สิมิลัน ลัน ลอลิง.... ถ้า รอเรือ จะออกแนวเรือรัสเซีย
................
......................................
ในอนาคต ความเสี่ยงและภัยคุกคามของเรา คือ ความขัดแย้งจากการแแแย่งชิงผลประโยชน์เขตแดนในทะเล
เราจะยันข้าศึกตั้งแต่ นอกอ่าวไทย ไม่ปล่อยเเข้ามาเขตแดน ด้านใน และตัว กอ.
และ กำลังรบทางอากาศ เราต้องคุมน่านฟ้าให้ได้เมื่อเกิดสงคราม
prince n-park
ผลประโยชน์ชาติทางทะเล
ผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทยหรือผลประโยชน์ชาติทางทะเล หมายถึง ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงได้รับจากทะเลหรือเกี่ยวเนื่องกับทะเลทั้งภายในน่านน้ำไทย หรือน่านน้ำอื่น ๆ รวมถึง ชายฝั่งทะเล เกาะ พื้นดินท้องทะเลหรือใต้พื้นดินท้องทะเล หรืออากาศเหนือท้องทะเลด้วย ทั้งนี้ไม่ว่ากิจกรรมใดในทุก ๆ ด้าน เช่นทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทางทะเล การขนส่งและพาณิชยนาวี การท่องเที่ยว ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรืออื่น ๆ โดยที่มูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ก็น่าจะหมายถึงคุณค่าของผลประโยชน์จากทะเลในมิติที่สามารถประเมินออกมาในรูปตัวเงินและที่ไม่ใช้ตัวเงิน (ดัดแปลงมาจาก เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์, 2550) โดยการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลที่เพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายและเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ต้องอาศัยฐานของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งเมื่อมีการเพิ่มกิจกรรมทางทะเลที่มาก ก็จะทำให้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณ อีกทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลไม่ได้ตกอยู่ในมือของคนไทยในปริมาณที่ควรจะเป็น
องค์ประกอบของผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย
การที่จะให้เกิดภาพความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองการเปลี่ยนแปลงทั้งในมุมมองของเศรษฐกิจและสังคมของภาคทะเล รวมทั้งสถานการณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในบริบทที่สามารถเปรียบเทียบกันได้อย่างใกล้เคียงกันและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ได้แก่ การมองการเปลี่ยนแปลงรวมถึงการวิเคราะห์โดยอาศัยเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งปัจจุบันได้มีการริเริ่มและความพยายามที่จะใช้กันอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้การมองการเปลี่ยนแปลงในรูปของเศรษฐกิจภาคทะเลของประเทศไทยหรือผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ซึ่งประกอบไปด้วยมูลค่าของกิจกรรมทางทะเลและมหาสมุทรและต้นทุนธรรมชาติและระบบนิเวศการบริการทางทะเล (OECD, 2016) ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญ
สำหรับความพยายามในการคิดมูลค่าดังกล่าวได้มีการดำเนินการในประเทศไทยมาตั้งแต่พ.ศ. 2550 ทั้งในภาพรวมของผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ได้แก่ การศึกษาของ เผดิมศักดิ์
