สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนวันนี้ผมจะมาแนะนำสถานที่ที่ควรไปในเยาวราชมากๆ แต่ละแห่งบ่งบอกได้ถึงความน่ากลัวและสัมผัสได้ถึงความหลอนในย่านนี้กัน ปกติแล้วพวกเราคิดว่าเยาวราชเป็นแหล่งแห่งความสิวิไลซ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและแหล่งของกินเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย ที่มีผู้คนหลั่งไหลไปยังที่แห่งนี้หรืออีกทั้งยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธ์และยึดเหนี่ยวจิตใจมากมาย แต่เราไม่เคยคิดว่าที่แห่งนี้จะแอบแฝงไปด้วยความน่ากลัว หลอน และขนหัวลุกและวันนี้เราจะไปพิสูจน์ให้พวกคูณได้รู้เองว่าจะมีที่ไหนหลอนและน่ากลัว
1.วัดบำเพ็ญจีนพรต
วัดบำเพ็ญจีนพรต ตั้งอยู่ในตรอกเต๋าเป็นตรอกโบราณตั้งแค่สมัยต้นกรุงรตนโกสินทร์ บรรยากาศบริเวณวัดจะดูคลาสสิคและดูเงียบครึมชั้นบนสุดวัดบำเพ็ญจีนพรตนั้นถ้าขึ้นไปจะได้เห็นวิวเยาวราชช่วงถนนเยาวราชทั้งหมดและมีของเก่าแก่โบราณมากมายเช่น พระพุทธรูปสมัยต้นรัตนโกสินทร์และมีของเก่าแก่คือป้ายของวัดบำเพ็ญจีนพรต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ป้ายโบราณของเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพุทธศักราช 2338 สมัยพระเจ้าเฉียนหลงปีที่ 60
แปะแผนที่ให้ครับ
ก่อนจะไปขอแวะพักเหนื่อยและดื่มอะไรที่สดชื่นก่อนครับ ก่อนที่จะไปเผชิญ อีก 3 ที่ขวัญผวาครับผม
ร้านเอี๊ยะแซ
ร้านกาแฟที่คลาสสิคและเก่าแก่ยันรุ่นปู่ เปิดมานานมากกว่า 70 ปีสำหรับขาประจำจะคุ้นเคยสถานที่ตั้งกันดี ร้านแห่งนี้ติดริมถนนพาดสายที่จะเชื่อมไปถนนเยาวพานิช เป็นร้านขนาด 2 ห้อง ให้บริการกาแฟในสโลแกนว่า “คั่วสดๆ ชงใหม่ๆ วันต่อวัน” รสชาติกาแฟที่ทุกคนคุ้นเคยคือ “รสโบราณ” แท้ รวมทั้งฝีมือการปิ้งขนมปังทาเนยแบบโบราณและกาแฟรสอร่อยและราคาไม่แพง
ภาพบรรยากาศหน้าร้านครับ ส่วนใหญ่จะเป็นวัยโก๋ 50+ที่มาใช้บริการบ่อยและแชร์เรื่องราวชีวิตต่างๆและเรื่องอิ่นๆมากมาย
2.ตรอกลับสุดหลอน
ตรอกนี้เป็นตรอกเล็ก ๆ อยู่ ใกล้ ๆ กับร้านเอี๊ยะแซ เป็นตรอกที่มีต้นไทรขนาดใหญ่อยู่2ต้น เป็นต้นไทรที่อยู่มาเป็นร้อย ๆ ปี ซึ่งตำนานได้กล่าวว่า ตรอกนี้เป็นตรอกที่มีคนมาผูกคอตายใต้ต้นไทรกันอย่างนับไม่ถ้วน โดยสาเหตุของการผูกคอตายนั้นมาจากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องธุรกิจกับเรื่องความรัก เพราะคนจีนสมัยก่อนนั้นเข้ามาทำธุรกิจที่เมืองไทยมากมาย โดยเฉพาะคนจีนไหหลำ จึงได้มีการเปิดโรงแรมเล็กในตรอกนี้เพื่อรองรับนักธุรกิจ แต่การทำธุรกิจก็ใช่ว่าธุรกิจจะสำเร็จกันทุกราย บ้างก็ขาดทุน บ้างก็ถูกโกง บ้างก็ล้มละลาย เมื่อธุรกิจไม่เป็นดั่งที่หวังไว้จึงทำให้เครียด เพราะคนจีนเป็นคนที่ตั้งใจ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างก็ต้องทำให้ได้ แต่ในเมื่อไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ หลายคนก็เลือกที่จะจบชีวิตโดยการผูกคอตายใต้ต้นไทรบางรายก็ผูกคอตายในโรงแรม ซึ่งในปัจจุบันโรงแรมนี้ก็ได้ถูกทุบทิ้งไปเรียบร้อยแล้วเหลือไว้เพียงแค่ต้นไทรและเรื่องราวสุดหลอน