิเสธการแข่งขันเพื่อตัดสิน ทิ้งทุกอย่างไว้เพียงเท่านั้น
ทว่าผู้จัดการแข่งไม่อนุญาตให้จบลงตามความตั้งใจของนักกีฬา เพราะต้องมีคนหนึ่งได้เหรียญเงิน อีกคนรับทองแดง ดังนั้นจึงสั่งให้ทีมญี่ปุ่นตกลงกันเองแล้วแจ้งมาว่าจะให้ใครรับเหรียญไหน หลังการเจรจาต่อรองกันอย่างยาวนาน จึงมีการประกาศให้นิชิดะได้เหรียญเงิน เพราะกระโดดไปหนึ่งครั้ง สำเร็จที่ความสูง 4.25 เมตร ส่วนโอเอะ ทำได้สูงเท่ากัน แต่ต้องกระโดดถึงสองครั้ง
อย่างไรก็ตาม สองสหายไม่พอใจคำตัดสินแล้วเดินทางตรงกลับบ้านเกิดทันที แล้วจึงตัดสินใจให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของตน จึงนำเหรียญทั้งสองมาตัดต่อกันใหม่อย่างละครึ่ง เกิดเป็นเหรียญไฮบริด ซึ่งเรื่องราวของเหรียญดังกล่าวถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์กีฬาโลกว่าคือ “เหรียญรางวัลแห่งมิตรภาพ” หรือ “The Medals of Friendship”
เชื่อกันว่า ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความกลัวและความเกลียดชัง อันเป็นช่วงเวลาของฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมัน ประเทศเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปีนั้น ..หนุ่มน้อยนักกีฬาญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ทั้งสองคน เลือกที่จะแบ่งปันเกียรติยศซึ่งกันและกัน พร้อมแสดงให้โลกเห็นว่า ท่ามกลางการแก่งแย่งแข่งขัน มนุษย์ยังสามารถคงไว้ซึ่งมิตรภาพ
Cr.khaosod.co.th/
คือผู้ชนะที่แท้จริง
“ขอให้ประกาศนียบัตรฉบับนี้เป็นเครื่องหมายแห่งความสำนึกในบุญคุณ อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของเรา สำหรับการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยคุณงามความดีของบรรพบุรุษของท่านและขอให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความอบอุ่น มิตรภาพของเรา ซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นับแต่สงครามเป็นต้นมา…”
คำกล่าวสุนทรพจน์ของนายจอห์น โฮวาร์ดนายกรัฐมนตรีรัฐบาลออสเตรเลียในวันเปิดพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๑ ที่ได้ประกาศเกียรติคุณความกล้าหาญของนายบุญผ่อง สิริเวชชะภัณฑ์ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งทางรถไฟสายมรณะ…
ในปีพ.ศ. ๒๔๘๕ กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างทางรถไฟ ตั้งแต่บ้านโป่งไปจนถึงตันบูซายัดในพม่า ด้วยระยะทางราว ๔๑๕ กิโลเมตร เพื่อขนส่งกองทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เป้าหมายคือบุกยึดพม่าและอินเดียให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว แรงงานพลเรือนชาวเอเชียกว่าสองแสนคน และทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรอังกฤษ ออสเตรเลียซึ่งส่วนใหญ่จับได้จากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียอีกกว่าหกหมื่นคน ถูกส่งเข้ามาเพื่อสร้างทางรถไฟ