จารยะพันธุ์ และคณะ พ.ศ. 2550 และ 2553 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2557 และความพยายามที่จะประเมินในรูปของรายทรัพยากรและระบบนิเวศ ได้แก่ ผลงานของ อรพรรณ
ณ บางช้าง ศรีเสาวลักษณ์ และคณะ พ.ศ. 2556 และ 2557 เป็นต้น
แนวทางและหลักการของการประเมินผลประโยชน์ทางทะเล
แนวทางในการประเมินมูลค่าผลประโยชน์ทางทะเลมีหลายวิธี แต่แนวทางหนึ่งที่ได้ถูกเลือกนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลของประเทศไทยได้แก่ การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม (Total Economics Value; TEV) ซึ่งเป็นวิธีที่เสนอโดย Dziegielewska et. al. (2009)
ปัจจุบันหลายประเทศ รวมทั้งองค์กรต่างๆ ทั่วโลกได้ให้ความสําคัญกับการประเมินมูลค่า ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล มีการศึกษาวิจัยในระดับนานาชาติได้เสนอแนวคิดจากการหามูลค่าทางเศรษฐศาสตร์โดยรวม (Total Economics Value; TEV) ซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกับการประเมินมูลค่าผลประโยชน์กิจกรรมทางบกซึ่งหลักการที่สําคัญของ TEV ก็คือเป็นการคิดมูลค่าทั้งหมดจากการใช้ประโยชน์ โดยตรงและทางอ้อม ทั้งมูลค่าที่เป็นตัวเงินจริง ๆ หรือที่เรียกว่า มูลค่าตลาด (market value) และมูลค่าที่ต้องประเมินเป็นรูปของตัวเงิน หรือมูลค่าที่ไม่มีตลาดรองรับ (non-market value) โดยมูลค่าที่ท่ีจะทําการประเมินแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ
1) มูลค่าการใช้ประโยชน์ (use value) ซึ่งรวมถึงมูลค่าการใช้ประโยชน์โดยตรง (direct use value) และมูลค่าการใช้ประโยชน์ทางอ้อม (indirect use value)
2) มูลค่าการไม่ใช้ประโยชน์ (non-use value) แบ่งออกเป็นมูลค่าคงอยู่ (existence value) หมายถึงมูลค่า ของทรัพยากรที่บุคคลหรือสังคมต้องการให้คงอยู่ต่อไปในอนาคตแม้ว่าบุคคลหรือสังคมนั้นจะ ไม่มีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์หรือไม่มีโอกาสได้ใช้ทรัพยากรดังกล่าวเลยก็ตาม และมูลค่าเพื่อลูกหลาน (bequest value) หมายถึงมูลค่าของทรัพยากรที่บุคคลหรือสังคมในปัจจุบันต้อง อนุรักษ์ไว์ให้ลูกหลานได้เห็นหรือใช้ประโยชน์
http://www.mkh.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=345&Itemid=371&lang=th
กำเนิดกองทัพเรือ
กองทัพเรือ มีกำเนิดควบคู่มากับ การสร้างอาณาจักรไทย นับตั้งแต่ กรุงสุโขทัย เป็นราชธานี กองทัพไทย ในสมัยนั้น มีเพียง ทหารเหล่าเดียว มิได้แบ่งแยกออกเป็น กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่น ในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพ ไปทางบก ก็เรียกว่า "ทัพบก" หากยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า "ทัพเรือ" การจัดระเบียบ การปกครอง บังคับบัญชา กองทัพไทย ในยามปกติ สมัยนั้น ยังไม่มี แบบแผน ที่แน่นอน ในยามศึกสงคราม ได้ใช้ทหาร "ทัพบก" และ"ทัพเรือ" รวมๆ กันไป
