ถ้า 5G มา เรากลับไปนั่งทำงานที่บ้านเพื่อช่วยชาติกันเถอะ !!

     ถ้าผู้ใหญ่ใจดีท่านใดเห็นว่ากระทู้นี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ขอได้โปรดช่วยผลักดันให้เกิดผลต่อประเทศชาติด้วยครับ
(โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน และภาคเอกชน)

    เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ใครจะคิดว่ามีวันนี้ วันที่เราโอนเงินผ่านมือถือกันเป็นเรื่องปกติ หรือนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ช้อปปิ้งได้โดยสะดวก 
เทคโนโลยีมันเปลี่ยนโลกได้จริงๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทันก็ต้องปิดกิจการกันไป และแน่นอน 5G ก็จะมาเปลี่ยนโลกอีกครั้ง
ถ้าเรารู้ก่อนปรับตัวก่อนก็จะรอดและใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมากมาย

   รูปแบบการทำงานของพวกเราชาวออฟฟิศก็คงจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เชื่อว่าการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home 
จะมีให้เห็นกันมากขึ้น หลายบริษัทในต่างประเทศก็ทำกันมานานแล้ว ในช่วงแรกก็อาจจะไม่ใช่ทุกตำแหน่งที่ทำได้ 
แต่เชื่อเถอะว่าต่อไปมันจะเป็นเทรนด์ของโลกแน่นอน เพราะทุกฝ่ายจะประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมอย่างมหาศาลซึ่งมันก็คือ
การเหลือกำไรที่มากขึ้นนั่งเอง ขอเพียงมี 2 สิ่งนี้ คือ เทคโนโลยีที่รองรับและมาตรการควบคุมการทำงานของพนักงานที่
เหมาะสมในรูปแบบใหม่ ๆ

ใครจะได้อะไรบ้าง จากการเปลี่ยนแปลงนี้??

1. ด้านเศรษฐกิจ
    การกระจายรายได้เกิดขึ้นแน่นอน ทั่วถึงทุกหย่อมหญ้า อย่างถาวรและยั่งยืน โดยที่รัฐแทบไม่ต้อง
    ควักเงินผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ เอาเงินไปพัฒนาด้านอื่นได้เลย  เมื่อพนักงานนั่งทำงานที่บ้าน
    และได้รับค่าจ้างเงินเดือน ก็จะเกิดการจับจ่ายใช้สอยที่บ้านเกิดในท้องถิ่น เงินก็จะกระจายสู่ชุมชนโดยตรง
    เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในชุมชน และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำลงทันที  เมื่อเงินหมุนเวียนใน
    ท้องถิ่นเยอะ ก็เก็บภาษีท้องถิ่นได้เยอะ ความเจริญตามมา แหล่งท่องเที่ยวจะคึกคักขึ้นโดยไม่ต้องรอเทศกาลใดๆ 
    จะเกิดปรากฏการณ์การโพสแชร์แหล่งท่องเที่ยวและสินค้าในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจะสร้างโอกาสตามมาอีกมากมาย

2. ด้านสังคม
    ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จะหมดไปในทันทีโดยที่รัฐแทบไม่ต้องเสียงบประมาณในการจัดการใดๆ
    (ดูจากช่วงสงกรานต์ กรุงเทพฯ ถนนโล่งเพราะคนกลับถิ่นฐาน) สถิติอุบัติเหตุช่วงเทศกาลจะลดลงโดยอัตโนมัติ
   
    คุณภาพชีวิตโดยรวมของทุกคนดีขึ้นแน่นอน จากภาวะความเครียดในเมืองใหญ่ การจราจรติดขัด ความแออัด 
    ความเร่งรีบ แย่งกันกินแย่งกันใช้ ปัญหามลพิษก็ลดลงด้วยเนื่องจากลดการเดินทางได้มาก
    
    ประชาชนได้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าหร้อมตาในทุกๆ วัน มีเวลามากขึ้น ได้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้พิการ 
    โดยไม่ต้องขาดงาน ไม่ต้องฝากลูกไว้ให้ผู้สูงอายุเลี้ยงเหมือนแต่ก่อน เกิดความรักความสามัคคีในชุมชน ชุมชนเข้มเข็ง 

3. ความมั่นคง
        แน่นอนว่าความมั่นคงทางด้านด้านเศรษฐกิจและสังคมจะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และอีกด้านนึงที่สำคัญ
    นั่นคือ ความมั่นคงทางด้านทรัพยากรบุคคลหรือทรัพยากรมนุษย์ ยังไงเหรอ??
    
