ด้วยสำนึกรักในบ้านเกิด จึงได้เกิดความคิดเก็บรวบรวมข้อมูล ที่สำคัญของวัดหนองหลักและบ้านหนองหลัก และข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นข้อมูลเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของชนรุ่นหลัง และผู้สนใจ ผู้มาทำบุญ มาไหว้พระ ชมวัด ชมหอพระไตรปิฎกหลักคำจันทร์ตามแนวคิด “มาวัด ได้ความรู้” จึงขออนุญาตทุกท่านแนะนำสถานที่ในบ้านเกิดที่มีความผูกพันของชีวิตของชาวบ้านหนองหลักมานำเสนอครับ
วัดหนองหลักเป็นวัดและสำนักเรียนที่มีชื่อเสียงมากในอดีตมีพระภิกษุสามเณร เดินทางมาศึกษาเล่าเรียนเป็นจำนวนมาก
ประวัติวัดหนองหลัก เดิมชื่อ วัดธรรมรังสี ต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดหนองหลัก ตามชื่อของหมู่บ้าน สังกัดมหานิกาย อยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ภาค 10 ที่ตั้งของวัด เลขที่ 135 หมู่ 9 ตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี 34140
ลำดับเจ้าอาวาส
1.
ญาครูบุดดา
2.
พระครูหลักคำ (จันทร์)
3.
ญาครูจันทร์
4.
ญาครูเงิน แสนสิงห์ พ.ศ. 2436-2440
5.
พระอุปัชฌาย์บุดดี (บุดดีทิ้ งชั่ว) พ.ศ. 2440-2470
6.
พระครูอรรคธรรมวิจารณ์ (เลิศ ฉฺนโน ศาลาทอง) พ.ศ. 2470-2515
7.
พระครูปริยัตยานุสิฐ (แหว่น ผาสุโก กลัวผิด) ป.ธ. 5 น.ธ . เอก พ.ศ. 2515-2531
8.
พระครูศรีธรรมวิบูล (วิเชียร ญาณ เตโช บำรุงชาติ) ป.ธ. 6 น.ธ.เอก ปริญญาโทพ.ศ. 2531-ปัจจุบัน
Facebook วัดหนองหลัก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราธานี
website วัดหนองหลัก

รูปเก่าของวัดหนองหลัก เมื่อมองจากด้านหลังวัด

รูปหอแจกของวัดหนองหลัก พ.ศ. 2512
ประวัติเจ้าอาวาสวัดหนองหลัก
ญาครูบุดดา (ก่อม) เจ้าอาวาสวัดหนองหลัก รูปที่ 1
เป็นคนจังหวัดสุรินทร์เดินทางมาตามหาญาติที่บ้านโพนสิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหนองหลักในปัจจุบัน แต่ไม่พบญาติ เพราะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้จำพรรษาอยู่ด้วย ท่านรับนิมนต์และได้เริ่มสร้างวัดหนองหลักขึ้นมาจึงนับว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่ชาวบ้านเรียกว่า “ก่อม” เรียกตามลักษณะหลังของท่านที่ค่อม ท่านมรณภาพประมาณ พ.ศ. 2390
พระครูหลักคำ (จันทร์) เจ้าอาวาสรูปที่ 2
เป็นคนสนใจในการศึกษามาก เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้มีความอุตสาหะวิริยะเดินทางไปเรียนถึงนครเวียงจันทร์จนแตกฉานในพระไตรปิฎกจนกระทั่งเจ้าหน้าที่นครเวียงจันทร์ได้ตั้งให้เป็นพระครูหลักคำ เมื่อเดินทางกลับได้นำพระไตรปิฎกกลับมาด้วย และได้เปิดสอนแก่ภิกษุสามเณรทั่วไป จึงทำให้วัดหนองหลักเป็นสถานศึกษาในด้านนี้มาจนมีชื่อเสียงสำนักหนึ่งในเขตภาคอีสาน ต่อมาจากเมืองอุบลฯ ได้นิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดกลาง ในตัวจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อบริหารงานคณะสงฆ์และเพื่อส่งเสริมการศึกษาให้แพร่กระจายออกไปให้มากยิ่งขึ้นและมรณภาพที่วัดนี้
...........................................................