ในการ ยาตราทัพ เพื่อทำศึกสงคราม ภายในอาณาจักร หรือ นอกอาณาจักร ก็มีความจำเป็น ต้องใช้เรือ เป็นพาหนะในการ ลำเลียงทหาร เครื่องศาสตราวุธเรือ นอกจาก จะสามารถ ลำเลียง เสบียงอาหาร ได้คราวละมากๆ แล้ว ยังสามารถ ลำเลียง อาวุธหนักๆ เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวก และ รวดเร็ว กว่าทางบกด้วย จึงนิยม ยกทัพ ไปทางเรือ จนสุดทางน้ำ แล้วจึงยกทัพต่อ ไปบนทางบก
เรือรบ ที่เป็นพาหนะ ของกองทัพไทย สมัยโบราณ มี ๒ ประเภท ด้วยกันคือ เรือรบในแม่น้ำ และ เรือรบในทะเล เมื่อสันนิษฐาน จากลักษณะ ที่ตั้ง ของราชธานี ซึ่งมี แม่น้ำล้อมรอบ และ มีแม่น้ำลำคลอง เป็นเส้นทาง ในการคมนาคม ตลอดจน ชีวิตความเป็นอยู่ ที่ต้องใช้น้ำ ในการบริโภค และ การเกษตรกรรม แล้ว เรือรบ ในแม่น้ำ คงมีมาก่อน เรือรบในทะเล เพราะสงคราม ของไทย ในระยะแรกๆ จะเป็น การทำสงคราม ในพื้นที่ ใกล้เคียงกับ ประเทศไทย กล่าวคือ เป็นการ ทำสงคราม กับพม่า เป็นส่วนมาก
เรือรบในแม่น้ำ
ในสมัย กรุงศรีอยุธยา ภายหลัง จากสมเด็จ พระไชยราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๖ - ๒๐๘๙) ทรงยกกองทัพ ไปตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็น เมืองขึ้นของไทย คืนจากพม่า ใน พ.ศ. ๒๐๘๑ ต่อจากนั้น ไทยก็ได้ ทำศึกสงคราม กับพม่า มาโดยตลอด เรือรบในแม่น้ำ ในสมัยนี้ จะมีบทบาท สำคัญ ในการ เป็นพาหนะใช้ทำศึก สงคราม มากกว่า เรือรบ ในทางทะเล เรือรบ ในแม่น้ำ เริ่มต้น มาจาก เรือพาย เรือแจว ก่อน เท่าที่พบหลักฐาน ไทยได้ใช้ เรือรบ ประเภท เรือแซ เป็น เรือรบ ในแม่น้ำ เพื่อใช้ ในการ ลำเลียงทหาร และ เสบียงอาหาร มาช้านาน โดยใช้พาย ๒๐ พาย เป็นกำลังขับเคลื่อน ให้เรือแล่นไป
ในสมัย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๐๙๑ - พ.ศ. ๒๑๑๑)
ได้ทำศึกสงคราม กับ พม่า หลายครั้ง พระองค์ ทรงคิดดัดแปลง เรือแซ เป็น เรือไชย เพื่อใช้ในการ ลำเลียงทหาร ได้มากขึ้น เนื่องจาก เรือแซ ที่ใช้เป็น พาหนะ มาแต่เดิม ลำเลียงทหาร และ เสบียงอาหาร ได้น้อย จึงไม่เหมาะ ที่จะใช้ เป็นพาหนะ ในการ ทำสงคราม ในครั้งนั้น จึงได้มี การเปลี่ยน หน้าที่ ของเรือแซ โดยใช้ เป็นพาหนะในการลำเลียง เสบียงอาหาร และ เครื่องศาสตราวุธ สำหรับ เรือไชย ที่ทรงดัดแปลงใหม่นั้น เป็น เรือ ที่มี ลักษณะ ลำเรือยาว ใช้ฝีพาย ประมาณ ๖๐ - ๗๐ คน แล่นได้รวดเร็ว กว่าเรือแซ ปรากฏว่า ในคราว ที่พม่า ตั้งค่าย ล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิ ได้นำปืนใหญ่ ไปติดตั้ง ที่เรือไชย ออกแล่นยิง ค่ายพม่า จนพม่า ต้องถอยทัพ กลับไป
ในเวลาเดียวกัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงคิดสร้าง เรือรบ รูปศีรษะสัตว์ เพื่อใช้ ทำสงคราม ขึ้นอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะ เช่นเดียวกับ เรือไชย โดยทำหัวเรือ ให้กว้างขึ้น เพื่อให้สามารถ ติดตั้งปืนใหญ่ ที่หัวเรือได้ ต่อมา ยังได้มี การคิดสร้าง เรือรบในแม่น้ำ ขึ้นอีก ประเภทหนึ่ง คือ เรือกราบ แต่ไม่ปรากฏ แน่ชัดว่า เป็น พระมหากษัตริย์ องค์ใด สร้างขึ้น เรือกราบ ที่คิดสร้าง ขึ้นใหม่นี้ มีลักษณะ เช่นเดียวกับ เรือไชย แต่แล่น ได้รวดเร็ว กว่าเรือไชย
