
เปิดให้บริการมาพักใหญ่แล้วนะครับ สำหรับโรงหนัง House Samyan ที่ย้ายจาก House RCA ที่ปิดตัวลงด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างไม่เอื้ออำนวย จนได้มาเปิดที่ สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น 5 พร้อมกับคอนเซ็ปต์เดิม คือหนังทางเลือก หนังคลาสสิค หนังอินดี้ และหนังรางวัล ที่หาดูได้ยาก บวกกับจุดขายใหม่ที่เดินทางมาได้ง่ายกว่าเดิมมากๆ พอดีทาง สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International จะมีการนำหนังเก่าคลาสสิคของ หว่องกาไว เรื่อง Day of Being Wild ที่นำแสดงโดย เลสลี่จาง หลิวเต๋อหัว หลียงเฉาเหว่ย จางม่านอวี้ จางเซียะโหย่ว มาฉายใหม่ ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมได้ซึมซับข้อมูลหลายๆ อย่างจากเพจ “เก้ากระบี่เดียวดาย” ซึ่งเป็นเพจที่ผมชอบและติดตามอ่านทุกเนื้อหา ต้องขอบคุณเพจนี้มากที่ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ และก็เป็นเพจ กับทางค่ายหนัง ที่ให้บัตรรอบสื่อมวลชนนี้มาครั ต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

Day of Being Wild เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวชาวฮ่องกง ที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักชื่อ “ยกไจ๋” (เลสลี่จาง) ซึ่งเป็นตัวละครที่เชื่อเรื่องราวของ “นกไร้ขา” ที่จะบินไปเรื่อยๆ ถ้าจะตกลงมาก็คือวันที่นกตัวนั้นตาย เปรียบเสมือนชีวิตของตัวเองที่อยากจะบินท่องไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติดกับอะไรแม้แต่คนรัก ซึ่ง “ยกไจ๋” เป็นเพลย์บอยที่จะมีผู้หญิงผ่านเข้ามามากหน้าหลายตา และเมื่อถึงเวลา “ยกไจ๋” ก็จะทิ้งผู้หญิงเหล่านั้นและโบยบินไปที่อื่น โดยในเรื่องจะมีคนอีก 5 คนที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเขา คือ แม่เลี้ยงของยกไจ๋ ที่รับเขามาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก, โซวไหล่เจิน (จางม่านอี้) และมีมี่ (หลิวเจียหลิง) คู่นอนทั้งสองคนของยกไจ๋, แดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) เพื่อนสนิทของยกไจ๋ตั้งแต่เด็ก, และตำรวจ ที่ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ผู้ที่บังเอิญต้องมีส่วนกับจุดหักเหใหญ่ครั้งสำคัญในชีวิตของยกไจ๋ถึง 2 ครั้ง (หลิวเต๋อหัว) ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตัวละครทุกตัวละคร กลับมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันอยู่

บอกตามตรงผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้เลยและแทบไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะในยุคที่หนังฮ่องกงเข้ามาระบาดในเมืองไทยหนักๆ มันคือช่วงที่ผมยังไม่ได้ดูหนังอะไรมากมาย ที่ดูก็จะมีแค่หนังแนวกังฟู หรือหนังแนวเจ้าพ่อมาเฟียที่เข้ามาฉายแล้วมีสโลแกน “ฉีเคอะกำกับ” หรือไม่ก็แนวที่ทีมพากย์อินทรีพากย์เอามันส์เอาฮาเท่านั้น ส่วนหนังแนวอินดี้หรือหนังนัวร์ๆ เหงาๆ นี่เรียกว่าผมมาตามเก็บดูเรื่องที่ออกขายเป็น DVD เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เรียกว่าไม่เคยเห็น DVD เลยด้วยซ้ำ พอได้มาอ่านการตีความของหนังจากเพจ “เก้ากระบี่เดียวดาย” และด้วยความที่เริ่มแก่แล้ว หนังแนวนี้เป็นอีกแนวทางเลือกที่ผมชอบดูเป็นอย่างมาก มันเหมือนการเสพย์อารมณ์ของผู้กำกับและนักแสดงได้เป็นอย่างดี

หนังเริ่มต้นด้วยความเงียบ เดินเรื่องด้วยความเงียบ และค่อยๆ ถ่ายทอดความเหงาเปล่าเปลี่ยวในใจของตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ตัวละครที่อยู่ในหนังแต่ละตัว ถึงแม้จะมีนิสัยและคาแรคเตอร์แตกต่างกัน แต่ทุกตัวละครกลับแสดงความเหงาที่อยู่ในใจออกมาผ่านการดำเนินเรื่องราวของหนังได้อย่างมหัศจรรย์ แน่นอนว่าตัวละครเอกอย่าง “ยกไจ๋” เป็นตัวละครที่เห็นได้ชัดที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกคนรวยที่มีคนให้เงินใช้ วันๆ ก็แค่ใช้ชีวิตไปตามเรื่องตามราว ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องทำอะไร ทำตัวเสเพลเป็นเพลย์บอย หลอกสาวๆ ให้หลงรักแล้วก็ทิ้ง เหมือนกับ “นกไร้ขา” ในอุดมคติของเขา แต่กลับมีพลังความเหงาเหล่าเปลี่ยวในหัวใจของเขาที่คนดูแค่เห็นสีหน้าและแววตาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่มีอยู่ในใจ แถมชีวิตก็ยังมีปมเรื่องที่ถูกแม่แท้ๆ ทิ้งให้แม่เลี้ยงที่เป็นโสเภณีเลี้ยงดู “ยกไจ๋” จึงกลายเป็นผู้ชายที่โหยหาความรักจากเพศตรงข้ามเป็นอย่างมาก

ตัวละครอีกสี่ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญของเรื่อง คนแรก “โซวไหล่เจิน” (จางม่านอี้) คู่นอนคนแรกของ “ยกไจ๋” ในเรื่อง ก็แสดงให้เห็นถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่มีอยู่ในตัว ท่ามกลางความวุ่นวายของงานขายของที่สนามฟุตบอล ด้วยเพียงแค่ประโยคที่ว่า “คืนนี้คุณฝันเห็นผมแน่นอน” และการหลอกล่อในแบบเพลย์บอยด้วยประโยคที่ว่า “ผมจะจดจำ 1 นาทีนี้ไปตลอด” แค่นี้คนเหงาอย่าง “โซวไหล่เจิน” ก็ละลายจนเรียกว่า ฝังใจกับชายคนนี้อย่างไม่ลืมตาอ้าปาก ผิดกับมีมี่ (หลิวเจียหลิง) คู่นอนคนที่สองในเรื่อง ที่คาแรคเตอร์แตกต่างกับสาวคนแรกอย่างฟ้ากับเหว มีมี่ เป็นคนที่มีอาชีพอยู่ในสังคมกลางคืน แต่เมื่อมาเจอกับ “ยกไจ๋” กลับหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ ถึงขั้นยอมทำทุกอย่างให้ได้โดยไม่ต้องแลกกับอะไร ขอแค่เขาอยู่กับเธอโดยไม่ทิ้งเธอไปก็พอ แสดงให้เห็นถึงความโหยหาความรักของตัวละครที่หน้าฉากดูเป็นสาวร่าเริง แต่ในใจกลับอ้างว้างขาดความรักขนาดหนัก