สอดคล้องกับประวัติของวัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีการกล่าวถึงพระครูหลักคำ (จันทร์)
วัดกลาง สร้างราวปีเถาะ จ.ศ.1155 ตรงกับ พ.ศ. 2336 ห่างจากการสร้างวัดหลวง 3 ปี เหตุที่ชื่อวัดกลาง คือ ตามคติโบราณการตั้งเมือง ชอบหาทำเลใกล้แม่น้ำและมักชอบ เรียกทางน้ำไหลเป็นเหนือ เป็นใต้ และเป็นกลางด้วย วัดกลางตั้งอยู่กลางเมืองอุบล ทางเหนือ เรียกว่า วัดเหนือท่า วัดเหนือเทิง ทางใต้เรียกวัดท่าใต้ ใต้เทิงผู้สร้างวัดกลาง อนุมานว่า เมื่อพระปทุมราชสุริยวงศ์ได้สร้างวัดหลวงแล้วตามหลักการปกครองบ้านเมืองในสมัยโบราณ เมื่อเจ้าหลวง คือ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) สร้างวัดหลวงเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เจ้าราชวงศ์ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ได้แก่ ท้าวก่ำ บุตรพระวรราชวงศา ก็มีจุดประสงค์ที่จะทำนุบำรุงสร้างถาวรวัตถุการกุศลเป็นอนุสรณ์ เป็นหลักฐานคู่บ้านขวัญเมืองเช่นเดียวกับเจ้าหลวง จึงได้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งอยู่ใกล้กับคุ้มเจ้าราชวงศ์ เรียกว่า “วัดกลาง”"เจ้าอาวาสวัดกลางรูปแรก ได้แก่ อาชญาท่านเจ้าหลักคำจันทร์ กำเนิดที่บ้านหนองหลัก อำเภอม่วงสามสิบ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิแตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นสมัยเดียวกับอาชญาท่านหอแก้วแห่งวัดหลวง"
ญาครูจันทร์ เจ้าอาวาส รูปที่ 3
เมื่อพระครูหลักคำ เจ้าอาวาสรูปที่ 2ได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่ วัดหลวง จังหวัดอุบลฯ แล้วท่านยังไปๆ มาๆ เพื่อดูแลวัดหนองหลักชั่วระยะเวลาหนึ่งต่อมาเมื่อเห็นว่าญาครูจันทร์ พอจะรับภาระทางนี้ได้ จึงมอบหมายให้ญาครูจันทร์เป็นเจ้าอาวาสสืบแทนต่อมา ท่านเจ้าอาวาสรูปนี้ ได้เจริญรอยตามที่ท่านพระครูหลักคำได้วางไว้ คือการจัดการศึกษาให้คงอยู่ต่อไปนอกจากนี้ ท่านยังมีความชำนาญในทางช่างไม้ และท่านชอบทำมาก คือธรรมมาสน์ วัดทุกวัดในแถบใกล้เคียงท่านจะทำไปถวายให้หมดจนชาวบ้านเรียกขาน สร้อยนามว่า “จันทร์ ธรรมมาสน์” และสิ่งที่ท่านทำเป็นภารกิจประจำปี คือ การเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งในสมัยนั้นใช้เวลาเดินทาง ๑๕ วัน ท่านคงจะเห็นความลำบากในการเดินทาง และประสงค์จะให้ผู้ที่ไม่มีโอกาส หรือไม่สามารถเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนมได้ จึงนำชาวบ้านสร้างพระธาตุพนมจำลองขึ้นที่วัด มีฐานกว้าง ๔ วา สูง ๑๖ วา แต่ต่อมาไม่นานเจดีย์ดังกล่าวได้โค่น พังลงไปหมดเเล้ว เหลือเพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า “ท่านใช้ไม้เนื้อแข็ง ๑๖ ต้น เป็นฐานแล้วจึงก่ออิฐขึ้นไปฐานล่างโปร่งสำหรับคนเข้าไปไหว้พระได้” ไม้คงรับน้ำหนักไม่ไหว จึงทำให้โค่นลงได้ง่าย เมื่อท่านสร้างพระธาตุพนมจำลองเสร็จไม่นานก็มรณภาพ
ญาครูเงิน เจ้าอาวาสรูปที่ 4