เรือรบในทะเล
สำหรับ เรือรบ ในทะเล ในสมัยแรก ยังไม่มี บทบาท สำคัญ ในการ เป็นพาหนะ เท่าเรือรบ ในแม่น้ำ เนื่องจาก ลักษณะ ที่ตั้ง ตัวราชธานี อยู่ไกล จาก ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ความจำเป็น ในการ ใช้เรือ จึงมีน้อยกว่า
ในยามปกติ ก็นำเอาเรือ ที่ใช้ ในทะเล มาเป็น พาหนะ ในการ บรรทุก สินค้า ออกไป ค้าขาย ยังหัวเมือง ชายทะเล ต่างๆ และประเทศ ข้างเคียง ครั้นเมื่อ บ้านเมือง มีศึก สงคราม ก็นำเรือ เหล่านี้ มาติดอาวุธปืนใหญ่ เพื่อใช้ ทำสงคราม แต่ครั้งโบราณ ในสมัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยได้เริ่ม ใช้เรือรบ ในทะเล ในการ ทำศึก สงคราม บ้างแล้ว เช่น ในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือ ไปตี เมืองทวาย เมื่อ พ.ศ.๒๑๓๕ และ ในสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือ ไปตี เมืองบันทายมาศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๔ เป็นต้น ส่วนเรือรบ ในทะเล จะมีเรือ ประเภทใดบ้าง ยังไม่อาจ ทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐาน ว่า คงจะเป็น เรือใบ หลายประเภท ด้วยกัน ถ้าเป็น เรือขนาดใหญ่ ส่วนมาก จะเป็น เรือสำเภา แบบจีน เรือกำปั่นแปลง แต่ถ้าเป็น เรือขนาดย่อม ลงมา จะเป็น เรือสำปั้นแปลง เรือแบบญวน เรือฉลอม เรือเป็ดทะเล และ เรือแบบแขก เป็นต้น
20 พฤศจิกายน วันกองทัพเรือ.อนาคตอันใกล้เราจะมีเรือรบขนาด 25000 ต้น ใหญ่กว่าสิมิลัน และการคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเล
................
......................................
ในอนาคต ความเสี่ยงและภัยคุกคามของเรา คือ ความขัดแย้งจากการแแแย่งชิงผลประโยชน์เขตแดนในทะเล
เราจะยันข้าศึกตั้งแต่ นอกอ่าวไทย ไม่ปล่อยเเข้ามาเขตแดน ด้านใน และตัว กอ.
และ กำลังรบทางอากาศ เราต้องคุมน่านฟ้าให้ได้เมื่อเกิดสงคราม
prince n-park
ผลประโยชน์ชาติทางทะเล
ผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทยหรือผลประโยชน์ชาติทางทะเล หมายถึง ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงได้รับจากทะเลหรือเกี่ยวเนื่องกับทะเลทั้งภายในน่านน้ำไทย หรือน่านน้ำอื่น ๆ รวมถึง ชายฝั่งทะเล เกาะ พื้นดินท้องทะเลหรือใต้พื้นดินท้องทะเล หรืออากาศเหนือท้องทะเลด้วย ทั้งนี้ไม่ว่ากิจกรรมใดในทุก ๆ ด้าน เช่นทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทางทะเล การขนส่งและพาณิชยนาวี การท่องเที่ยว ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรืออื่น ๆ โดยที่มูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ก็น่าจะหมายถึงคุณค่าของผลประโยชน์จากทะเลในมิติที่สามารถประเมินออกมาในรูปตัวเงินและที่ไม่ใช้ตัวเงิน (ดัดแปลงมาจาก เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์, 2550) โดยการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลที่เพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายและเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ต้องอาศัยฐานของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งเมื่อมีการเพิ่มกิจกรรมทางทะเลที่มาก ก็จะทำให้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณ อีกทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลไม่ได้ตกอยู่ในมือของคนไทยในปริมาณที่ควรจะเป็น
