สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ที่ฝรั่งเศสร้านค้ามักจะมีถุงขาย
ทั้งถุงผ้าและถุงพลาสติกแบบดี
ลูกค้าที่ลืมพกถุงมาก็จำเป็นต้องเสียเงินซื้อถุง
ในแผนกขายผักหรืออาหารสด บางที่ก็จะมีถุงกระดาษให้
ร้านที่มีถุงพลาสติกก็ไม่น้อย
สุดท้ายแล้วคนฝรั่งเศสเขาก็ไม่ได้เลิกใช้พลาสติกกันไปเลย
เขาแค่ลดการใช้
สำหรับผมถุงพลาสติกมันไม่ได้ผิดอะไร
แต่ที่ผิดคือคนไทยไม่ใช้ถุงพลาสติกซ้ำ
ทั้งๆที่มันไม่ได้เปื้อนอะไรก็ทิ้งกัน
ผมก็ออกจะนึกตลกเวลาเห็นคนพูดว่างดการใช้พลาสติกแบบเลิกใช้ไปเลย
แล้วคนเหล่านั้นก็เดินเข้าร้านกาแฟ ซื้อกาแฟที่เป็นแก้วพลาสติก
ทั้งถุงผ้าและถุงพลาสติกแบบดี
ลูกค้าที่ลืมพกถุงมาก็จำเป็นต้องเสียเงินซื้อถุง
ในแผนกขายผักหรืออาหารสด บางที่ก็จะมีถุงกระดาษให้
ร้านที่มีถุงพลาสติกก็ไม่น้อย
สุดท้ายแล้วคนฝรั่งเศสเขาก็ไม่ได้เลิกใช้พลาสติกกันไปเลย
เขาแค่ลดการใช้
สำหรับผมถุงพลาสติกมันไม่ได้ผิดอะไร
แต่ที่ผิดคือคนไทยไม่ใช้ถุงพลาสติกซ้ำ
ทั้งๆที่มันไม่ได้เปื้อนอะไรก็ทิ้งกัน
ผมก็ออกจะนึกตลกเวลาเห็นคนพูดว่างดการใช้พลาสติกแบบเลิกใช้ไปเลย
แล้วคนเหล่านั้นก็เดินเข้าร้านกาแฟ ซื้อกาแฟที่เป็นแก้วพลาสติก
ความคิดเห็นที่ 60
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมจึงมองว่านโยบายนี้...แก้ปัญหาผิดจุดไปไกลมาก
1. คนผิดรายแรกคือ แคชเชียร์ ที่ให้ถุงใบเล็กกับลูกค้าที่ซื้อมาม่าแค่ซองเดียว หรือขนมห่อเดียว เอ็มร้อยขวดเดียว...คือคุณไม่มีวิจารณญาณเลยเหรอว่ามันไม่ควรให้
2. คนผิดรายต่อไปคือ ไอ้พวกได้ถุงจิ๋วนี่ไปแล้วก็ขว้างทิ้งหลังพ้นประตูนี่แหละ ถังขยะก็อยู่แค่เอื้อมยังมองไม่เห็น
3. ห้างต่างๆ ที่แจกถุงใบใหญ่ใส่ของแล้วดันไม่ประชาสัมพันธ์ว่า เอาถุงนี่ไปคลุมตะกร้าตามร้าน 20.- ทำเป็นถังขยะได้พอดี ที่ไม่บอกเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ และเชื่อว่าลูกค้าทุกคนจะฉลาดพอ ทั้งที่ความเป็นจริงมีพวกคิดไม่ได้อีกเพียบ
4. คนที่เอาถุงใหญ่ไปใส่ขยะเลยได้แต่งงว่า ระหว่างถุงห้างกับถุงดำ.....ถุงดำสร้างมลภาวะน้อยกว่าเหรอ ???