     แต่ก่อนเราจะเห็นว่าคนงานส่วนใหญ่ตามไซต์ก่อสร้างจะเป็นคนไทย แต่สมัยนี้หาได้ยากแล้วเพราะพวกเขามีทางเลือกอื่น 
     ในทำนองเดียวกันหาก 5G มาแล้ว แต่ถ้าไทยเราไม่ผลักดันให้เกิดนโยบายการทำงานที่บ้าน หากมีบริษัทต่างชาติเปิดรับ
     สมัครงานด้วยค่าจ้างที่พอ ๆ กับในบ้านเราแต่ให้นั่งทำงานที่บ้านได้ เนื่องจากค่าจ้างในประเทศไทยต่ำกว่าที่บ้านเขาและ
     คนไทยก็เป็นคนเก่ง เชื่อว่าหลายคนก็เลือกที่จะนั่งทำงานที่บ้านเช่นกัน ถึงตอนนั้นแล้วเราจะต้องไปจ้างใครมาทำงานแทนล่ะทีนี้ 
     เกิดภาวะสมองไหล ขาดแคลนคนทำงานอย่างแน่นอน
     

    ทีนี้มาลองดูกันว่าจะกระจายรายได้มากน้อยแค่ไหน ??  ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการหรอกนะครับ 
เพียงแค่อยากให้พอเห็นภาพคร่าวๆ ดังนี้

   - ประเทศไทยมีประชากรแฝงกลางคืนที่มีงานทำ จำนวน 5.27 ล้านคน* (พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ไปทำงานต่างถิ่นนั่นเอง)
    
  - ถ้าตัดแรงงานภาคอุตสาหกรรมหรือตำแหน่งอาชีพที่ยังไม่สามารถประยุกต์ให้ทำงานที่บ้านได้ ณ ตอนนี้ออกไปซัก 80% 
    จะได้จำนวนผู้ที่สามารถทำงานที่บ้านได้โดยคิดตัวเลขกลม ๆ คือ 1 ล้านคน  

     สรุป ถ้าคน 1 ล้านคนนี้ กลับไปนั่งทำงานที่บ้าน และถ้าใช้จ่ายคนละ 1 หมื่นบาทต่อเดือน ก็จะเกิดการกระจายรายได้อย่างน้อย
   กว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับโครงการ " ชิม..ช..ช..” โดยที่รัฐแทบไม่ต้องลงทุนใดๆ และที่สำคัญคือ
   หมุนเวียนทุกๆ เดือนอย่างถาวร

    จากผลการศึกษาถึงข้อดีข้อเสียของการทำงานที่บ้านหรือ Work from home หลายๆ แห่งในต่างประเทศพบข้อดีมากกว่า 
และมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น ส่วนข้อเสียก็มีอยู่บ้างเล็กน้อยซึ่งพบข้อมูลที่ตรงกันได้แก่ การเกิดความรู้สึกเหงา และทักษาะการ
เข้าสังคมที่ลดลง ในมุมมองส่วนตัวคิดว่าปัญหานี้คงเกิดได้น้อยในบ้านเราเนื่องจากบริบทของสังคมไทยต่างจากเมืองนอกอยู่มาก 
โดยต่างจังหวัดบ้านเราก็ยังคงอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ หรือไม่ก็อยู่บ้านในละแวกเดียวกันกับเครือญาติ และรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน 

    หากเทคโนโลยีพร้อมและมีหัวเรือใหญ่นำร่องผลักดันให้เกิดนโยบายนี้ขึ้น ก็จะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมเป็นอย่างมาก 
ในทางกลับกันหากเราไม่รีบปรับตัวก็อาจทำให้เสียโอกาสมากมายและก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านทรัพยากรมนุษย์ของชาติได้

   ในเมื่อ 5G มาแน่ๆอยู่แล้ว จึงอยากเรียนท่านผู้ใหญ่ในบ้านเมืองโดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน 
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชน ว่านี่คือโอกาสดีที่จะผลักดันนโยบายการทำงานที่บ้านหรือ Work from home ให้เกิดขึ้นจริง 
ซึ่งเป็นการลงทุนน้อยแต่เห็นผลเร็วและคุ้มค่าในยุคไทยแลนด์ 4.0 และเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน 
ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยครับ

*ข้อมูลจาก สนง.สถิติแห่งชาติ "ประชากรแฝงในประเทศไทย 2561"  
  ประชากรแฝงกลางคืน (Non-registered Population) หมายถึง ผู้ที่อาศัยอยู่ประจำในจังหวัดหนึ่ง โดยไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
  ในจังหวัดที่อาศัยอยู่ประจำนั้น แต่อาจจะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดอื่น ในต่างประเทศ หรือไม่มีชื่อที่ใดเลย

**มีแก้คำผิดครับ
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่