องค์ประกอบของผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย
การที่จะให้เกิดภาพความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองการเปลี่ยนแปลงทั้งในมุมมองของเศรษฐกิจและสังคมของภาคทะเล รวมทั้งสถานการณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในบริบทที่สามารถเปรียบเทียบกันได้อย่างใกล้เคียงกันและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ได้แก่ การมองการเปลี่ยนแปลงรวมถึงการวิเคราะห์โดยอาศัยเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งปัจจุบันได้มีการริเริ่มและความพยายามที่จะใช้กันอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้การมองการเปลี่ยนแปลงในรูปของเศรษฐกิจภาคทะเลของประเทศไทยหรือผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ซึ่งประกอบไปด้วยมูลค่าของกิจกรรมทางทะเลและมหาสมุทรและต้นทุนธรรมชาติและระบบนิเวศการบริการทางทะเล (OECD, 2016) ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญ
สำหรับความพยายามในการคิดมูลค่าดังกล่าวได้มีการดำเนินการในประเทศไทยมาตั้งแต่พ.ศ. 2550 ทั้งในภาพรวมของผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ได้แก่ การศึกษาของ เผดิมศักดิ์
จารยะพันธุ์ และคณะ พ.ศ. 2550 และ 2553 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2557 และความพยายามที่จะประเมินในรูปของรายทรัพยากรและระบบนิเวศ ได้แก่ ผลงานของ อรพรรณ
ณ บางช้าง ศรีเสาวลักษณ์ และคณะ พ.ศ. 2556 และ 2557 เป็นต้น
แนวทางและหลักการของการประเมินผลประโยชน์ทางทะเล
แนวทางในการประเมินมูลค่าผลประโยชน์ทางทะเลมีหลายวิธี แต่แนวทางหนึ่งที่ได้ถูกเลือกนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลของประเทศไทยได้แก่ การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม (Total Economics Value; TEV) ซึ่งเป็นวิธีที่เสนอโดย Dziegielewska et. al. (2009)
ปัจจุบันหลายประเทศ รวมทั้งองค์กรต่างๆ ทั่วโลกได้ให้ความสําคัญกับการประเมินมูลค่า ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล มีการศึกษาวิจัยในระดับนานาชาติได้เสนอแนวคิดจากการหามูลค่าทางเศรษฐศาสตร์โดยรวม (Total Economics Value; TEV) ซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกับการประเมินมูลค่าผลประโยชน์กิจกรรมทางบกซึ่งหลักการที่สําคัญของ TEV ก็คือเป็นการคิดมูลค่าทั้งหมดจากการใช้ประโยชน์ โดยตรงและทางอ้อม ทั้งมูลค่าที่เป็นตัวเงินจริง ๆ หรือที่เรียกว่า มูลค่าตลาด (market value) และมูลค่าที่ต้องประเมินเป็นรูปของตัวเงิน หรือมูลค่าที่ไม่มีตลาดรองรับ (non-market value) โดยมูลค่าที่ท่ีจะทําการประเมินแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ
1) มูลค่าการใช้ประโยชน์ (use value) ซึ่งรวมถึงมูลค่าการใช้ประโยชน์โดยตรง (direct use value) และมูลค่าการใช้ประโยชน์ทางอ้อม (indirect use value)
2) มูลค่าการไม่ใช้ประโยชน์ (non-use value) แบ่งออกเป็นมูลค่าคงอยู่ (existence value) หมายถึงมูลค่า ของทรัพยากรที่บุคคลหรือสังคมต้องการให้คงอยู่ต่อไปในอนาคตแม้ว่าบุคคลหรือสังคมนั้นจะ ไม่มีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์หรือไม่มีโอกาสได้ใช้ทรัพยากรดังกล่าวเลยก็ตาม และมูลค่าเพื่อลูกหลาน (bequest value) หมายถึงมูลค่าของทรัพยากรที่บุคคลหรือสังคมในปัจจุบันต้อง อนุรักษ์ไว์ให้ลูกหลานได้เห็นหรือใช้ประโยชน์
http://www.mkh.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=345&Itemid=371&lang=th
กำเนิดกองทัพเรือ
กองทัพเรือ มีกำเนิดควบคู่มากับ การสร้างอาณาจักรไทย นับตั้งแต่ กรุงสุโขทัย เป็นราชธานี กองทัพไทย ในสมัยนั้น มีเพียง ทหารเหล่าเดียว มิได้แบ่งแยกออกเป็น กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่น ในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพ ไปทางบก ก็เรียกว่า "ทัพบก" หากยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า "ทัพเรือ" การจัดระเบียบ การปกครอง บังคับบัญชา กองทัพไทย ในยามปกติ สมัยนั้น ยังไม่มี แบบแผน ที่แน่นอน ในยามศึกสงคราม ได้ใช้ทหาร "ทัพบก" และ"ทัพเรือ" รวมๆ กันไป
ในการ ยาตราทัพ เพื่อทำศึกสงคราม ภายในอาณาจักร หรือ นอกอาณาจักร ก็มีความจำเป็น ต้องใช้เรือ เป็นพาหนะในการ ลำเลียงทหาร เครื่องศาสตราวุธเรือ นอกจาก จะสามารถ ลำเลียง เสบียงอาหาร ได้คราวละมากๆ แล้ว ยังสามารถ ลำเลียง อาวุธหนักๆ เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวก และ รวดเร็ว กว่าทางบกด้วย จึงนิยม ยกทัพ ไปทางเรือ จนสุดทางน้ำ แล้วจึงยกทัพต่อ ไปบนทางบก
เรือรบ ที่เป็นพาหนะ ของกองทัพไทย สมัยโบราณ มี ๒ ประเภท ด้วยกันคือ เรือรบในแม่น้ำ และ เรือรบในทะเล เมื่อสันนิษฐาน จากลักษณะ ที่ตั้ง ของราชธานี ซึ่งมี แม่น้ำล้อมรอบ และ มีแม่น้ำลำคลอง เป็นเส้นทาง ในการคมนาคม ตลอดจน ชีวิตความเป็นอยู่ ที่ต้องใช้น้ำ ในการบริโภค และ การเกษตรกรรม แล้ว เรือรบ ในแม่น้ำ คงมีมาก่อน เรือรบในทะเล เพราะสงคราม ของไทย ในระยะแรกๆ จะเป็น การทำสงคราม ในพื้นที่ ใกล้เคียงกับ ประเทศไทย กล่าวคือ เป็นการ ทำสงคราม กับพม่า เป็นส่วนมาก
เรือรบในแม่น้ำ
ในสมัย กรุงศรีอยุธยา ภายหลัง จากสมเด็จ พระไชยราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๖ - ๒๐๘๙) ทรงยกกองทัพ ไปตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็น เมืองขึ้นของไทย คืนจากพม่า ใน พ.ศ. ๒๐๘๑ ต่อจากนั้น ไทยก็ได้ ทำศึกสงคราม กับพม่า มาโดยตลอด เรือรบในแม่น้ำ ในสมัยนี้ จะมีบทบาท สำคัญ ในการ เป็นพาหนะใช้ทำศึก สงคราม มากกว่า เรือรบ ในทางทะเล เรือรบ ในแม่น้ำ เริ่มต้น มาจาก เรือพาย เรือแจว ก่อน เท่าที่พบหลักฐาน ไทยได้ใช้ เรือรบ ประเภท เรือแซ เป็น เรือรบ ในแม่น้ำ เพื่อใช้ ในการ ลำเลียงทหาร และ เสบียงอาหาร มาช้านาน โดยใช้พาย ๒๐ พาย เป็นกำลังขับเคลื่อน ให้เรือแล่นไป