นอกจากนักธุรกิจแล้วก็มักจะมีหนุ่มสาวที่ผิดหวังกับเรื่องความรักก็มักจะมาจบชีวิตที่ใต้ต้นไทรต้นนี้เช่นเดียวกัน ผู้ใดที่เดินผ่านตรอกนี้หลังพระอาทิตย์ตกดินแล้ว มักจะรู้สึกว่ามีคนเดินตามหรือรู้สึกเย็นวาป ๆ อยู่ข้างหลังเสมอ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทางเข้าไปยังตรอกลับสุดหลอนพอเดินผ่านจะให้ความรู้สึกว่ามันลึกลับและหลอนไปในเวลาเดียวกันสังเกตุได้จากต้นไทรที่โน้มต้นมาและกำแพงอาคารเก่าๆปล.สัมผัสได้ถึงความหลอนจากพวกผมเองครับ
เดินเข้าตรอกตรงที่ปักหมุดนะครับ
4.วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร
วัดนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาในอดีตวัดนี้เคยเป็นลานประหารเก่าใช้ประหารชีวิตเจ้านาย และนักโทษทั่วไป ทั้งด้วยวิธีทุบด้วยท่อนจันทน์ หรือไม่ก็ตัดหัวจากชาวบ้านที่เล่ากันมา และยังมีเรื่องของต้นอโศกผีสิง ซึ่งเมื่อก่อนในวัดมีต้นอโศกอายุร้อยปี ตั้งตระหง่านอยู่ในวัด ชาวบ้านย่านนั้นเล่าว่า มีวิญญาณมาปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆในหลายรูปแบบแล้วมักจะหายวับเข้าไปในต้นอโศก เรียกว่าเฮี้ยนจนชาวบ้านหวาดกลัวไม่กล้าเข้าวัด จึงถูกตัดโค่นทิ้งในปี พ.ศ.2495 เรื่องราวทั้งหมดจึงเงียบลงได้จะว่าเป็นความสบายใจของชาวบ้านละแวกวัดและมีการประหารเชื้อพระวงศ์ที่สำคัญและมีแท่นประหารเก็บไว้อยู่ในวัดคือการประหาร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ เนื่องจากก่อกบฏในสมัยรัชกาลที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ของ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ท่านได้บันทึกเกี่ยวกับกรมหลวงรักษ์รณเรศ มีประเด็นคำพิพากษา คือ กรมหลวงรักษ์รณเรศหรือหม่อมไกรสรประพฤติกำเริบ ทำตนเทียมเจ้าในงานลอยกระทง เกลี้ยกล่อมเจ้านาย ขุนนางและซ่องสุมกองทหารรามัญไว้เป็นพวกพ้อง แต่ถูกสอบสวนว่าซ่องสุมผู้คนไว้มากเพื่อคิดกบฏหรือไม่ หม่อมไกรสรตอบปฏิเสธว่า "ไม่ได้คิดกบฏ" แต่เมื่อถามว่า หากเปลี่ยนแผ่นดินเมื่อไหร่ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร ตุลาการในสมัยนั้นจึงมีคำตัดสินออกมาส่วนหนึ่ง ว่า "...กรมหลวงรักษ์ณรเรศมีความผิด ต้องลดอิสริยศักดิ์สมญาเป็นหม่อม ตลอดทั้งวงศ์วาน และนอกจากนี้มูลเหตุอีกอย่างหนึ่งที่พระองค์เจ้าไกรสรถูกถอดอิสริยยศคือ ทรงเลี้ยงโขนผู้ชายไว้มากมาย บรรทมอยู่แต่กับพวกโขนละคร ไม่บรรทมกับพวกหม่อมห้ามในวังเลย รัชกาลที่ ๓ มีรับสั่งให้เอาพวกโขนละครมาไต่สวน ได้ความสมกันว่าทรงเป็นสวาทกับพวกละคร ไม่ถึงกับชำเรา แต่เอามือพวกละครและมือของพระองค์ท่านกำคุยหฐานของทั้งสองฝ่ายจนภาวธาตุเคลื่อน หลังจากที่ รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดให้ถอดยศกรมหลวงรักษ์ ลงเป็นสามัญชนเรียก หม่อมไกรสร แล้ว หม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จ.ศ. ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ รวมพระชันษา ๕๖ ปี และเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้