ตัวละครสำคัญอีกคนของเรื่องคือ ตำรวจ ที่ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ผู้ที่บังเอิญต้องมีส่วนกับจุดหักเหใหญ่ครั้งสำคัญในชีวิตของยกไจ๋ถึง 2 ครั้ง (หลิวเต๋อหัว) ตัวละครนี้ดูจะเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่อง เพราะเป็นตัวละครที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ได้มาเจอ “โซวไหล่เจิน” ในช่วงที่โดน “ยกไจ๋” ทิ้ง และดันไปเจอ “ยกไจ๋” ในช่วงที่กำลังคับขันที่ฟิลลิปปินส์ ตัวละครนายตำรวจ เป็นตัวละครที่ดูเหงาเปล่าเปลี่ยวด้วยตัวของเขาเองเพียงแต่สิ่งที่มันขับความเหงาของเขาให้เพิ่มขึ้น คือการไปตกหลุมรัก “โซวไหล่เจิน” และการที่มาเจอคนที่เดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้เส้นทาง ทำให้คนอย่างนายตำรวจที่เดินตามความฝันแบบไม่ออกนอกลู่นอกทาง ต้องมาเจอกับเรื่องราวที่ไม่คาดฝัน แต่ก็อย่างที่บอก ตัวละครนี้ก็เป็นตัวละครที่โดดเดี่ยวอยู่แล้ว แล้วยิ่งต้องเดินตามความฝันด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีใครคอยเป็นแรงขับดันให้อีก (ในเรื่องคือแม่เสียชีวิต) ก็ทำให้เขากลายเป็นคนเข้มแข็งที่โดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด และตัวละครสุดท้ายคือ แดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) เพื่อนสนิทของยกไจ๋ตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ดูไร้ค่าเอามากๆ ในหนัง บทของแดนนี่เป็นบทที่ไม่มีใครสนใจใส่ใจ เป็นเหมือนตัวละครที่ถูกทิ้งขว้าง และไม่มีตัวตน แต่ด้วยบทนี้แหละ ทำให้ตัวละครนี้เป็นอีกตัวที่โดดเด่นด้านความเหงา เพราะถึงแม่ว่าเขาจะได้อะไรต่อมาจาก “ยกไจ๋” แต่คนที่เห็นเขาก็ยังบอกว่าเขาไร้ค่าอยู่ดี ฉากที่ “แดนนี่” โดน “มีมี่” ด่ากลางสายฝนนี่โคตรจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ

นอกจากอารณ์ของหนังที่สื่อออกมาได้อย่างรุนแรงดาเมจมากๆ แล้ว ภาพหนังที่ทำออกมานัวร์ๆ โทนอึมครึม มันขับพลังความอ้างว้างออกมาได้แทบจะสุดขั้วหัวใจ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าใครอินก็แทบจะอารมณ์ดิ่งลึกลงไปในความอ้างว้างเลยทีเดียว แต่ถ้าใครไม่อินก็ “หลับ” สบายเลยล่ะครับ ส่วนผมเหรอ เรียกว่าดิ่งจนบอกไม่ถูก ออกมาจากโรง โคตรประทับใจกับในทุกๆ พาร์ทของหนังเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนสุดท้าย ที่เอาจริงๆ นะ “เหลียงเฉาเหว่ย” คือใคร มันเป็นตัวละครอะไร ออกมาหวีผมในห้องแคบๆ แล้วก็เดินออกไป แล้วก็ตัดจบ มันคืออะไร??? แต่เฮ้ยยยย!!!