ในสมัย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๐๙๑ - พ.ศ. ๒๑๑๑)
ได้ทำศึกสงคราม กับ พม่า หลายครั้ง พระองค์ ทรงคิดดัดแปลง เรือแซ เป็น เรือไชย เพื่อใช้ในการ ลำเลียงทหาร ได้มากขึ้น เนื่องจาก เรือแซ ที่ใช้เป็น พาหนะ มาแต่เดิม ลำเลียงทหาร และ เสบียงอาหาร ได้น้อย จึงไม่เหมาะ ที่จะใช้ เป็นพาหนะ ในการ ทำสงคราม ในครั้งนั้น จึงได้มี การเปลี่ยน หน้าที่ ของเรือแซ โดยใช้ เป็นพาหนะในการลำเลียง เสบียงอาหาร และ เครื่องศาสตราวุธ สำหรับ เรือไชย ที่ทรงดัดแปลงใหม่นั้น เป็น เรือ ที่มี ลักษณะ ลำเรือยาว ใช้ฝีพาย ประมาณ ๖๐ - ๗๐ คน แล่นได้รวดเร็ว กว่าเรือแซ ปรากฏว่า ในคราว ที่พม่า ตั้งค่าย ล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิ ได้นำปืนใหญ่ ไปติดตั้ง ที่เรือไชย ออกแล่นยิง ค่ายพม่า จนพม่า ต้องถอยทัพ กลับไป
ในเวลาเดียวกัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงคิดสร้าง เรือรบ รูปศีรษะสัตว์ เพื่อใช้ ทำสงคราม ขึ้นอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะ เช่นเดียวกับ เรือไชย โดยทำหัวเรือ ให้กว้างขึ้น เพื่อให้สามารถ ติดตั้งปืนใหญ่ ที่หัวเรือได้ ต่อมา ยังได้มี การคิดสร้าง เรือรบในแม่น้ำ ขึ้นอีก ประเภทหนึ่ง คือ เรือกราบ แต่ไม่ปรากฏ แน่ชัดว่า เป็น พระมหากษัตริย์ องค์ใด สร้างขึ้น เรือกราบ ที่คิดสร้าง ขึ้นใหม่นี้ มีลักษณะ เช่นเดียวกับ เรือไชย แต่แล่น ได้รวดเร็ว กว่าเรือไชย
เรือรบในทะเล
สำหรับ เรือรบ ในทะเล ในสมัยแรก ยังไม่มี บทบาท สำคัญ ในการ เป็นพาหนะ เท่าเรือรบ ในแม่น้ำ เนื่องจาก ลักษณะ ที่ตั้ง ตัวราชธานี อยู่ไกล จาก ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ความจำเป็น ในการ ใช้เรือ จึงมีน้อยกว่า
ในยามปกติ ก็นำเอาเรือ ที่ใช้ ในทะเล มาเป็น พาหนะ ในการ บรรทุก สินค้า ออกไป ค้าขาย ยังหัวเมือง ชายทะเล ต่างๆ และประเทศ ข้างเคียง ครั้นเมื่อ บ้านเมือง มีศึก สงคราม ก็นำเรือ เหล่านี้ มาติดอาวุธปืนใหญ่ เพื่อใช้ ทำสงคราม แต่ครั้งโบราณ ในสมัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยได้เริ่ม ใช้เรือรบ ในทะเล ในการ ทำศึก สงคราม บ้างแล้ว เช่น ในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือ ไปตี เมืองทวาย เมื่อ พ.ศ.๒๑๓๕ และ ในสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือ ไปตี เมืองบันทายมาศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๔ เป็นต้น ส่วนเรือรบ ในทะเล จะมีเรือ ประเภทใดบ้าง ยังไม่อาจ ทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐาน ว่า คงจะเป็น เรือใบ หลายประเภท ด้วยกัน ถ้าเป็น เรือขนาดใหญ่ ส่วนมาก จะเป็น เรือสำเภา แบบจีน เรือกำปั่นแปลง แต่ถ้าเป็น เรือขนาดย่อม ลงมา จะเป็น เรือสำปั้นแปลง เรือแบบญวน เรือฉลอม เรือเป็ดทะเล และ เรือแบบแขก เป็นต้น