ชีวิตของเชลยศึกเหล่านั้นมาจากหลายเชื้อชาติ พวกเขาถูกทรมาณ ถูกบังคับให้ทำงานตลอดทั้งวัน อาหารประทังชีวิตก็แค่ข้าว ผักและปลาแห้งบรรเทาความหิว ในยามที่บาดเจ็บหรือล้มป่วยหยูกยาหรือเครื่องมือทางการแพทย์ก็ขาดแคลน ซ้ำยังถูกทหารญี่ปุ่นทำทารุณกรรมส่งผลให้เหล่าเชลยศึกจำนวนมากต้องเสียชีวิต
นายบุญผ่องได้เห็นได้สัมผัสรับรู้ถึงความทุกข์ยากอันแสนสาหัสของเชลยศึกในค่ายกักกัน จากการที่เขาได้เข้าไปค้าขายสินค้าให้กับกองทัพญี่ปุ่น ภาพที่เห็นอยู่เจนตาทุกๆวันคือร่างไร้วิญญาณศพแล้วศพเล่าถูกโยนทิ้งลงสู่สุสานใต้บาดาล ปลุกจิตสำนึกให้นายบุญผ่องตัดสินใจ ยอมเสี่ยงชีวิตลักลอบนำยาควินินมาให้หมอเวรี่(ศัลยแพทย์เชลยสงคราม เซอร์เอ็เวิร์ด เวียรี่ ดันลอป)รักษาคนไข้เชลยศึกที่เป็นโรคมาลาเรีย หลายครั้งที่เขาต้องแขวนเครื่องเวชภัณฑ์ไว้ที่คอ แล้วว่ายน้ำเข้าไปยังค่ายกักกันในยามวิกาล บางคราวลูกสาววัยสิบขวบกว่าก็ต้องรับบทเสี่ยงด้วยการแอบนำยาให้เชลยศึกเพื่อไม่ให้ฝ่ายญี่ปุ่นสงสัย
ทุกๆค่ำคืนในราวป่า เสียงเหล็กกระทบกับก้อนหิน บริเวณช่องเขาขาดดังกลบบรรยากาศเงียบสงัด แสงวาบๆจากกองไฟส่องกระทบเรือนร่างอันผอมโซของเชลยศึกและคนงานที่ต้องทำงานหนัก โศกนาฎกรรมอันน่าสะเทือนใจที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คือที่มาของชื่อ “ช่องไฟนรก” เหตุการณ์ที่ช่องเขาจังหวัดกาญจนบุรี....
Cr.oknation.nationtv.tv/
ต้นโอ๊กแห่งมิตรภาพ
ต้นโอ๊กที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้มอบให้กับผู้นำสหรัฐอเมริกา และร่วมกันปลูกเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ ล่าสุดได้ยืนต้นตายลงแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ต้นโอ๊กร่วมปลูกระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่แสดงถึงมิตรภาพในความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทั้งสองได้ปลูกขึ้นเมื่อปีที่แล้วในรั้วทำเนียบขาว แต่ปรากฏว่าล่าสุด ต้นโอ๊กต้นนี้ยืนต้นตาย
ตามรายงานระบุว่า ต้นโอ๊กต้นดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่สังคมได้สงสัยแคลงใจ หลังพบว่ามันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากในรั้วทำเนียบขาว กระทั่งอดีตเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสหรัฐฯ ได้ออกมาชี้แจงในกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ขณะนี้ต้นโอ๊กต้นนี้ถูกย้ายไปอยู่ในด่านกักโรค ที่เป็นขั้นตอนตามปกติของการนำสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์เข้าสู่สหรัฐฯ และได้นำกลับมาปลูกเอาไว้ตามเดิม
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า ต้นโอ๊กต้นนี้ได้ยืนต้นตายลงแล้ว หลังจากที่ถูกย้ายไปยังด่านกักกันโรคเพียงไม่นาน ประเด็นนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เพราะหลายสำนักข่าวจับโยงไปถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มไม่ค่อยดีระหว่างสหรัฐอเมริกากับฝรั่งเศส เนื่องจากผู้นำทั้งมีความคิดเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง นับตั้งแต่ประเด็นของประเทศอิหร่านไปถึงกรณีสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น
