ฮ่องกง ตำรวจโดนลูกธนูยิง!!! บาดเจ็บ!!! ระหว่างเด็กโพลีเทคนิคก่อหวอดปะทะ ส่วนโรงเรียนทุกแห่งปิดถึงวันจันทร์

.










นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ถูกชายฝ่ายจีน กัดหูจนขาด!!! หลังจากชายผู้นี้ใช้มีดไล่แทงคน!!! เลยโดนรุมสกรัมเอาคืน!!!

https://www.reddit.com/r/HongKong/comments/dqzpb9/photo_of_the_bitten_ear_in_taikoo_shing_ing/
https://www.reddit.com/r/HongKong/comments/dqzfr2/a_fight_broke_out_right_outside_taikoo_shing/

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ





https://mgronline.com/around/detail/9620000110267

ฮ่องกง ตำรวจโดนลูกธนูยิง!!! บาดเจ็บ!!! ระหว่างเด็กโพลีเทคนิคก่อหวอดปะทะ ส่วนโรงเรียนทุกแห่งปิดถึงวันจันทร์

17/11/2019

เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - มีรายงานเข้ามาว่าตำรวจฮ่องกงจากแผนกตำรวจสัมพันธ์ถูกยิงด้วยลูกธนูในช่วงบ่ายวันอาทิตย์(17 พ.ย)ที่บริเวณท่อนขาล่างได้รับบาดเจ็บ ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในเหยาหม่าเต๋ (Yau Ma Tei) เพื่อทำการรักษา เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่รถน้ำ 2 คันและรถยานยนต์หุ้มเกราะอีก 2 คันถูกส่งเข้ามหาวิทยาลัยโพลีเทคนิกหลังจากที่มีการปะทะระหว่างนักศึกษาและเจ้าหน้าที่มาตั้งแต่ช่วงเช้า ฮ่องกงกลับเข้าสู่วิกฤตอีกครั้งหลังสงบไปในวันเสาร์(16 พ.ย) ส่วนโรงเรียนทุกแห่งในฮ่องกงปิดไปจนถึงวันจันทร์(18 พ.ย)

หนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิงไซน่าโพสต์รายงานวันนี้(17 พ.ย)ว่า ตำรวจฮ่องกงจากแผนกตำรวจสัมพันธ์นายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยลูกธนูในเวลาช่วงบ่ายวันนี้(17)ราว 14.26 น. ตามเวลาท้องถิ่นของฮ่องกง พบว่าถูกลูกธนูยิงเข้าไปบริเวณท่อนขาล่างซึ่งทางหน่วยพยาบาลในที่เกิดเหตุได้ทำการตัดบางส่วนของลูกธนูออกไปแต่ยังมีบางส่วนฝังอยู่ที่ขา

โดยในแถลงการณ์ของตำรวจฮ่องกงอ้างอิงการรายงานจากรอยเตอร์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายดังกล่าวรู้สึกตัวดี โดยในขณะเกิดเหตุเขากำลัวทำหน้าที่อยู่
และได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกงหว่า(Kwong Wah Hospital)ที่เขตเหยาหม่าเต๋ (Yau Ma Tei) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในแถลงการณ์ยังกล่าวประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นและขอให้ประชาชนไม่ให้มุ่งหน้าไปยังสถานศึกษาแห่งนี้โดยชี้ว่าสถานการณ์โดยรอบเสื่อมทรามลงตามลำดับ

โดยในภาพข่าวของรอยเตอร์ มีผู้ประท้วงรายหนึ่งสวมหน้ากากกำลังง้างธนูที่
บริเวณมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิกฮ่องกงแต่ทว่าไม่ทราบว่ามือธนูรายนี้เป็นผู้ยิงตำรวจฮ่องกงหรือไม่
และไม่ทราบว่ามีมือธนูใมการประท้วงวันนี้ทั้งหมดกี่คน

ซึ่งในช่วงเช้าเมื่อเวลา 10.00 น. ได้มีการเปิดฉากปะทะระหว่างกลุ่มนักศึกษา
มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิกฮ่องกงและทางตำรวจที่ได้ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่เป็นการตอบโต้