ญาครูเงิน นามสกุล แสนสิงห์ เป็นชาวบ้านนาขาม ตำบลหนองเมือง อำเภอม่วงสามสิบได้มาศึกษาอยู่ที่วัดนี้ เมื่อญาครูจันทร์มรณภาพ ญาครูเงินเป็นพระที่มีพรรษามากกว่าทุกรูปในวัดนี้ จึงต้องรับภาระในการเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา และรับภาระในตำแหน่งนี้ไม่นานก็ได้ลาสิกขา ต่อมาชาวบ้านได้เลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน
พระอุปัชฌาย์บุดดี (ทิ้งชั่ว) เจ้าอาวาสรูปที่ 5
เกิด พ.ศ.๒๔๐๐ โยมบิดาไม่ทราบชื่อ โยมมารดาไม่ทราบชื่อจริง แต่คนทั่วไปเรียก “แม่เฒ่าหล่อย” (หล่อย คือ ง่อยเปลี้ย) เมื่อมีอายุมากเดินไม่ค่อยได้ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๕ คน คือจารย์ชา นางคำ จารย์มี นางบ๋อ วาจาสัตย์ มารดาของนายถิน วาจาสัตย์ การศึกษาเบื้องต้นได้ศึกษาที่วัดหนองหลักกับเจ้าอาวาสญาครูจันทร์พออ่านออกเขียนได้ เมื่อเจริญวัยพอสมควรจึงได้ติดตามบิดาไปค้าขายในถิ่นต่าง ๆ ครั้นมีอายุครบบวช จึงได้กลับบ้านเพื่ออุปสมบท โดยมีพระครูหลักคำเป็น พระอุปัชฌาย์ มีพระจันทร์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ อยู่จำพรรษาที่วัดหนองหลักประมาณ ๕ พรรษา ประมาณ พ.ศ ๒๔๒๙ ศึกษาเพิ่มเติมที่วัดตึก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวิชาอาคมขลังทั้งไสย์และพุทธและหมอยา ประมาณ ๓ปี ประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๒ จึงเดินทางไปวัดขอนชะโงก ตำบลคชสิทธิ์ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เนื่องจากมีญาติอยู่ที่นั้น และที่วัดนี้เองที่ท่านได้สร้างพระเครื่องหน้านกฮูก มีทั้งเนื้อชินและเนื้อผงเป็นที่ทราบกันดีในวงการนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย ประชาชนแถบนั้น เรียก "สมเด็จ" จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ชาวบ้านหนองหลักจึงไปนิมนต์ท่านมาจำพรรษาที่วัดหนองหลัก เนื่องจากเจ้าอาวาส คือญาครูเงิน ได้ลาสิกขา เมื่อท่านกลับมารับหน้าที่สมภาร ได้เจริญรอยตามบุรพาจารย์ คือการจัดการศึกษา นอกจากการศึกษาบาลีมูลกัจจายน์แล้วท่านยังเปิดสอนภาษาไทยขึ้นที่วัด โดยท่านสอนเอง ต่อมาจึงให้นายสอนเป็นผู้รับภาระด้านการสอนให้โดยทนรับเป็นผู้อุปถัมภ์ก่อนที่ทางราชการจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ประถมศึกษา ต่อเมื่อทางการได้ขยายการศึกษาไปถึงท่านจึงปล่อยให้ทางราชการรับภาระไป การปกครองคณะสงฆ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์ ๔ ตำบล คือเหล่าบก ยางโยภาพ ดุมใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ และตำบลโพนเมืองน้อย อำเภอหัวตะพาน และเป็นพระปลัดของพระครูวุฒิกรคณาจารย์ เจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ หลังจากวันวิสาขบูชาของทุกปี ท่านจะออกเดินทางไปบวชกุลบุตร ในเขตตำบลต่าง ๆ จนถึงเดือนแปด จึงจะกลับมาบวชกุลบุตรที่บ้านหนองหลัก ส่วนวิชาหมอยา (แพทย์แผนโบราณ) ได้กลายเป็นที่พึ่งของประชาชนเป็นอย่างมาก และท่านมีความมั่นใจในตำราของท่านด้วยในคราวรักษาโยมแม่ที่ป่วยง่อยเปลี้ย ถึงกับประกาศออกมาว่า "ถ้ารักษาโยมแม่ไม่หาย จะไม่เหยียบดินนอกวัดเป็นเวลาหนึ่งปี" เมื่อรักษาไม่หายท่านก็รักษาสัจจะนั้นด้วย คือไม่เหยียบดินตามกำหนด ถ้ามีกิจนิมนต์ออกนอกวัด จะต้องมีแคร่หามหรือเกวียนรับจึงจะรับนิมนต์