โคตรทรงพลังเอามากๆ กับฉากนี้ มันคือฉากคลาสสิคที่เป็นตำนานความงงไปแล้ว ซึ่งภายหลังทราบจากเพจ “เก้ากระบี่เดียวดาย” ว่ามันคือฉากที่ “หว่องกาไว” ถ่ายทำไว้แล้วงบหมดแล้วไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหนของเรื่อง ตอนแรกจะใส่ในตัวอย่างหนังแต่ไม่ใส่ในตัวหนังจริง แต่ทางผู้กำกับภาพกลับบอกว่า ใส่ไว้ท้ายเรื่องนี่แหละไหนๆ ก็ถ่ายมาแล้ว แล้วใส่เพลงเข้าไป โอ้โห...กลายเป็นฉากที่ทรงพลังมากๆ

เคยมั๊ยครับที่ดูหนังเรื่องนึงจบแล้วชอบมาก แต่กลับบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงชอบ และชอบอะไรในหนัง เรื่องนี้มันบอกอารมณ์ผมได้ประมาณนั้นเลยล่ะ ดูจบอารมณ์เหงาและอ้างว้างมันดิ่งลึกไปสุดหัวใจ ผมต้องนั่งในรถประมาณ 10 นาทีถึงจะอารมณ์กลับมาเป็นปกติ เรียกว่าหนังมาพาเราไปเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์ สงสัยต้องไปตามหาหนัง “หว่องกาไว” มาดูเพิ่มซะหน่อยละ

ขอขอบคุณบัตรรอบสื่อจาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International และเพจเก้ากระบี่เดียวดาย ด้วยนะครับ โดยเฉพาะเพจเก้ากระบี่เดียวดาย ที่เขียนบทความดีๆ เกี่ยวกับวงการหนังฮ่องกง ได้อย่างลึกซึ้ง ข้าน้อยขอคารวะ
#ดูหนังกันมั๊ย #รีวิวหนัง #moviereview #ดูหนัง #movie #ภาพยนตร์ #nowshowing #หนังเข้าใหม่

สำหรับคอหนังหนังทางเลือก หนังคลาสสิค หนังอินดี้ และหนังรางวัล ที่หาดูได้ยาก ทาง House Samyan ยกขบวนพาเหรด ภาพยนตร์สุดคลาสสิคระดับตำนาน ที่จะจัดฉาย แบบพิเศษสุดในวีคสุดท้ายของทุกเดือน และแทบทุกเรื่องจัดว่าอยู่ในลิสต์ “ต้องดูให้ได้สักครั้งก่อนตาย” เช่น “Tokyo Story” (1953) ของปรมาจารย์ผู้กำกับคนสำคัญชาวญี่ปุ่น “ยาซูจิโร โอซุ” , “Maurice” (1987) โดยผู้กำกับ “เจมส์ ไอเวอร์รี่”, หนังเจ้าของรางวัลออสการ์ที่ใคร ๆ หลงรัก “Forrest Gump” (1994) หรือ ผลงานต้นแบบตลอดกาลของผู้กำกับ “วู้ดดี้ อัลเลน” เรื่อง “Manhattan” (1979) หรือแม้แต่หนังมาเฟียระดับตำนานของฮ่องกงอย่าง “โหด เลว ดี” เป็นต้น ต้องลองไปดูกันนะครับ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[SR] [#Review] ประสบการณ์ดูหนังที่ House Samyan กับหนังคลาสสิคที่ดูแล้วเหงาที่สุด Day of Being Wild
เปิดให้บริการมาพักใหญ่แล้วนะครับ สำหรับโรงหนัง House Samyan ที่ย้ายจาก House RCA ที่ปิดตัวลงด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างไม่เอื้ออำนวย จนได้มาเปิดที่ สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น 5 พร้อมกับคอนเซ็ปต์เดิม คือหนังทางเลือก หนังคลาสสิค หนังอินดี้ และหนังรางวัล ที่หาดูได้ยาก บวกกับจุดขายใหม่ที่เดินทางมาได้ง่ายกว่าเดิมมากๆ พอดีทาง สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International จะมีการนำหนังเก่าคลาสสิคของ หว่องกาไว เรื่อง Day of Being Wild ที่นำแสดงโดย เลสลี่จาง หลิวเต๋อหัว หลียงเฉาเหว่ย จางม่านอวี้ จางเซียะโหย่ว มาฉายใหม่ ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมได้ซึมซับข้อมูลหลายๆ อย่างจากเพจ “เก้ากระบี่เดียวดาย” ซึ่งเป็นเพจที่ผมชอบและติดตามอ่านทุกเนื้อหา ต้องขอบคุณเพจนี้มากที่ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ และก็เป็นเพจ กับทางค่ายหนัง ที่ให้บัตรรอบสื่อมวลชนนี้มาครั ต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