เป็นการปะทะที่ดุเดือด ก่อนเวลา 14.00 น. เล็กน้อยรถน้ำ 2 คันและรถยานยนต์หุ้มเกราะอีก 2 คัน
ถูกส่งเข้ามาที่ด้านนอกมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพื่อทำการสลายกลุ่มผู้ประท้วง

ในเวลาราว 15.05 น.พบว่ากลุ่มผู้ประท้วงได้ทำการโยนระเบิดเพลิงลงมาจากหลังคา
มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิก ซึ่งเป็นระเบิดเพลิงที่เป็นการประกอบกันเองใส่เจ้าหน้าที่
เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์ชี้ว่า ระเบิดเพลิงเกือบถูกรถตำรวจ
เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์รายงานแก๊สน้ำตาฟุ้งกระจายภายในห้องเรียน

ขณะเดียวกันที่อุโมงค์ข้ามอ่าวที่ตั้งใกล้กับมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิกฮ่องกงถูกสั่งปิดเป็นเวลาหลายวัน
ด่านเก็บเงินของเจ้าหน้าที่ถูกจุดไฟเผารวมถึงเศษซากต่างๆตกไปทั่วบริเวณเลนจราจรบนถนน

ด้านสำนักงานการศึกษาฮ่องกงได้ออกคำสั่งให้โรงเรียนทั้งหมดปิดไปจนถึงวันจันทร์(18)
ส่วนห้องสมุดสาธารณะจิมซาจุ่ย พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ฮ่องกงและพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฮ่องกง
ที่ตั้งใกล้มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิกถูกสั้งปิดเพื่อความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตามพบว่า
หลังจากที่มีการปะทะอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ทำให้มหาวิทยาลัยจีนในฮ่องกงออกคำสั่งปิดยาวไปจนถึงวันพุธ(20)



https://mgronline.com/around/detail/9620000110033



16/11/2019

พวกนักเคลื่อนไหวประท้วงที่ฮ่องกง ยืนยันว่าการทำลายทรัพย์สินร้านรวง
ตลอดจนการปิดกั้นถนนและขัดขวางการเดินรถไฟใต้ดิน เป็นหนทางที่ทรงประสิทธิภาพในการบีบคั้นกดดันรัฐบาล

การทุบทำลายร้านค้าต่างๆ และการปิดกั้นถนนหนทางสัญจร อาจทำให้ชีวิตไม่น่ารื่นรมย์สำหรับชาวบ้านชาวเมืองผู้พำนักอาศัยอยู่ในฮ่องกง แต่มันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเพียงวิธีเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถสร้างแรงบีบคั้นกดดันรัฐบาลได้ ทั้งนี้ตามความเห็นของผู้ประท้วงบางรายซึ่งให้สัมภาษณ์ เอเชียไทมส์ จากย่านเซนทรัล (Central) บนเกาะฮ่องกงเมื่อวันพุธ (13 พ.ย.) ที่ผ่านมา

แซม (Sam) วัย 25 มีซึ่งมีอาชีพเป็นครู บอกว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นซึ่งทางฝ่ายผู้ประท้วงสามารถที่จะใช้ผลักดันข้อเรียกร้องของพวกเขาให้คืบหน้าไปได้

“จากเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ประชาชนได้ทำการประท้วงอย่างสันติ แต่รัฐบาลไม่ยอมรับฟังเลย” นี่คือคำพูดของแซม ผู้เคยศึกษาในสหรัฐฯ และจบปริญญาโท “มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราจะไม่ได้อะไรเลยจากการประท้วงอย่างสันติ”

เขากล่าวว่า ด้วยการก่อกวนขัดขวางกิจกรรมต่างๆ ทางธุรกิจในฮ่องกง และการสร้างความเสียหายให้แก่อาคารทรัพย์สินต่างๆ ในที่สุดแล้วภาคธุรกิจก็อาจจะรู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องช่วยเหลือพวกผู้ประท้วง ด้วยการไปกดดันรับบาลให้ยินยอมที่จะประนีประนอมอ่อนข้อ

