JJNY : ธนาธรแนะเปลี่ยนหน.ศก.พาประเทศผ่านวิกฤตฯ/พิชัยชี้ชิมช้อปใช้เพื่อเบี่ยงประเด็นศก.ทรุดฯ/คลังจำนนศก.โลกทรุดซัดรง.ปิดฯ

'ธนาธร' แนะเปลี่ยนตัว หน. ทีม ศก. พาประเทศผ่านวิกฤตตัวเลขผลิตตกต่ำ
https://voicetv.co.th/read/BcZL1KhNW

"ธนาธร" แนะสร้างโอกาสที่ดีจากตัวเลขการผลิตที่ต่ำสุดรอบ 10 ปี ด้วยการสร้างเส้นทางพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ของไทย แต่ต้องเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ก่อน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า 

ตัวเลขการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี แต่นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างเส้นทางพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศไทย
และอะไรคือดัชนีการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งดัชนีนี้ คือตัวเลขการผลิตจริงในภาคอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตที่ทั้งประเทศมีอยู่ หากตัวเลขดัชนีต่ำ แปลว่าเรามีผลิตน้อยกว่าศักยภาพกำลังที่เรามี

ตัวเลขดัชนีในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุด ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 65 เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และที่สำคัญ อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเร็วอย่างน่ากลัว จากกลางปีที่แล้ว เดือน มิ.ย. 2561 เราใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ ร้อยละ 71.16 อีกทั้งปลายปีที่แล้ว เดือน ธ.ค. 2561 เราใช้กำลังการผลิตอยู่ ร้อยละ 68.54 ส่วนกลางปีนี้ เดือน มิ.ย. 2562 เราใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ ร้อยละ 65.64 และตัวเลขล่าสุด คือเดือน ก.ย. ผ่านมา เราใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ ร้อยละ 64.73

ในรอบสิบปีที่ผ่านมา เราเคยมีดัชนีการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมต่ำกว่า ร้อยละ 65 ทั้งหมดสามครั้ง ครั้งที่ใกล้ที่สุดคือช่วงเดือน พ.ย. 2554 ซึ่งตัวเลขลดลงต่ำกว่า ร้อยละ 50 เลยทีเดียว ปรากฏการณ์ครั้งนั้นเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ไม่ได้เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจโดยตัวมันเอง เมื่อน้ำลด การใช้กำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นสู่จุดปกติทันที

อีกสองครั้งเกิดขึ้นไล่เลี่ยกันในช่วงปี 2551 - 2553 ซึ่งตรงกับวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของอเมริกาและยุโรป เราใช้เวลาประมาณครึ่งปีกว่าที่จะดึงการใช้กำลังการผลิตกลับมาที่ระดับ ร้อยละ 70 อีกครั้ง

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า หากตัดช่วงน้ำท่วมใหญ่ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติ ไม่ใช่ภัยเศรษฐกิจโดยตัวมันเองออกไปแล้ว อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
และเรามองเห็นอะไรจากตัวเลขนี้

1. เมื่อกำลังการผลิตลดลง ภาคอุตสาหกรรมต้องลดการทำงานล่วงเวลาหรือเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งเราได้เห็นแล้วในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาว่ามีบริษัทปิดตัวลงจำนวนมาก

2. เราจะไม่เห็นการลงทุนภาคเอกชนขนาดใหญ่หรือการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในอนาคตอันใกล้นี้เลย การลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้จะเป็นการลงทุนเพื่อทดแทนเครื่องจักรที่หมดอายุ ไม่ใช่เพิ่มกำลังการผลิต (เมื่อเรายังผลิตอยู่ที่ ร้อยละ 65 ของเครื่องจักรและกำลังคนที่เรามี เราจะไม่ลงทุนใหม่หรือจ้างงานเพิ่ม โดยสถิติ ภาคเอกชนจะลงทุนเพิ่มก็ต่อเมื่อการใช้กำลังการผลิตขององค์กรยืนอยู่เหนือระดับ ร้อยละ 75-80 เท่านั้น)

"อนาคตใหม่" เสนอแนวทางก้าวผ่านวิกฤต

ในภาวะเช่นนี้ เราควรทำเช่นไร นายธนาธร เสริมว่า 

ในภาวะที่การลงทุนภาคเอกชนไม่เกิดขึ้น การส่งออกไม่สดใส และการบริโภคภายในซบเซา ภาวะเช่นนี้เปิดโอกาสให้เรากลับมาทบทวนทิศทางการพัฒนาประเทศของเราอีกครั้ง ว่าเราจะเดินไปเส้นทางไหนในศตวรรษที่ 21
พรรคอนาคตใหม่ เสนอสองแนวทางที่จะทำให้เราเดินต่อไปข้างหน้าได้ ดังนี้

1. คือการใช้โอกาสนี้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่พึ่งพาและก่อสร้างเทคโนโลยีของตนเอง เรามีปัญหาของสังคมมหาศาล ดังนั้น การสร้างอุตสาหกรรมใหม่จะต้องสามารถแก้ปัญหาสังคม, ทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น, สร้างเทคโนโลยีของตนเอง, สร้างการจ้างงาน และลดความเหลื่อมล้ำ สามารถทำได้พร้อมกัน เช่น การผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมสีเขียว, อุตสาหกรรมการจัดการขยะ, อุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า, อุตสาหกรรมรถไฟ หรืออุตสาหกรรมเกษตรก้าวหน้า เป็นต้น
เราไม่สามารถพึ่งพาห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) เดิมได้อีกต่อไป ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังการผลิตที่ล้นเกิน ทั้งสองอุตสาหกรรมไม่สามารถพาเราไปได้ไกลกว่านี้ แต่เราจะชักจูงและรอการลงทุนจากต่างชาติโดยไม่พัฒนาเทคโนโลยีของเราเองไม่ได้เช่นกัน เรามีเงินทุน มีสภาพคล่องล้นตลาดเงิน มีศักยภาพของคน และมีความต้องการในประเทศเพียงพอที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่จากห่วงโซ่อุปทานและบุคคลากรที่มีอยู่ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะสร้างไทยที่ทัดเทียมกับโลก และก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้

2. เราต้องเริ่มคิดถึง "การลงทุนขนาดเล็กที่ใหญ่และทะเยอทะยาน" เราให้ความสำคัญเมกะโปรเจกต์ (Megaproject) เช่น สนามบินใหม่, ท่าเรือสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่, รถไฟความเร็วสูง หรือมอเตอร์เวย์ มานานจนหลงลืมไปว่ายังมีการลงทุนขนาดเล็กที่ตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่จำเป็นอีกมาก เช่น โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วย, โรงเรียนที่ดีกว่าสำหรับเยาวชน, ระบบชลประทานที่ดีสำหรับเกษตรกร, การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น เป็นต้น
มันคงไม่ใช่เมกะโปรเจกต์สำหรับคนเมือง แต่เป็นการลงทุนเพื่อคนทุกคน เช่น โรงเรียนละ 2 ล้าน สำหรับโรงเรียนขนาดกลางและเล็กทั่วประเทศ จะใช้เงิน 6 หมื่นล้านบาท, สวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวที่มีคุณภาพทุกตำบล, งบลงทุนหลักแสนล้านเพื่อจัดการน้ำให้เพียงพอทุกสำหรับครัวเรือน, ทุกแปลงเกษตร และทุกอุตสาหกรรม เป็นต้น

นี่คือการลงทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นี่คือการสร้างพื้นฐานบริการภาครัฐที่มีคุณภาพ ที่จะอนุญาตให้คนในสังคมใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและเปี่ยมไปด้วยความหมาย

โดยในช่วงท้ายนั้นนายธนาธร โพสต์ประโยคปิดไว้ว่า 

"แต่...ถ้าจะทำได้ทั้งหมดนั้น...ต้องเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้เสียก่อน"

https://www.facebook.com/382592748811072/posts/718348471902163/



“พิชัย” ชี้ “บิ๊กตู่” ออกชิมช้อปใช้เฟส 3 เพื่อเบี่ยงประเด็นเศรษฐกิจทรุด ห่วงไทยล้าหลังเร็ว ประชาชนจะยิ่งลำบาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_1752763
 
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า 

จากข้อมูลที่ได้รับ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 จะยังคงขยายตัวได้ในระดับต่ำมาก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวกว่า 3% และ ไม่มีทางเป็นไปตามที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เคยยืนยันไว้ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและชิมช้อปใช้จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3.5% ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะชิมช้อปใช้ ประสพความล้มเหลว ไม่เกิดประโยชน์เหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ทั้งๆที่ไอเอ็มเอฟได้เตือนแล้วว่า รัฐบาลไม่ควรแจกเงินสะเปะสะปะ เพราะไม่ได้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่รัฐบาลก็ยังคงทำต่อไม่หยุด โดยคาดว่าอาจจะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของคนให้มาวิจารณ์ชิมช้อปใช้ ที่น่าจะมีคนชอบอยู่บ้างเพราะได้เงินฟรี แต่จะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศเลย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ทุกคนหันไปรุมด่าฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ล้มเหลวมากว่า 5 ปีแล้ว จนเศรษฐกิจปัจจุบันย่ำแย่สุดๆ และยังมีแนวโน้มที่จะแย่ลงไปอีก
 
ทั้งนี้ ทั้งสภาพัฒน์ฯ และรวมถึงนักวิชาการจำนวนมาก ต่างพากังวลว่า เศรษฐกิจไทยจะล้าหลังเร็วมาก และไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกนาน ซึ่งจะทำให้ไทยปรับตัวแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ลำบาก ซึ่งหากจำกันได้ ตนได้เตือนมาตลอดว่า ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองภายในประเทศในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ไทยตกยุคเร็วมาก แล้วก็เริ่มเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ และ ถ้าหากไทยยังไม่เร่งแก้ไขปรับปรุงประเทศไทยจะยิ่งล้าหลังเร็วขึ้นไปอีก ประชาชนจะยิ่งลำบาก คนรุ่นใหม่จะไม่มีงานทำ และจะไม่สามารถหารายได้เพียงพอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ถ้าเปรียบเทียบตามทฤษฏีกบต้ม ก็น่าจะเป็นช่วงที่น้ำยังเพิ่งจะเริ่มร้อน แต่ได้มีโรงงานปิดตัวและเลิกจ้างงานกันเป็นจำนวนมากแล้ว หากสถานการณ์แย่ลงอีก ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำในหม้อเริ่มเดือด ประชาชนจะยิ่งลำบากกันเพิ่มขึ้นอีกมาก
 
ดังนั้น จึงอยากขอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้พิจารณาตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอจะบริหารเศรษฐกิจในภาวะเช่นนี้หรือไม่ ถ้าหากคิดเพียงจะใช้กูเกิ้ลบริหาร คิดจะเป็นแค่มดจากเดิมที่เคยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย หรือ คิดได้แค่ให้นำวัวไปรีดนมในโรงเรียนให้นักเรียนดื่มเพื่อป้องกันนมบูด พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องสำนึกตัวได้หรือยังว่า ถูกหลอกให้มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังจะหักหัวลง เศรษฐกิจไม่ได้กำลังฟื้นตัวเหมือนที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พยายามจะขายฝัน ซึ่งได้ขายฝันมา 5 ปีแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่เคยดีขึ้นแถมยังแย่ลงไปอีก
 
นอกจากนี้ นายสมคิดยังได้ปัดความรับผิดชอบเรื่องจีดีพีที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีว่า นายสมคิดไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว เท่ากับโยนความผิดให้พลเอกประยุทธ์รับไปเต็มๆ อีกทั้ง ยังโยนเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกลดไปที่แบงค์ชาติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เก่ง แค่เป็นผู้ติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจก็ต้องรู้แล้วว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ย่ำแย่แน่ การโดดเข้าไปรับเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจโดยไม่ได้ศึกษาหรืออาจจะไม่มีความรู้ ได้กลายเป็นความล้มเหลวที่นายสมคิดโยนมาให้พลเอกประยุทธ์รับไปทั้งหมด แถมยังพูดปัดความรับผิดชอบยิ่งเป็นการตอกย้ำ และน่าจะทำให้พลเอกประยุทธ์สำนึกได้หรือยังว่า น่าจะถูกหลอกให้มาเป็น และควรจะต้องรีบลาออกจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้แล้ว โดยควรต้องหาคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ทันให้เข้ามาช่วยบริหารเศรษฐกิจแทน พวกที่บริหารมา 5 ปีแล้วยังล้มเหลวควรต้องปรับออกไปทั้งหมด เพื่อทำให้ไทยสามารถกลับมาแข่งขันได้
 
ความล้าหลังของเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นเร็วมาก และจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก หากรัฐบาลไม่รีบแก้ไขปรับตัว อีกไม่นานไทยจะตกยุคแบบกู่ไม่กลับ ตอนนี้ยังไม่สายไปนักหากไทยจะรีบปรับตัว แต่หากปล่อยไปเรื่อยๆ อีกไม่นานไทยจะยิ่งเสียหายจนยากจะฟื้นหรืออาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาก้าวทันโลกได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่