Day of Being Wild เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวชาวฮ่องกง ที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักชื่อ “ยกไจ๋” (เลสลี่จาง) ซึ่งเป็นตัวละครที่เชื่อเรื่องราวของ “นกไร้ขา” ที่จะบินไปเรื่อยๆ ถ้าจะตกลงมาก็คือวันที่นกตัวนั้นตาย เปรียบเสมือนชีวิตของตัวเองที่อยากจะบินท่องไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติดกับอะไรแม้แต่คนรัก ซึ่ง “ยกไจ๋” เป็นเพลย์บอยที่จะมีผู้หญิงผ่านเข้ามามากหน้าหลายตา และเมื่อถึงเวลา “ยกไจ๋” ก็จะทิ้งผู้หญิงเหล่านั้นและโบยบินไปที่อื่น โดยในเรื่องจะมีคนอีก 5 คนที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเขา คือ แม่เลี้ยงของยกไจ๋ ที่รับเขามาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก, โซวไหล่เจิน (จางม่านอี้) และมีมี่ (หลิวเจียหลิง) คู่นอนทั้งสองคนของยกไจ๋, แดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) เพื่อนสนิทของยกไจ๋ตั้งแต่เด็ก, และตำรวจ ที่ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ผู้ที่บังเอิญต้องมีส่วนกับจุดหักเหใหญ่ครั้งสำคัญในชีวิตของยกไจ๋ถึง 2 ครั้ง (หลิวเต๋อหัว) ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตัวละครทุกตัวละคร กลับมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันอยู่
บอกตามตรงผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้เลยและแทบไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะในยุคที่หนังฮ่องกงเข้ามาระบาดในเมืองไทยหนักๆ มันคือช่วงที่ผมยังไม่ได้ดูหนังอะไรมากมาย ที่ดูก็จะมีแค่หนังแนวกังฟู หรือหนังแนวเจ้าพ่อมาเฟียที่เข้ามาฉายแล้วมีสโลแกน “ฉีเคอะกำกับ” หรือไม่ก็แนวที่ทีมพากย์อินทรีพากย์เอามันส์เอาฮาเท่านั้น ส่วนหนังแนวอินดี้หรือหนังนัวร์ๆ เหงาๆ นี่เรียกว่าผมมาตามเก็บดูเรื่องที่ออกขายเป็น DVD เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เรียกว่าไม่เคยเห็น DVD เลยด้วยซ้ำ พอได้มาอ่านการตีความของหนังจากเพจ “เก้ากระบี่เดียวดาย” และด้วยความที่เริ่มแก่แล้ว หนังแนวนี้เป็นอีกแนวทางเลือกที่ผมชอบดูเป็นอย่างมาก มันเหมือนการเสพย์อารมณ์ของผู้กำกับและนักแสดงได้เป็นอย่างดี
