หลวงพี่โจ้ ตอบคำถาม ป้าสุจินต์ ที่แกสงสัยว่า
พระเล่นเฟสบุ๊คทำไม?
เฟสบุค ก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ใช้เผยแผ่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหนดี ก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป
ทั้งโยมป้าสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีดหรือเฟสบุค แทงตัวเองเป็นแน่แท้ กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่า ใครที่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา
เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่ว ไม่ได้อยู่ที่เงินอยู่ที่ตัวบุคคลนั้น จะเห็นคุณค่าของเงินนั้นอย่างไร?
เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนาจะนิพพานชาตินี้ ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้
พระที่เผยแผ่ธรรมทางโซเชียลมีเดีย ก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้ มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย
อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียงคนเดียว พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมป้าสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะ ถ้าพระใช้ไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย
คนเรามีอิสระที่จะคิด ในกรอบที่ดีงาม ฉะนั้นเมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระสัทธรรม ก็ย่อมจะทำได้ มิใช่มีแต่เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น ที่จะใช้เผยแพร่ธรรมได้ พระสงฆ์องค์เณร ท่านก็ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญของท่านด้วย ที่จะต้องทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมเช่นกัน
โยมป้าอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะความหลง ใช้แต่อัตโนมติของตนติเตียนพระ ส่วนเรื่องความเห็นภัยในวัฏสงสารมันก็เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาเรียนรู้กันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในระหว่างที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ พระเองก็เป็นผู้เห็นภัย แต่เมื่อเหตุปัจจัยยังไม่ถึงคราวที่จะบรรลุธรรม เกิดภพชาติใหม่ ก็ค่อยว่ากันต่อไป
ถ้าโยมป้าสุจินต์ ตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าด้วย ส่วนตัวของอาตมานี้ ของดการเสพเมถุน งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และรู้สึกจางคลายจากความกำหนัดที่เคยเป็น เช่นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจของ เนกขัมมะบารมี ที่ได้สั่งสมมา ก็อาจจะเป็นได้...
เอวัง โหตุ.
หลวงพี่โจ้
พระภิกษุสงฆ์ เล่นเฟสบุ๊คทำไม เหมาะสมเหมาะควร ไม่รู้เชียวหรือ?
เฟสบุค ก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ใช้เผยแผ่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหนดี ก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป
ทั้งโยมป้าสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีดหรือเฟสบุค แทงตัวเองเป็นแน่แท้ กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่า ใครที่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา
เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่ว ไม่ได้อยู่ที่เงินอยู่ที่ตัวบุคคลนั้น จะเห็นคุณค่าของเงินนั้นอย่างไร?
เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนาจะนิพพานชาตินี้ ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้
พระที่เผยแผ่ธรรมทางโซเชียลมีเดีย ก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้ มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย
อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียงคนเดียว พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมป้าสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะ ถ้าพระใช้ไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย
คนเรามีอิสระที่จะคิด ในกรอบที่ดีงาม ฉะนั้นเมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระสัทธรรม ก็ย่อมจะทำได้ มิใช่มีแต่เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น ที่จะใช้เผยแพร่ธรรมได้ พระสงฆ์องค์เณร ท่านก็ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญของท่านด้วย ที่จะต้องทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมเช่นกัน
โยมป้าอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะความหลง ใช้แต่อัตโนมติของตนติเตียนพระ ส่วนเรื่องความเห็นภัยในวัฏสงสารมันก็เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาเรียนรู้กันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในระหว่างที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ พระเองก็เป็นผู้เห็นภัย แต่เมื่อเหตุปัจจัยยังไม่ถึงคราวที่จะบรรลุธรรม เกิดภพชาติใหม่ ก็ค่อยว่ากันต่อไป
ถ้าโยมป้าสุจินต์ ตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าด้วย ส่วนตัวของอาตมานี้ ของดการเสพเมถุน งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และรู้สึกจางคลายจากความกำหนัดที่เคยเป็น เช่นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจของ เนกขัมมะบารมี ที่ได้สั่งสมมา ก็อาจจะเป็นได้...
เอวัง โหตุ.
หลวงพี่โจ้