เขาบอกว่า ตัวเขาเองจะไม่มีทางไปทำร้ายผู้คน แต่ก็เสริมด้วยว่า มันเป็นเรื่องยอมรับได้ในเรื่องการทุบทำลายร้านรวงและธนาคารต่างๆ เนื่องจากอาคารทรัพย์สินเป็นสิ่งที่สามารถซ่อมแซมได้

เขากล่าวว่า เขาไม่ได้ต้องการที่จะให้ยุตินโยบาย “หนึ่งประเทศสองระบบ” หรือให้มีการใช้ยุทธศาสตร์ “lam chao” ซึ่งเป็นภาษากวางตุ้งแปลว่า “ตายไปด้วยกัน”

แต่ถ้า “การตายไปด้วยกัน” เกิดขึ้นมาจริงๆ สำหรับเขาแล้วต้นทุนความสูญเสียก็ถือว่าน้อยนิดเดียว เนื่องจากงานที่เขาทำอยู่ได้เงินเดือนเพียงแค่เดือนละ 20,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 77,000 บาท) เขามีบัญชีธนาคารซึ่งมีเงินอยู่เพียงแค่ 40,000 – 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง โดยที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ใดๆ หรือถือหุ้นอะไรทั้งสิ้น เขากล่าวว่าคนหนุ่มสาวในฮ่องกงจำนวนมากอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา – นั่นคือตกเป็นเหยื่อของราคาบ้านและที่ดินซึ่งแพงลิบลิ่ว และมีช่องทางในการเปลี่ยนฐานะทางสังคมที่จำกัดมากๆ

เมื่อพูดถึงเรื่องสหรัฐฯให้ความสนับสนุนขบวนการต่อสู้นี้ เขาให้ความเห็นว่าทางผู้ประท้วงไม่ควรพึ่งพาอาศัยวอชิงตันมากจนเกินไป โดยที่วอชิงตันนั้นต้องการให้ฝ่ายผู้ประท้วงหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง เขากล่าวเสริมว่าขณะที่เขาหวาดกลัวว่าอาจจะถูกจับกุม แต่เขาก็ยังคงต้องการเข้าร่วมการประท้วง เท่าที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขากับเพื่อนๆ ยังคงสามารถหาหนทางหลีกหนีไม่ให้ถูกจับ

มีผู้ประท้วงหลายร้อยคนในฮ่องกงที่ถูกจับกุมตลอดระยะเวลากว่า 5 เดือนที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากชุมนุมเรียกร้องกันตามเขตต่างๆ หลากหลายทั่วทั้งนครแห่งนี้เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องรวม 5 ประการของพวกเขา อาทิเช่น การจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระขึ้นมาตรวจสอบข้อกล่าวหาที่ว่าตำรวจใช้ความรุนแรงอย่างโหดเหี้ยม และการนำเอาเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเป็นการทั่วไป (universal suffrage) มาใช้ปฏิบัติกันอย่างแท้จริง

การปะทะกันระหว่างพวกผู้ประท้วงกับตำรวจได้ยกระดับความรุนแรงมากขึ้นยิ่ง นับตั้งแต่การเสียชีวิตเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) ที่แล้ว ของ โจว จือลก (Chow Tsz-lok) วัย 22 ปี ผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการประท้วงเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน เมื่อวันเสาร์ (9 พ.ย.) พวกผู้ประท้วงยังรู้สึกโกรธแค้นจากข่าวที่กล่าวหากันว่าตำรวจ 4 คนข่มขืนเด็กสาวอายุ 16 คนที่สถานีตำรวจเจียนหว่าน (Tsuen Wan) เมื่อวันที่ 27 กันยายน ก่อนหน้านี้ ก็มีการพบศพในสภาพเปลือยของ ชาน ยินลัม (Chan Yin-lam) เด็กสาววัย 15 ปี ในทะเลที่ เยาทง (Yau Tong) เมื่อวันที่ 22 กันยายน ตำรวจแถลงว่าเธอฆ่าตัวตาย

