ฟองสบู่ไม่แตกหรอกครับ .... มองว่า รอบนี้เป็นวิกฤติคนละแบบกับเมื่อปี 40

ตามความเห็นส่วนตัวของผม เชื่อว่า เศรษฐกิจฟองสบู่ หรือ ที่เรียกกันว่า Bubble economy 
ไม่น่าจะใช่สิ่งที่เกิดกับ สภาวะเศรษฐกิจในประเทศเราตอนนี้ ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า ฟองสบู่จะแตก คงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ในเมื่อมันไม่ได้เกิดฟองสบู่มาตั้งแต่แรก ...... งงไหมครับ

ลักษณะฟองสบู่แตก โดยส่วนมากจะมีส่วนเริ่มมาจากการปั่นราคาขึ้นของหุ้น และ ที่ดิน
การกู้เงินจากภาคธนาคาร และ สถาบันการเงินต่างๆ เพื่อนำมาลงทุนในการ ซื้อ ขาย ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และ หุ้น 
โดยภาพลวงของเศรษฐกิจฟองสบู่ในเวลานั้น จะทำให้คนส่วนมากเชื่อว่าสามารถทำกำไรจากการกู้เงินมาลงทุนได้ง่าย
และ สถาบันการเงินก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน จึงทำให้เกิดการกู้เงินกันอย่างมหาศาล ผลจากการโป่งของฟองสบู่ในเศรษฐกิจ 
ทำให้ในที่สุด เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ฟองสบู่ของเศรษฐกิจก็จะแตกลง ผลของมัน เราก็ได้เห็นมากแล้ว ในวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ผ่านมา

แต่เศรษฐกิจในรอบนี้ ผมกลับมองว่ามันไม่น่าจะเป็นลักษณะของฟองสบู่ แต่จะเป็นลักษณะของ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวผสมไปกับภาวะค่าครองชีพสูง (Stagflation) มากกว่า  Stagflation มาจากการรวมคำของ Stagnation คือภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ+ Inflation คือภาวะที่มูลค่าของเงินลดลง หรือ ง่ายๆคือ สินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้น
 
ลองสังเกตุดูง่ายๆเลยนะครับ ตอนนี้ คอนโดฯ หรือ บ้าน ที่สร้างขายกันอยู่ ขายได้ยากมากๆ อาจจะขายดีบ้างในบางทำเลที่เด่นๆ แต่ในภาพรวมถือว่าแย่ 
บริษัทฯพัฒนาอสังหาฯเจ้าใหญ่ๆบางรายถึงกับต้องชะลอการเปิดโครงการใหญ่ๆ เพื่อรอดูสถานะการณ์ในตลาด 
ทางภาคการเงิน ธนาคารต่างๆก็เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากกลัวว่าลูกหนี้จะไม่สามารถรับภาระผ่อนจ่ายในอนาคตได้ไหว
โรงงานหลายแห่ง ปิดตัวลงเพราะยอดสั่งซื้อลดลงไปมาก เกิดภาวะขาดทุนไม่สามารถเปิดต่อไปได้ 
ส่วนค่าครองชีพในตอนนี้ ......จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มตัวขึ้น อาหารก็มีแต่จะแพงขึ้น อสังหา ที่ดิน แม้จะขายไม่ออก แต่ราคาแพง
สูงจนคนธรรมดาๆ ก็ยากที่จะจับต้องได้ 
จะเห็นได้ว่าทางภาครัฐฯก็ได้พยายามแก้เรื่องเงินฝืด โดยการทำโครงการต่างๆออกมาเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชน 
เช่น ชิมช๊อปใช้ 1,2,3  หรือ โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่างๆ แต่เหมือนการกระตุ้นจะไม่ค่อยเป็นผลนัก (ของดการเมืองนะครับ555 ) 
ถ้ามองจากสายตาคนทั่วๆไป เหมือนเม็ดเงินมันมาไม่ถึง ผู้ประกอบการระดับเล็กๆ แต่ไปกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า

รอบที่ฟองสบู่แตก จะเป็นลักษณะของการล้มแบบเป็นวงกว้าง และ มีผลกระทบจากระดับบน ลงมาถึงระดับล่างๆ 
แต่ลักษณะปัจจุบัน เป็นแบบซึมลึกๆ ธุรกิจที่ไหวอยู่ก็จะยังพออยู่ได้ แต่ไม่โตมากนัก ส่วนที่ไม่ไหวก็จะค่อยๆซึมลงไป
จนสุดท้ายไม่ไหวจริงๆก็จะต้องปิดกิจการลง ผลกระทบรอบนี้จะเป็นจากระดับชนชั้นรากหญ้า แล้วจะค่อยๆลามมาถึงระดับบนๆ
ตอนนี้ธุรกิจใหญ่ๆ ยังไม่กระทบมาก เพราะต้องยอมรับว่า ภาคธุรกิจเอกชนของประเทศเรา เรียนรู้และปรับตัวได้ดีมาก
ผลมาจากบทเรียนในวิกฤติรอบที่แล้ว ทำให้ภาคธนาคารระมัดระวังตัวในการปล่อยกู้มากขึ้น
ภาครัฐก็ออกกฏมาเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดฟองสบู่ซ้ำ .........เขียนไปเขียนมาเริ่มจะยาวมากแล้ว

ขอสรุปตรงที่ว่า ฟองสบู่ไม่น่าจะเกิด ตามเหตุผลที่ได้เขียนไว้ข้างต้น แต่ ภาวะแบบซึมลึกๆ นี้จะใช้เวลาค่อนข้างยาวนานในการฟื้นตัว
การอดทน อดออม รู้จักวางแผนในการใช้จ่าย ไม่พยายามสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ ไม่จำเป็น
อย่าหลงเชื่อคำชักชวนให้ลงทุนที่ดีเกินจริง แนวคิดเหล่านี้สามารถนำมาใช้ได้เสมอ ไม่จำเป็นต้องแต่ในช่วงนี้
ขอให้ทุกๆท่านโชคดี มีสติ ยอมรับ และ พร้อมที่จะรับกับภาวะที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้

สุดท้าย หากมีคนสนใจที่จะอ่านเพิ่ม ในครั้งหน้าผมจะพยายามลองทำ รายการเช็ค list ของสิ่งที่เราควรทำเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจแบบซึมระยะยาว
มาให้อ่านกันนะครับ เผื่อว่าจะพอที่จะช่วยแบ่งปันความคิดเห็นได้บ้าง ไม่มากก็น้อย.......

 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่