5. นโยบายนี้แม้จะได้ผลต่ำ แต่สร้างอิมแพคคนรักสิ่งแวดล้อมแบบปลอมๆ ได้สูง
คุณมองถุงก๊อปแก๊ปเป็นตัวร้ายแล้วได้ชื่อว่ารักธรรมชาติ...แต่หลายคนเวลาจอดรถซื้อของ ยังต้องจอดชิดร้านแล้วไม่ยอมลงจากรถอยู่เลย ไม่ดับเครื่องเพราะทนร้อนไม่ได้...หรือไม่ก็ยอมจอดซ้อนคันจนรถวิ่งสวนกันไม่สะดวก เพื่อประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือ ไม่ต้องเดินไกล
ซื้อของเสร็จไม่รับถุง เดินสวยๆ หล่อๆ กลับมาขึ้นรถ ที่ข้างหลังติดกันยาว
บางคนติดกาแฟเย็น พอใช้แก้ว หลอด ใช้เสร็จโยนทิ้ง...มวลมันเยอะกว่าถุงก๊อปแก๊ปกี่ร้อยเท่า เคยคิดเอาไปล้างแล้วใช้ต่อล้างไหม ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.
.
ข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ พลาสติกไม่มีวันหมดไปจากประเทศครับ ตราบใดที่เรายังมีน้ำมันใช้
บางคนยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำอันไหนเบนซิน ดีเซล หรือปาล์ม แต่พอนโยบายนี้ออกมาก็ออกตัวว่าพร้อมปฏิบัติทันที ถถถ+
ไอ้ที่ควรหมดไปจากประเทศคือพวกสันดอนมักง่าย
ทำไมภาครัฐถึงไม่งัดโครงการตาวิเศษมาใช้อีกรอบ คราวนี้ให้รางวัลนำจับด้วยแบบคนถ่ายมอไซขี่บนทางเท้า...ทำไม่ถึงคิดไม่ได้
ยิ่ง กทม.ที่บ่นเรื่องขยะอุดท่อระบายน้ำ คนใหญ่คนโตคุณยิ่งต้องคิดหานวัตกรรมใหม่ๆ...แต่นี่อะไร ไม่พ้นการแก้ปัญหาเพื่อเอาหน้าสร้างคะแนนเสียงเหมือนเดิม พอน้ำระบายไม่ทันก็โทษขยะ แต่คุณกลับสงวนพวกตลาดล่างเอาไว้ แล้วดึงให้คนที่มีจิตสำนึกแล้วไปลำบากพร้อมคนพวกนั้น ไม่กล้สแตะต้องกันเลย แบบนี้ไม่เรียก Keep คะแนนจะให้เข้าใจว่าอย่างไร
และอีกไม่นาน กระทู้นี้จะโดนพวกรักษ์โลกปลอมๆ เอาไปโพสในเฟสว่า "ไม่น่าเชื่อพวกไร้จิตสำนึกจะเยอะขนาดนี้"
.
.
.
พูดไม่ทันขาดคำ โผล่มาแล้วที่ 102 แฮร่ !! - -"
ผมจึงมองว่านโยบายนี้...แก้ปัญหาผิดจุดไปไกลมาก
1. คนผิดรายแรกคือ แคชเชียร์ ที่ให้ถุงใบเล็กกับลูกค้าที่ซื้อมาม่าแค่ซองเดียว หรือขนมห่อเดียว เอ็มร้อยขวดเดียว...คือคุณไม่มีวิจารณญาณเลยเหรอว่ามันไม่ควรให้
2. คนผิดรายต่อไปคือ ไอ้พวกได้ถุงจิ๋วนี่ไปแล้วก็ขว้างทิ้งหลังพ้นประตูนี่แหละ ถังขยะก็อยู่แค่เอื้อมยังมองไม่เห็น
3. ห้างต่างๆ ที่แจกถุงใบใหญ่ใส่ของแล้วดันไม่ประชาสัมพันธ์ว่า เอาถุงนี่ไปคลุมตะกร้าตามร้าน 20.- ทำเป็นถังขยะได้พอดี ที่ไม่บอกเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ และเชื่อว่าลูกค้าทุกคนจะฉลาดพอ ทั้งที่ความเป็นจริงมีพวกคิดไม่ได้อีกเพียบ
4. คนที่เอาถุงใหญ่ไปใส่ขยะเลยได้แต่งงว่า ระหว่างถุงห้างกับถุงดำ.....ถุงดำสร้างมลภาวะน้อยกว่าเหรอ ???