หนังเริ่มต้นด้วยความเงียบ เดินเรื่องด้วยความเงียบ และค่อยๆ ถ่ายทอดความเหงาเปล่าเปลี่ยวในใจของตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ตัวละครที่อยู่ในหนังแต่ละตัว ถึงแม้จะมีนิสัยและคาแรคเตอร์แตกต่างกัน แต่ทุกตัวละครกลับแสดงความเหงาที่อยู่ในใจออกมาผ่านการดำเนินเรื่องราวของหนังได้อย่างมหัศจรรย์ แน่นอนว่าตัวละครเอกอย่าง “ยกไจ๋” เป็นตัวละครที่เห็นได้ชัดที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกคนรวยที่มีคนให้เงินใช้ วันๆ ก็แค่ใช้ชีวิตไปตามเรื่องตามราว ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องทำอะไร ทำตัวเสเพลเป็นเพลย์บอย หลอกสาวๆ ให้หลงรักแล้วก็ทิ้ง เหมือนกับ “นกไร้ขา” ในอุดมคติของเขา แต่กลับมีพลังความเหงาเหล่าเปลี่ยวในหัวใจของเขาที่คนดูแค่เห็นสีหน้าและแววตาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่มีอยู่ในใจ แถมชีวิตก็ยังมีปมเรื่องที่ถูกแม่แท้ๆ ทิ้งให้แม่เลี้ยงที่เป็นโสเภณีเลี้ยงดู “ยกไจ๋” จึงกลายเป็นผู้ชายที่โหยหาความรักจากเพศตรงข้ามเป็นอย่างมาก
ตัวละครอีกสี่ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญของเรื่อง คนแรก “โซวไหล่เจิน” (จางม่านอี้) คู่นอนคนแรกของ “ยกไจ๋” ในเรื่อง ก็แสดงให้เห็นถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่มีอยู่ในตัว ท่ามกลางความวุ่นวายของงานขายของที่สนามฟุตบอล ด้วยเพียงแค่ประโยคที่ว่า “คืนนี้คุณฝันเห็นผมแน่นอน” และการหลอกล่อในแบบเพลย์บอยด้วยประโยคที่ว่า “ผมจะจดจำ 1 นาทีนี้ไปตลอด” แค่นี้คนเหงาอย่าง “โซวไหล่เจิน” ก็ละลายจนเรียกว่า ฝังใจกับชายคนนี้อย่างไม่ลืมตาอ้าปาก ผิดกับมีมี่ (หลิวเจียหลิง) คู่นอนคนที่สองในเรื่อง ที่คาแรคเตอร์แตกต่างกับสาวคนแรกอย่างฟ้ากับเหว มีมี่ เป็นคนที่มีอาชีพอยู่ในสังคมกลางคืน แต่เมื่อมาเจอกับ “ยกไจ๋” กลับหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ ถึงขั้นยอมทำทุกอย่างให้ได้โดยไม่ต้องแลกกับอะไร ขอแค่เขาอยู่กับเธอโดยไม่ทิ้งเธอไปก็พอ แสดงให้เห็นถึงความโหยหาความรักของตัวละครที่หน้าฉากดูเป็นสาวร่าเริง แต่ในใจกลับอ้างว้างขาดความรักขนาดหนัก
ตัวละครสำคัญอีกคนของเรื่องคือ ตำรวจ ที่ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ผู้ที่บังเอิญต้องมีส่วนกับจุดหักเหใหญ่ครั้งสำคัญในชีวิตของยกไจ๋ถึง 2 ครั้ง (หลิวเต๋อหัว) ตัวละครนี้ดูจะเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่อง เพราะเป็นตัวละครที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ได้มาเจอ “โซวไหล่เจิน” ในช่วงที่โดน “ยกไจ๋” ทิ้ง และดันไปเจอ “ยกไจ๋” ในช่วงที่กำลังคับขันที่ฟิลลิปปินส์ ตัวละครนายตำรวจ เป็นตัวละครที่ดูเหงาเปล่าเปลี่ยวด้วยตัวของเขาเองเพียงแต่สิ่งที่มันขับความเหงาของเขาให้เพิ่มขึ้น คือการไปตกหลุมรัก “โซวไหล่เจิน” และการที่มาเจอคนที่เดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้เส้นทาง ทำให้คนอย่างนายตำรวจที่เดินตามความฝันแบบไม่ออกนอกลู่นอกทาง ต้องมาเจอกับเรื่องราวที่ไม่คาดฝัน แต่ก็อย่างที่บอก ตัวละครนี้ก็เป็นตัวละครที่โดดเดี่ยวอยู่แล้ว แล้วยิ่งต้องเดินตามความฝันด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีใครคอยเป็นแรงขับดันให้อีก (ในเรื่องคือแม่เสียชีวิต) ก็ทำให้เขากลายเป็นคนเข้มแข็งที่โดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด และตัวละครสุดท้ายคือ แดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) เพื่อนสนิทของยกไจ๋ตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ดูไร้ค่าเอามากๆ ในหนัง บทของแดนนี่เป็นบทที่ไม่มีใครสนใจใส่ใจ เป็นเหมือนตัวละครที่ถูกทิ้งขว้าง และไม่มีตัวตน แต่ด้วยบทนี้แหละ ทำให้ตัวละครนี้เป็นอีกตัวที่โดดเด่นด้านความเหงา เพราะถึงแม่ว่าเขาจะได้อะไรต่อมาจาก “ยกไจ๋” แต่คนที่เห็นเขาก็ยังบอกว่าเขาไร้ค่าอยู่ดี ฉากที่ “แดนนี่” โดน “มีมี่” ด่ากลางสายฝนนี่โคตรจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ
นอกจากอารณ์ของหนังที่สื่อออกมาได้อย่างรุนแรงดาเมจมากๆ แล้ว ภาพหนังที่ทำออกมานัวร์ๆ โทนอึมครึม มันขับพลังความอ้างว้างออกมาได้แทบจะสุดขั้วหัวใจ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าใครอินก็แทบจะอารมณ์ดิ่งลึกลงไปในความอ้างว้างเลยทีเดียว แต่ถ้าใครไม่อินก็ “หลับ” สบายเลยล่ะครับ ส่วนผมเหรอ เรียกว่าดิ่งจนบอกไม่ถูก ออกมาจากโรง โคตรประทับใจกับในทุกๆ พาร์ทของหนังเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนสุดท้าย ที่เอาจริงๆ นะ “เหลียงเฉาเหว่ย” คือใคร มันเป็นตัวละครอะไร ออกมาหวีผมในห้องแคบๆ แล้วก็เดินออกไป แล้วก็ตัดจบ มันคืออะไร??? แต่เฮ้ยยยย!!!
เคยมั๊ยครับที่ดูหนังเรื่องนึงจบแล้วชอบมาก แต่กลับบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงชอบ และชอบอะไรในหนัง เรื่องนี้มันบอกอารมณ์ผมได้ประมาณนั้นเลยล่ะ ดูจบอารมณ์เหงาและอ้างว้างมันดิ่งลึกไปสุดหัวใจ ผมต้องนั่งในรถประมาณ 10 นาทีถึงจะอารมณ์กลับมาเป็นปกติ เรียกว่าหนังมาพาเราไปเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์ สงสัยต้องไปตามหาหนัง “หว่องกาไว” มาดูเพิ่มซะหน่อยละ
ขอขอบคุณบัตรรอบสื่อจาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International และเพจเก้ากระบี่เดียวดาย ด้วยนะครับ โดยเฉพาะเพจเก้ากระบี่เดียวดาย ที่เขียนบทความดีๆ เกี่ยวกับวงการหนังฮ่องกง ได้อย่างลึกซึ้ง ข้าน้อยขอคารวะ
#ดูหนังกันมั๊ย #รีวิวหนัง #moviereview #ดูหนัง #movie #ภาพยนตร์ #nowshowing #หนังเข้าใหม่
สำหรับคอหนังหนังทางเลือก หนังคลาสสิค หนังอินดี้ และหนังรางวัล ที่หาดูได้ยาก ทาง House Samyan ยกขบวนพาเหรด ภาพยนตร์สุดคลาสสิคระดับตำนาน ที่จะจัดฉาย แบบพิเศษสุดในวีคสุดท้ายของทุกเดือน และแทบทุกเรื่องจัดว่าอยู่ในลิสต์ “ต้องดูให้ได้สักครั้งก่อนตาย” เช่น “Tokyo Story” (1953) ของปรมาจารย์ผู้กำกับคนสำคัญชาวญี่ปุ่น “ยาซูจิโร โอซุ” , “Maurice” (1987) โดยผู้กำกับ “เจมส์ ไอเวอร์รี่”, หนังเจ้าของรางวัลออสการ์ที่ใคร ๆ หลงรัก “Forrest Gump” (1994) หรือ ผลงานต้นแบบตลอดกาลของผู้กำกับ “วู้ดดี้ อัลเลน” เรื่อง “Manhattan” (1979) หรือแม้แต่หนังมาเฟียระดับตำนานของฮ่องกงอย่าง “โหด เลว ดี” เป็นต้น ต้องลองไปดูกันนะครับ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น