การบูรณะวัด ได้สร้างศาลาการเปรียญ (หอแจก) ๑ หลัง ตามแบบของวัดตึก เป็นทรงตรีมุขก่ออิฐถือปูน หลังคามุงสังกะสี ผนังด้านนอกจะมีรูปปั้นเป็นรูปต่าง ๆ โบสถ์ไม้ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลัง เป็นไม้ ๒ ชั้น จนถึง พ.ศ.๒๔๗๐ ได้มรณภาพ รวมอายุได้ ๗๐ ปี พรรษา ๔๖ พรรษา
[SR] วัดหนองหลัก อำม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
วัดหนองหลักเป็นวัดและสำนักเรียนที่มีชื่อเสียงมากในอดีตมีพระภิกษุสามเณร เดินทางมาศึกษาเล่าเรียนเป็นจำนวนมาก
ประวัติวัดหนองหลัก เดิมชื่อ วัดธรรมรังสี ต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดหนองหลัก ตามชื่อของหมู่บ้าน สังกัดมหานิกาย อยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ภาค 10 ที่ตั้งของวัด เลขที่ 135 หมู่ 9 ตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี 34140
ลำดับเจ้าอาวาส
1. ญาครูบุดดา
2. พระครูหลักคำ (จันทร์)
3. ญาครูจันทร์
4. ญาครูเงิน แสนสิงห์ พ.ศ. 2436-2440
5. พระอุปัชฌาย์บุดดี (บุดดีทิ้ งชั่ว) พ.ศ. 2440-2470
6. พระครูอรรคธรรมวิจารณ์ (เลิศ ฉฺนโน ศาลาทอง) พ.ศ. 2470-2515
7. พระครูปริยัตยานุสิฐ (แหว่น ผาสุโก กลัวผิด) ป.ธ. 5 น.ธ . เอก พ.ศ. 2515-2531
8. พระครูศรีธรรมวิบูล (วิเชียร ญาณ เตโช บำรุงชาติ) ป.ธ. 6 น.ธ.เอก ปริญญาโทพ.ศ. 2531-ปัจจุบัน
Facebook วัดหนองหลัก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราธานี
website วัดหนองหลัก
รูปเก่าของวัดหนองหลัก เมื่อมองจากด้านหลังวัด
รูปหอแจกของวัดหนองหลัก พ.ศ. 2512
ประวัติเจ้าอาวาสวัดหนองหลัก
ญาครูบุดดา (ก่อม) เจ้าอาวาสวัดหนองหลัก รูปที่ 1
เป็นคนจังหวัดสุรินทร์เดินทางมาตามหาญาติที่บ้านโพนสิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหนองหลักในปัจจุบัน แต่ไม่พบญาติ เพราะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้จำพรรษาอยู่ด้วย ท่านรับนิมนต์และได้เริ่มสร้างวัดหนองหลักขึ้นมาจึงนับว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่ชาวบ้านเรียกว่า “ก่อม” เรียกตามลักษณะหลังของท่านที่ค่อม ท่านมรณภาพประมาณ พ.ศ. 2390
พระครูหลักคำ (จันทร์) เจ้าอาวาสรูปที่ 2
เป็นคนสนใจในการศึกษามาก เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้มีความอุตสาหะวิริยะเดินทางไปเรียนถึงนครเวียงจันทร์จนแตกฉานในพระไตรปิฎกจนกระทั่งเจ้าหน้าที่นครเวียงจันทร์ได้ตั้งให้เป็นพระครูหลักคำ เมื่อเดินทางกลับได้นำพระไตรปิฎกกลับมาด้วย และได้เปิดสอนแก่ภิกษุสามเณรทั่วไป จึงทำให้วัดหนองหลักเป็นสถานศึกษาในด้านนี้มาจนมีชื่อเสียงสำนักหนึ่งในเขตภาคอีสาน ต่อมาจากเมืองอุบลฯ ได้นิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดกลาง ในตัวจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อบริหารงานคณะสงฆ์และเพื่อส่งเสริมการศึกษาให้แพร่กระจายออกไปให้มากยิ่งขึ้นและมรณภาพที่วัดนี้
...........................................................
สอดคล้องกับประวัติของวัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีการกล่าวถึงพระครูหลักคำ (จันทร์)
วัดกลาง สร้างราวปีเถาะ จ.ศ.1155 ตรงกับ พ.ศ. 2336 ห่างจากการสร้างวัดหลวง 3 ปี เหตุที่ชื่อวัดกลาง คือ ตามคติโบราณการตั้งเมือง ชอบหาทำเลใกล้แม่น้ำและมักชอบ เรียกทางน้ำไหลเป็นเหนือ เป็นใต้ และเป็นกลางด้วย วัดกลางตั้งอยู่กลางเมืองอุบล ทางเหนือ เรียกว่า วัดเหนือท่า วัดเหนือเทิง ทางใต้เรียกวัดท่าใต้ ใต้เทิงผู้สร้างวัดกลาง อนุมานว่า เมื่อพระปทุมราชสุริยวงศ์ได้สร้างวัดหลวงแล้วตามหลักการปกครองบ้านเมืองในสมัยโบราณ เมื่อเจ้าหลวง คือ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) สร้างวัดหลวงเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เจ้าราชวงศ์ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ได้แก่ ท้าวก่ำ บุตรพระวรราชวงศา ก็มีจุดประสงค์ที่จะทำนุบำรุงสร้างถาวรวัตถุการกุศลเป็นอนุสรณ์ เป็นหลักฐานคู่บ้านขวัญเมืองเช่นเดียวกับเจ้าหลวง จึงได้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งอยู่ใกล้กับคุ้มเจ้าราชวงศ์ เรียกว่า “วัดกลาง”"เจ้าอาวาสวัดกลางรูปแรก ได้แก่ อาชญาท่านเจ้าหลักคำจันทร์ กำเนิดที่บ้านหนองหลัก อำเภอม่วงสามสิบ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิแตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นสมัยเดียวกับอาชญาท่านหอแก้วแห่งวัดหลวง"
ญาครูจันทร์ เจ้าอาวาส รูปที่ 3
เมื่อพระครูหลักคำ เจ้าอาวาสรูปที่ 2ได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่ วัดหลวง จังหวัดอุบลฯ แล้วท่านยังไปๆ มาๆ เพื่อดูแลวัดหนองหลักชั่วระยะเวลาหนึ่งต่อมาเมื่อเห็นว่าญาครูจันทร์ พอจะรับภาระทางนี้ได้ จึงมอบหมายให้ญาครูจันทร์เป็นเจ้าอาวาสสืบแทนต่อมา ท่านเจ้าอาวาสรูปนี้ ได้เจริญรอยตามที่ท่านพระครูหลักคำได้วางไว้ คือการจัดการศึกษาให้คงอยู่ต่อไปนอกจากนี้ ท่านยังมีความชำนาญในทางช่างไม้ และท่านชอบทำมาก คือธรรมมาสน์ วัดทุกวัดในแถบใกล้เคียงท่านจะทำไปถวายให้หมดจนชาวบ้านเรียกขาน สร้อยนามว่า “จันทร์ ธรรมมาสน์” และสิ่งที่ท่านทำเป็นภารกิจประจำปี คือ การเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งในสมัยนั้นใช้เวลาเดินทาง ๑๕ วัน ท่านคงจะเห็นความลำบากในการเดินทาง และประสงค์จะให้ผู้ที่ไม่มีโอกาส หรือไม่สามารถเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนมได้ จึงนำชาวบ้านสร้างพระธาตุพนมจำลองขึ้นที่วัด มีฐานกว้าง ๔ วา สูง ๑๖ วา แต่ต่อมาไม่นานเจดีย์ดังกล่าวได้โค่น พังลงไปหมดเเล้ว เหลือเพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า “ท่านใช้ไม้เนื้อแข็ง ๑๖ ต้น เป็นฐานแล้วจึงก่ออิฐขึ้นไปฐานล่างโปร่งสำหรับคนเข้าไปไหว้พระได้” ไม้คงรับน้ำหนักไม่ไหว จึงทำให้โค่นลงได้ง่าย เมื่อท่านสร้างพระธาตุพนมจำลองเสร็จไม่นานก็มรณภาพ
ญาครูเงิน เจ้าอาวาสรูปที่ 4
ญาครูเงิน นามสกุล แสนสิงห์ เป็นชาวบ้านนาขาม ตำบลหนองเมือง อำเภอม่วงสามสิบได้มาศึกษาอยู่ที่วัดนี้ เมื่อญาครูจันทร์มรณภาพ ญาครูเงินเป็นพระที่มีพรรษามากกว่าทุกรูปในวัดนี้ จึงต้องรับภาระในการเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา และรับภาระในตำแหน่งนี้ไม่นานก็ได้ลาสิกขา ต่อมาชาวบ้านได้เลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน
พระอุปัชฌาย์บุดดี (ทิ้งชั่ว) เจ้าอาวาสรูปที่ 5
เกิด พ.ศ.๒๔๐๐ โยมบิดาไม่ทราบชื่อ โยมมารดาไม่ทราบชื่อจริง แต่คนทั่วไปเรียก “แม่เฒ่าหล่อย” (หล่อย คือ ง่อยเปลี้ย) เมื่อมีอายุมากเดินไม่ค่อยได้ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๕ คน คือจารย์ชา นางคำ จารย์มี นางบ๋อ วาจาสัตย์ มารดาของนายถิน วาจาสัตย์ การศึกษาเบื้องต้นได้ศึกษาที่วัดหนองหลักกับเจ้าอาวาสญาครูจันทร์พออ่านออกเขียนได้ เมื่อเจริญวัยพอสมควรจึงได้ติดตามบิดาไปค้าขายในถิ่นต่าง ๆ ครั้นมีอายุครบบวช จึงได้กลับบ้านเพื่ออุปสมบท โดยมีพระครูหลักคำเป็น พระอุปัชฌาย์ มีพระจันทร์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ อยู่จำพรรษาที่วัดหนองหลักประมาณ ๕ พรรษา ประมาณ พ.ศ ๒๔๒๙ ศึกษาเพิ่มเติมที่วัดตึก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวิชาอาคมขลังทั้งไสย์และพุทธและหมอยา ประมาณ ๓ปี ประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๒ จึงเดินทางไปวัดขอนชะโงก ตำบลคชสิทธิ์ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เนื่องจากมีญาติอยู่ที่นั้น และที่วัดนี้เองที่ท่านได้สร้างพระเครื่องหน้านกฮูก มีทั้งเนื้อชินและเนื้อผงเป็นที่ทราบกันดีในวงการนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย ประชาชนแถบนั้น เรียก "สมเด็จ" จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ชาวบ้านหนองหลักจึงไปนิมนต์ท่านมาจำพรรษาที่วัดหนองหลัก เนื่องจากเจ้าอาวาส คือญาครูเงิน ได้ลาสิกขา เมื่อท่านกลับมารับหน้าที่สมภาร ได้เจริญรอยตามบุรพาจารย์ คือการจัดการศึกษา นอกจากการศึกษาบาลีมูลกัจจายน์แล้วท่านยังเปิดสอนภาษาไทยขึ้นที่วัด โดยท่านสอนเอง ต่อมาจึงให้นายสอนเป็นผู้รับภาระด้านการสอนให้โดยทนรับเป็นผู้อุปถัมภ์ก่อนที่ทางราชการจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ประถมศึกษา ต่อเมื่อทางการได้ขยายการศึกษาไปถึงท่านจึงปล่อยให้ทางราชการรับภาระไป การปกครองคณะสงฆ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์ ๔ ตำบล คือเหล่าบก ยางโยภาพ ดุมใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ และตำบลโพนเมืองน้อย อำเภอหัวตะพาน และเป็นพระปลัดของพระครูวุฒิกรคณาจารย์ เจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ หลังจากวันวิสาขบูชาของทุกปี ท่านจะออกเดินทางไปบวชกุลบุตร ในเขตตำบลต่าง ๆ จนถึงเดือนแปด จึงจะกลับมาบวชกุลบุตรที่บ้านหนองหลัก ส่วนวิชาหมอยา (แพทย์แผนโบราณ) ได้กลายเป็นที่พึ่งของประชาชนเป็นอย่างมาก และท่านมีความมั่นใจในตำราของท่านด้วยในคราวรักษาโยมแม่ที่ป่วยง่อยเปลี้ย ถึงกับประกาศออกมาว่า "ถ้ารักษาโยมแม่ไม่หาย จะไม่เหยียบดินนอกวัดเป็นเวลาหนึ่งปี" เมื่อรักษาไม่หายท่านก็รักษาสัจจะนั้นด้วย คือไม่เหยียบดินตามกำหนด ถ้ามีกิจนิมนต์ออกนอกวัด จะต้องมีแคร่หามหรือเกวียนรับจึงจะรับนิมนต์
การบูรณะวัด ได้สร้างศาลาการเปรียญ (หอแจก) ๑ หลัง ตามแบบของวัดตึก เป็นทรงตรีมุขก่ออิฐถือปูน หลังคามุงสังกะสี ผนังด้านนอกจะมีรูปปั้นเป็นรูปต่าง ๆ โบสถ์ไม้ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลัง เป็นไม้ ๒ ชั้น จนถึง พ.ศ.๒๔๗๐ ได้มรณภาพ รวมอายุได้ ๗๐ ปี พรรษา ๔๖ พรรษา
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้