5. นโยบายนี้แม้จะได้ผลต่ำ แต่สร้างอิมแพคคนรักสิ่งแวดล้อมแบบปลอมๆ ได้สูง
คุณมองถุงก๊อปแก๊ปเป็นตัวร้ายแล้วได้ชื่อว่ารักธรรมชาติ...แต่หลายคนเวลาจอดรถซื้อของ ยังต้องจอดชิดร้านแล้วไม่ยอมลงจากรถอยู่เลย ไม่ดับเครื่องเพราะทนร้อนไม่ได้...หรือไม่ก็ยอมจอดซ้อนคันจนรถวิ่งสวนกันไม่สะดวก เพื่อประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือ ไม่ต้องเดินไกล
ซื้อของเสร็จไม่รับถุง เดินสวยๆ หล่อๆ กลับมาขึ้นรถ ที่ข้างหลังติดกันยาว
บางคนติดกาแฟเย็น พอใช้แก้ว หลอด ใช้เสร็จโยนทิ้ง...มวลมันเยอะกว่าถุงก๊อปแก๊ปกี่ร้อยเท่า เคยคิดเอาไปล้างแล้วใช้ต่อล้างไหม ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.
.
ข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ พลาสติกไม่มีวันหมดไปจากประเทศครับ ตราบใดที่เรายังมีน้ำมันใช้
บางคนยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำอันไหนเบนซิน ดีเซล หรือปาล์ม แต่พอนโยบายนี้ออกมาก็ออกตัวว่าพร้อมปฏิบัติทันที ถถถ+
ไอ้ที่ควรหมดไปจากประเทศคือพวกสันดอนมักง่าย
ทำไมภาครัฐถึงไม่งัดโครงการตาวิเศษมาใช้อีกรอบ คราวนี้ให้รางวัลนำจับด้วยแบบคนถ่ายมอไซขี่บนทางเท้า...ทำไม่ถึงคิดไม่ได้
ยิ่ง กทม.ที่บ่นเรื่องขยะอุดท่อระบายน้ำ คนใหญ่คนโตคุณยิ่งต้องคิดหานวัตกรรมใหม่ๆ...แต่นี่อะไร ไม่พ้นการแก้ปัญหาเพื่อเอาหน้าสร้างคะแนนเสียงเหมือนเดิม พอน้ำระบายไม่ทันก็โทษขยะ แต่คุณกลับสงวนพวกตลาดล่างเอาไว้ แล้วดึงให้คนที่มีจิตสำนึกแล้วไปลำบากพร้อมคนพวกนั้น ไม่กล้สแตะต้องกันเลย แบบนี้ไม่เรียก Keep คะแนนจะให้เข้าใจว่าอย่างไร
และอีกไม่นาน กระทู้นี้จะโดนพวกรักษ์โลกปลอมๆ เอาไปโพสในเฟสว่า "ไม่น่าเชื่อพวกไร้จิตสำนึกจะเยอะขนาดนี้"
.
.
.
พูดไม่ทันขาดคำ โผล่มาแล้วที่ 102 แฮร่ !! - -"
แสดงความคิดเห็น
ทำไมผู้คนจึงพยายามโยนบาปให้ถุงพลาสติก ทั้งที่คนผิดตัวจริงคือตัวคนที่ไร้จิตสำนึก
ระหว่าง
การมีตัวตนอยู่ของถุงพลาสติก
กับ
มนุษย์ไร้จิตสำนึกที่ทิ้งขยะไม่เลือกที่
สิ่งที่ควรทำจริงๆ คือการปลูกจิตสำนึกให้กับผู้คน เรื่องการทิ้งขยะ
และเพิ่มมาตรการในการกำจัดขยะอย่างถูกต้องและจริงจัง
เรื่องนี้เราสามารถดูญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างได้
ไหนๆก็พูดถึงญี่ปุ่นแล้ว
ญี่ปุ่นกำจัดขยะพลาสติกอย่างไร?
คำตอบคือการเผา ในเตาเผาที่ออกแบบมาเพื่อเผาขยะแบบชีวมวล
คือเมื่อเผาแล้ว จะไม่มีการปล่อยสารพิษออกสู่ชั้นบรรยากาศเลย
และเถ้าที่เกิดจากการเผา ก็จะเหลือเพียงคาร์บอนและธาตุหลัก
ซึ่งญี่ปุ่นได้ถมเกาะขึ้นมา 1 เกาะแล้วจากเศษเถ้าที่ได้จากการเผาขยะ
ไม่มีส่วนไหนที่เสียเปล่าเลย
สุดท้าย นโยบายกำจัดถุงพลาสติกให้หมดไปจากประเทศ ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด
และท้ายที่สุดก็จะไม่ได้มีการแก้ไขอะไรเลย เชื่อไหม?
เพราะจิตสำนึกเรื่องการทิ้งยังคงอยู่
ต่อให้ไบโอพลาสติกย่อยสลายได้ภายใน 1 ปี
แต่ถ้ายังทิ้งลงทะเล เวลา1ปี ก็มากพอจะฆ่าสัตว์ทะเลได้มากมาย
นอกจากจะไม่มีใครได้ประโยชน์แล้ว ยังจะมีผู้เสียประโยชน์ และได้รับความเดือดร้อนอีกเยอะเลย
******เรามาปลูกจิตสำนึก เรื่องการทิ้งขยะกันดีกว่า******
ผมนี่สงสารพ่อค้าแม่ค้า และเศรษฐกิจระดับฐานรากที่เตรียมตัวล้มระเนระนาด กับมาตรการการออกกฎหมายห้ามใช้ถุงพลาสติกเลย
เพราะเราต้องยอมรับก่อนว่า ในชีวิตเรา จะมีการซื้อของแบบปุบปับ ปัจจุบันทันด่วน มากกว่าการซื้อที่ผ่านการวางแผนไว้แล้ว
เช่น การซื้ออาหารข้างทาง การซื้อของฝาก การซื้อน้ำขนม ระหว่างเดินทาง ฯลฯ
มันคือการซื้อ ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า
ซึ่งการซื้อขายแบบนี้จะหายไป เมื่อไม่มีถุงพลาสติก เพราะถ้าไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เราจะเอาอะไรใส่อาหารที่จะซื้อ?
คำตอบคือ ไม่มี
เมื่อไม่มี ก็ไม่ซื้อ
ร้อยละ 90 ของยอดขาย ของร้านค้าฐานรากเหล่านี้ คือลูกค้าขาจร ที่มาซื้อแบบปุบปับฉับพลัน
ต่อไปจะอยู่กันยังไง ผมยังคิดไม่ออก
แน่นอนว่าต้องมีการปรับตัว เพื่อความอยู่รอด
แต่ว่า.... อย่างไรล่ะ?
ไบโอพลาสติก คงจะเป็นทางออก แต่ต้นทุนยังสูง
และที่สำคัญ ไบโอพลาสติก ณ ปัจจุบัน พบว่าต้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าถุงพลาสติกเสียอีก ในกระบวนการผลิต
ถ้าความต้องการมากขึ้น ธรรมชาติจะถูกทำลายหนักว่าอีก
เพราะวัตถุดิบในการผลิต คือพืชทำลายดินทั้งนั้น ถ้าปลูกกันมากๆ ดินเสีย ก็ตัดไม้ทำลายป่าแผ้วถางทำไร่เพิ่ม
เหมือนที่มีผู้เคยทำการวิจัยว่า ถุงกระดาษ กับถุงพลาสติก อะไรทำลายธรรมชาติมากกว่ากัน
สุดท้ายผลคือ ถุงกระดาษทำลายธรรมชาติมากกว่า
แต่ผู้คนกลับพยายามที่จะปิดหูปิดตา เพราะอยากจะโยนบาปให้ถุงพลาสติก
ถุงกระดาษ ทำลายธรรมชาติ ในกระบวนการผลิต
พลาสติก ทำลายธรรมชาติ ในกระบวนการย่อยสลาย
นั่นแปลว่าตัวแปรที่ควบคุมได้ ในพลาสติกมีมากกว่า ขอเพียงควบคุมให้ตรงจุด