แท่นหินที่ไว้ใช้สำหรับประหารชีวิตกรมหลวงรักษ์รณเรศ เดิมที่แท่นหินนี้ไม่ได้อยู่ในบริเวณวัดมาก่อนแต่เดิมอยู่แถวบริเวณบ้านคนละแวกชุมชนเพราะอยู่แท่นหินนั้นอยู่บริเวณอ่างล้างเท้าของชาวบ้านและบริเวณนั้นเป็นดินโคลน สมัยชาวบ้านได้เหยียบขี้โคลนแล้วเอาเท้ามาปาดแท่นหินแล้วได้มีการมาเข้าฝันชาวบ้านรายนั้นให้ขอขมาแท่นหินนั้น ในปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณวัดปทุมคงคาจนถึงปัจจุบัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การที่คนไทยไม่นิยมใช้วิธีประหารชีวิตเจ้านายหรือราชวงศ์ด้วยการตัดศีรษะ เนื่องมาจากไม่ต้องการให้เลือดตกถึงพื้นดินนั่นเอง ดังนั้น จึงหาทางประหารด้วยการทุบด้วยท่อนจันทน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเลือดตกลงแผ่นดินให้เป็นอัปมงคลแก่บ้านเมือง
4.บ้านร้างข้างมัสยิด
บ้านร้างหลังนี้ตั้งอยู่ข้างๆ มัสยิดหลวงโกชาอิศหาก ทางเดินไปนั้นเป็นซอยเล็ก ๆ อยู่ตรงทางเข้ามัสยิดอยู่ด้านซ้ายมือเป็นตรอกเล็กๆ เข้าไป ถ้าใครไม่สังเกตุก็จะมองไม่เห็น ตำนานได้กล่าวว่าบ้านหลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยคนจีนเมื่อ 100 ปีที่แล้วสมัยก่อนคนจีนทำการค้าขายกับไทยโดยการขนส่งทางเรือเพราะเมื่อก่อนเยาวราชนั้นเป็นคลองทำให้การค้าขายหรือการคมนาคมทุกอย่างก็จะใช้เรือคนจีนเลยมาสร้างบ้านหลังนี้ไว้เพื่อให้ลูกหลานหรือญาติที่มาทำการค้าขายที่ไทยนั้นได้มาอยู่อาศัยเวลามีการรบกันก็จะมีการขนศพคนผ่านไปผ่านมาแถวนี้เสมอ ต่อมาวันนึงได้มีการถกเถียงกันว่าบ้านหลังนี้สร้างทับที่ของชาวมุสลิมได้มีการขุดสำรวจ และในการขุดสำรวจนั้นก็พบศพอยู่ใต้ดินจริง ๆ ซึ่งเป็นที่ฝังศพของคนมุสลิม ทำให้คนจีนจำใจต้องปล่อยทิ้งบ้านหลังนี้ให้ทิ้งร้างไปและในยามค่ำคืนผู้คนที่เดินผ่านบ้านหลังนี้ มักจะเห็นคนอยู่ในบ้านร้าง หรือมีเสียงคนเรียก ซึ่งไม่มีทางที่คนจะเข้าไปได้เพราะประตูของบ้านร้างหลังนี้ได้ถูกล็อคมาเป็นร้อยปีแล้วและทุกครั้งที่เดินผ่านช่องหน้าต่างของบ้านร้างหลังนี้นั้น มักจะรู้สึกว่ามีคนมองออกมาอยู่ตลอด

บริเวณทางเดินเข้าไปยังที่บ้านร้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บริเวณหน้าประตูทางเข้าบ้านร้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บริเวณข้างบ้านร้าง ปล.คุณต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองครับผม
เดินเข้าไปยังซอยมัสยิดหลวงโกชา 50 เมตร แล้วมองด้านซ้ายจะมีซอยเล็กๆเข้าไปเดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 90 เมตร
ถ้าคุณมีโอกาสหรือเวลาว่างๆมาเดินในย่านเยาวราชคุณอย่าลืมเรื่องราวของพวกผมด้วย เผื่อจะเป็นอีกแนวทางอีกทางที่อยากจะให้คุณมาพิสูจน์กันครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทุกๆที่มีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่ดังนั้นไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ โปรดใช้วิจรณญาณในการรับชมด้วยครับผม
Mystery Of Yaowarat เรื่องลี้ลับในเยาวราช