ขณะเดียวกัน เมื่อเร็วๆ นี้พวกผู้ประท้วงได้เปลี่ยนแปลงคำขวัญของพวกตนจาก “ชาวฮ่องกง ลุกฮือต่อต้าน!” (Hong Kong people, rebel!) มาเป็น “ชาวฮ่องกง แก้แค้น!” (Hong Kong people, revenge!) ประธานคณะรัฐมนตรี (Chief Secretary) ของฮ่องกง แมตทิว เชือง (Matthew Cheung) กล่าวในระหว่างการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งฮ่องกง (Legislative Council of Hong Kong) ในวันพุธ (13 พ.ย.) ว่า

เขาไม่สามารถระบุสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้สาธารณชนโกรธแค้นได้ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ผู้บริหารสูงสุด (Chief Executive) แคร์รี ลัม (Carrie Lam) ได้เคยกล่าวประณาม “พวกผู้ก่อจลาจลที่เห็นแก่ตัว” ว่าเป็นตัวการทำให้ฮ่องกงเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย พร้อมกับชี้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรในสังคม และด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะสูญเสีย
“สิ่งที่ผมต้องการคือความยุติธรรม!” เบนจามิน ชาน (Benjamin Chan) วัย 22 ปี บอกกับเอเชียไทมส์ “มีการตายที่น่าสงสัยข้องใจจำนวนมากเกิดขึ้นในเมืองนี้ ขณะที่รัฐบาลไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสอบสวนคดีเหล่านี้ให้กระจ่าง”

“มันเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะที่พูดว่า พวกผู้ประท้วงไม่ได้มีอะไรที่จะสูญเสียในขบวนการเคลื่อนไหวนี้” เขากล่าวต่อ โดยแจกแจงว่า มันอาจจะเป็นความจริงที่ว่าคนหนุ่มสาวจำนวนมากไม่ได้มีทรัพย์สินบ้านช่องหรือถือหุ้นใดๆ แต่พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตของพวกเขาเองตลอดจนโอกาสในการทำงานมาเสี่ยง ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของฮ่องกง

เขาบอกอีกว่าคณะบริหารของลัมได้สูญเสียความน่าเชื่อถือของตนไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธไม่ยอมลงจากตำแหน่ง เขากล่าวว่านอกเหนือจากต้องทำตามข้อเรียกร้อง 5 ประการแล้ว รัฐบาลยังต้องใช้ความพยายามอย่างแข็งขันเพื่อกอบกู้ฟื้นคืนความไว้วางใจของประชาชนฮ่องกงอีกด้วย

ชานบอกว่าโดยส่วนตัวเขาเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ในการใช้กำลังเพื่อตอบโต้ “พวกริบบิ้นสีฟ้า” ซึ่งหมายถึงพวกคนที่โปรปักกิ่ง ณ สถานที่ทำการประท้วง เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อผู้ประท้วง เขากล่าวว่า เป็นเพราะตำรวจมีความโน้มเอียงที่จะเข้าข้างคนเหล่านี้ พวกริบบิ้นสีฟ้าจึงคิดว่าพวกตน “ไม่มีอะไรจะต้องเสีย” ถ้าพวกตนเข้าทำร้ายผู้ประท้วง

“ซัดพวกมันให้หมอบ ก็จะสามารถใช้เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปถึงคนเหล่านี้ว่า มันมีต้นทุนนะที่จะมาทำร้ายผู้ประท้วง” เขาบอก

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ชายผู้หนึ่งซึ่งกวัดแกว่งมีดที่ถืออยู่ในมือ ได้ฟันแทงผู้คนจำนวนมาก แล้วยังกัดหูของนักการเมืองฝ่ายโปรประชาธิปไตยคนหนึ่งจนขาดไปส่วนหนึ่ง ในย่าน ไท่คูชิง (Taikoo Shing) บนเกาะฮ่องกง ครั้นเมื่อเขาพยายามทำร้ายคนเพิ่มขึ้นอีก เขาก็ถูกคนที่อยู่ใกล้ๆ รุมทุบตีจัดการให้สงบลงมา



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่