สำหรับต้นโอ๊กต้นนี้ถูกร่วมกันปลูกเอาไว้ในรั้วทำเนียบขาว เมื่อครั้งนี้ผู้นำฝรั่งเศสเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนเมษายน 2018 และร่วมกันปลูกต้นโอ๊กต้นนี้เอาไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ
ขอขอบคุณข้อมูล :RT.com
Cr.sanook.com/
มิตรภาพท่ามกลางสนามรบระหว่างทหารกับสัตว์
สัตว์เหล่านี้คงรับรู้ถึงความเมตตาจากทหารเหล่านี้ เป็นภาพที่อบอุ่นแม้จะอยู่ท่ามกลางสนามรบ เชื่อว่าสัตว์เหล่านี้เองก็คงทำให้เหล่าทหารได้มีช่วงเวลาที่คลายความกดดันจากการทำสงครามด้วยเช่นกัน มิตรภาพระหว่างคนและสัตว์เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และไม่มีอะไรแอบแฝง น่าประทับใจจริงๆ
Cr.liekr.com/
อดีตทหารนาซียกมรดก 17 ล้าน ให้ชุมชนสกอตแลนด์
Heinrich Steinmeyer คือทหารนาซีจากหน่วยชุทซ์ชทัฟเฟิล (Waffen SS) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ถูกจับกุมตัวหลังวันดีเดย์และถูกส่งไปยังค่ายกักกันนักโทษ Cultybraggan ในชุมชน Comrie เมือง Perthshire ประเทศสกอตแลนด์
ตลอดเวลาที่ถูกคุมตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น สิ่งที่เขาได้รับอย่างไม่เคยคาดหวังก็คือน้ำใจไมตรีและมิตรภาพจากผู้คนในชุมชน ดังนั้นหลังจากสงครามสิ้นสุด Heinrich Steinmeyer จึงตัดสินใจยก “มรดกทั้งหมด” ให้กับชุมชนเล็กๆ ที่มีประชากรราว 2,000 คนแห่งนี้
หลังจาก Heinrich เสียชีวิตลงในวัย 90 ปี มรดกทั้งสิ้น 17 ล้านบาท จึงถูกนำมามอบให้กับชุมชน Comrie โดยมีการจัดตั้งกองทุน Heinrich Steinmeyer Legacy Fund ขึ้นมา
Heinrich Steinmeyer เกิดเมื่อปี 1924 เติบโตและอาศัยอยู่ที่เมืองไซลีเซีย (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์) ทำงานหาเงินเลี้ยงตนเองตั้งแต่เด็กด้วยรับจ้างขายเนื้อ เข้าร่วมกับหน่วย SS ของนาซีตอนอายุ 17 ปี จากนั้นก็เข้าร่วมรบในแนวหน้าและถูกคุมตัวในฐานะนักโทษระดับ C ที่ค่าย Cultybraggan
Heinrich กล่าวว่าชุมชน Comrie และชาวสกอตแลนด์นั้นมีพระคุณต่อเขาถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกตอนที่ช่วยชีวิตเขาจากกองทัพฝรั่งเศส ครั้งที่สองตอนที่ช่วยเขาระหว่างถูกกองทัพโปแลนด์ส่งตัว และสุดท้ายสำหรับความมีน้ำใจและความช่วยเหลือทั้งตอนที่เป็นนักโทษและทำงานอยู่ที่นี่ เพราะถ้าหากเขาต้องไปอยู่ในคุกแห่งอื่นก็อาจพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านี้มาก
Cr.clipmass.com/
สองหนุ่มคู่ปรับตลอดกาล “จุนชิก” และ “ทัตสึโอะ” มีเป้าหมายเดียวกันคือการได้เข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอนในกีฬาโอลิมปิค ณ กรุงโตเกียว และทั้งสองถูกลิขิตให้เดินไปในทิศทางเดียวกันอีกครั้งเมื่อได้รับคำสั่งให้ เข้าร่วมรบในสงคราม
Cr.movie.mthai.com/
ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมด