ผิดไหมที่คิดอยากจะออกไปอยู่คนเดียว ตอนอายุ 30 ปี

ต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนก็อยู่คนเดียว หรืออยู่กับเพื่อนมาตลอดค่ะ
           - ตั้งแต่เริ่มเรียนมหาลัย ก็เลือกไปเรียนมอที่ไกลบ้านมาก
           - จบมาก็ได้งานใน กทม ซึ่งห่างบ้าน ไม่สะดวกไปกลับ ก็เลยอยู่หอกับพี่สาว แต่พี่มีแฟนก็กลับบ้าง ไม่กลับบ้าง
           - จนสอบบรรจุได้ที่ต่างจังหวัดก็ไปอยู่บ้านเช่าคนเดียว
           ก็มีความสุขดีค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าต้องย้ายกลับมาอยู่บ้าน ดูแลพ่อแม่ เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กที่ยังไม่มีแฟน จึงทำให้ทำเรื่องย้ายมาอยู่ กทม.
ซึ่งก็แน่นอนว่าพี่สาวก็อยากให้เป็นเช่นนั้น โดยพี่สาวเสนอให้อยู่บ้านใหม่เป็นบ้านจัดสรรที่ติดกับบ้านเก่าของตน เพราะพ่อกับแม่ไม่ยอมย้ายมาอยู่
และตัวพี่สาวเองก็ไม่สะดวกจะกลับมาอยู่ด้วย เราจึงโอเคก็ได้มาอยู่ดูแลบ้านไปในตัว และพ่อกับแม่เองก็บอกว่าอยากให้กลับมาอยู่บ้านมากกว่า 

                      ด้วยความที่บ้านอยู่ลึกการเดินทางไปกลับที่ทำงานต้องต่อถึง 3 ต่อ เราจึงออกรถมา เพื่อที่จะได้ไปกลับที่ทำงานได้ ไม่เหนื่อยมาก เพราะต้องขับรถไปกลับวันละ 80 โล (นครปฐม - กทม.) และเวลาจะไปไหน ทำอะไรจะได้สะดวก ไม่ต้องค่อยใช้รถพ่อตลอด มันก็เหมือนจะโอเค แต่ปัญหามันก็เริ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

                      คือพ่อกับแม่ชอบทะเลาะกันตลอดค่ะ บางทีถึงขั้นลงไม้ลงมือ ถ้าเราไม่เห็น แต่เขาก็อยู่ด้วยกันมาได้เกือบ 30 ปี เมื่อก่อนอาจจะเพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ทำให้มีปัญหาเรื่องเงิน และแม่กับพ่อเป็นคนอารมณ์ร้อนทั้งคู่ แต่ตอนนี้คือลูกๆ ก็เรียนจบหมดแล้ว พ่อกับแม่ไม่มีภาระหนี้สินแล้ว เพราะเรากู้เอามาปิดให้หมดแล้ว แต่เขาก็หาเรื่องอื่นมาทะเลาะกันจนได้ ซึ่งเรากับพี่สาวก็พยายามปล่อยๆ ไป เพียงแต่คิดว่า เดี๋ยวก็ดีกันเอง มันก็เป็นแบบนี้มาตลอด

                      ที่นี้พอเราย้ายกลับมาอยู่บ้านพี่สาว คอยอยู่ดูแล อาจจะไม่ทุกเรื่อง แต่ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้ มันก็มีปัญหาธรรมดา เช่น พ่อแม่มักมองว่าเราเป็นเด็กเสมอ ทำอะไรอาจจะไม่ถูกใจ ห้องรกเป็นช่วงๆ แต่เขาก็จะเอามาว่า หรือการออกไปเที่ยวข้างนอก เจอเพื่อนบ้าง ก็มักจะโดนโทรตาม หรือถูกเอามาว่า ว่าดีแต่เที่ยวเล่น การตื่นนอนบางทีเราเสาร์อาทิตย์เราก็ต้องการตื่นสายบ้าง แต่ก็จะโดนว่าตลอด ซึ่งเราหงุดหงิดนะ แต่ก็พยายามไม่สนใจ เพราะคิดว่าเขาคงเป็นห่วง เลยบ่น เลยว่า แต่ตลอด 1 ปีที่ย้ายกลับมาจะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะงานออกต่างจังหวัดบ่อย เดือนนึงอาจจะอยู่บ้านสัก 1-2 อาทิตย์ ทำให้ผ่านมาแบบไม่รู้สึกอะไร 

                      จนเราตัดสินใจมาเรียนต่อ ป.โท ซึ่งเป็นการลาเรียนแบบเต็มเวลา ไม่มีการไปต่างจังหวัด แน่นอนว่าเรื่องเรียนมันเครียดมาก แต่การที่เราอยู่บ้านเต็มเวลา จะออกไปเรียนเท่านั้น ทำให้ปัญหามันยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน เขาไม่รู้จะลงที่ใครก็จะมาลงที่เรา ต่างด่ากันเองให้เราฟัง ส่วนมากจะเป็นแม่ ซึ่งโอเคเราฟังได้ ถ้าถึงขั้นใช้ความรุนแรง เราก็จะเข้าไปห้าม เข้าไปบอกให้ใจเย็น แต่ก็มักจะเป็นที่รองรับอารมณ์ของสองฝ่ายเสมอ และการมาเรียน เราจะขาดรายได้จากการออกสนาม เราจึงหางานพิเศษอื่นๆ ทำควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นงานที่ทำอยู่กับบ้าน ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่เราจะอยู่บ้านตลอด นอกเหนือจากการเรียนก็รับงานเสริม ซึ่งงานเสริมจะทำเป็นกะ บางทีได้งานรอบดึก ทำให้ไม่ได้นอน ก็จะนอนก็เกือบเช้า เราก็จะบอกกับพ่อแม่เสมอว่าทำงานพิเศษนะ นอนน้อย ถ้าไม่จำเป็นอย่ามาเรียกตอนเช้านะ ซึ่งก็เป็นผลบ้าง แต่ถ้าเขาทะเลาะกัน เราก็จะโดนหางเลขไปด้วย

                       แต่ตอนนี้คือเขาทะเลาะกันจนถึงขั้นแยกกันอยู่ โดยแม่เราเอาเสื้อผ้ามานอนบ้านพี่ที่เราอยู่ เพราะปกติแม่จะไม่กล้าอยู่บ้านพี่คนเดียว แกกลัว จึงทะเลาะแล้วก็ดีกันเพราะต้องนอนกับพ่อ ดังนั้นสำหรับเรามันหนักนะ เพราะกลายเป็นว่าเราต้องรับฟังตลอดเวลา เมื่อก่อนยังมีที่ส่วนตัวให้หายใจ ผ่อนคลาย  ตั้งแต่เช้าเราก็ตื่นมาด้วยคำด่าว่า โดนถูกใส่อารมณ์ ต้องมานั่งฟังแม่ด่าพ่อ วางของไว้ตรงนั้น ตรงนี้ก็ไม่ได้ และก็โดนถามคำถามตลอดว่า คิดจะอยู่บ้านพี่ไปจนตายเลยหรือไง บ้านพ่อกับแม่ก็ไม่มีที่ให้อยู่แล้วนะ แรกๆ มันก็ไม่รู้สึกอะไรนะ เราบอกกับตัวเองว่าเขาเป็นห่วง แต่มันเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีเราก็โพล่งออกไปว่าไม่ต้องห่วงนะ ถ้าไม่อยากให้อยู่จะไปอยู่หอก็ได้นะ พูดตามตรงค่าใช้จ่ายที่อยู่บ้านเนี่ยมันมากกว่าการอยู่ตัวคนเดียวนะ ไหนจะค่าน้ำมันไปกลับ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าอาหารที่เราทำ เราไม่เคยให้พ่อกับแม่ออกให้เลย เราจัดการดูแลเองหมด เพราะเราเป็นคนอยู่ไง 

                         จนล่าสุดพ่อเรียกเราไปนั่งคุย แล้วก็เริ่มด่าแม่ให้เราฟัง พูดว่าแม่ทำอย่างงั้นอย่างงี้ เราก็ใจเสียแล้ว เพราะปกติ เรามักรองรับอารมณ์แม่มากกว่า พ่อเราก็เริ่มหาเรื่องเล็ก เรื่องน้อยมาว่าเรา เช่น (เราซื้อกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว แล้วเรียกพ่อ แต่พ่อออกไปข้างนอก เราเลยวางเอาไว้ เพราะปกติเราก็ทำแบบนี้ แต่พ่อก็มาว่าเรา ว่าทำเหมือนให้ผี เราก็บอกว่าเปล่าไม่ได้คิดแบบนั้น เรียกแล้วแต่พ่อไม่อยู่ แกก็ว่าทำไมไม่โทรเรียก เราก็งง มันต้องโทรเลยเหรอ ปกติก็ไม่เคยนี่นา พ่อก็ด่าเราว่า ไปทำแบบนี้กับคนอื่นเขาก็จะว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ตอนนั้นก็เงิบ เลยเงียบไว้) แล้วแกก็เริ่มว่าเรื่องอื่นๆ แล้วแกก็ว่าๆ เป็นเพราะเรา แม่เลยมาด่าแกด้วย จนมาถึงเรื่องที่เราไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งบอกเลยว่ามันไม่บ่อยหรอก เพราะเราต้องทำงานพิเศษ และการจะไปครั้งนึงเราเก็บตังค์เองล้วนๆ แล้วแกก็ว่า 30 แล้ว จะอยู่กับพี่ไปถึงไหน ไม่ลงหลักปักฐาน ซึ่งมันเป็นการทำให้เรารู้สึกแย่ถึงที่สุดแล้ว
                     
                          คือเราไม่เข้าใจ ว่าต้องการอะไรจากเราเหรอ จะทะเลาะกันแล้วเรียกเราไปด่า ล่ามไปเรื่องนั้นเรื่องนี้มันใช่ไหมอ่ะ เราอึดอัดมาก เครียดทั้งเรื่องงาน เรื่องที่บ้าน ร้องไห้คนเดียว นอนไม่ค่อยหลับ จนบางทีไม่รู้สึกอยากทำอะไรเลย เราไม่ดีพอขนาดนั้นเลยเหรอ? ยอมสอบเลือกรับราชการเพราะพ่อกับแม่จะได้สวัสดิการการรักษา  ทั้งๆ ที่ ถ้าไปทำงานเอกชนก็ได้ แต่เพราะทั้งพ่อแม่ และพี่สาว อยากให้เป็นข้าราชการ ซึ่งโอเค เราก็ว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร เราหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องมาคอยเป็นภาระ ไม่สร้างเรื่องให้ ถ้ามีเงินก็ให้ หรือหาซื้อของเข้าบ้าน คอยพาไปไหนมาไหน เป็นคนกลางค่อยรับฟัง รองรับอารมณ์ แล้วยังจะเอาอะไรอีก เราก็ถามพี่ตลอด บางเรื่องถ้าเราไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องโทรไปปรับทุกข์กับพี่สาว ซึ่งพี่เราก็อยู่บ้านไม่ได้เหมือนกัน จนนางแต่งงานออกไป พี่เราก็มักจะบอกให้ทน แต่ตอนนี้เราอาการหนักมาก พี่เลยบอกให้คิดดีๆ ซึ่งเราควรทำไงจะอกตัญญูไหม ถ้าหนีออกไปอยู่คนเดียว จัดการชีวิตเอง แล้วเราควรไปหาหมอจิตเวชไหม เพราะเรานอนไม่หลับมาสักพักแล้ว และมันไม่มีความสุขกับชีวิตเลยพออยู่บ้าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่