เธอคือ Idol ในชีวิตจริง (ไม่ใช่กระทู้ตั้งหาคนนะครับ)

        ก่อนอื่นเลยก็ขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้เเรกในชีวิตเลย ผมเพียงเเค่อยากเเชร์ประสบการณ์กับเก็บความรู้สึกที่มันวิเศษนี้เป็นตัวอักษรเท่านั้นเอง อาจจะไม่ได้พิมพ์ให้มันน่าอ่าน ทั้งการใช้คำพูดเเละการเว้นวรรคคำ (เพราะมันมาจากความรู้สึกผมล้วนๆเลย) อาจจะมีคำพูดตัวอักษรพิมพ์หรือสะกดผิด , กระทู้ที่มันยาวไป หรือ ตั้งกระทู้ เเท็คผิดกลุ่ม ต่างๆ ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 
      ผมเชื่อว่าคนเราเนี่ยจะมี Idol ในการทำสิ่งต่างๆอยู่เเล้วเเละ  จะเป็นทั้ง เพศเดียวกันหรือจะเป็นเพศตรงข้าม ก็ได้  ซึ่งคนๆหนึ่ง ก็อาจจะมี Idol หลายคนตามเเต่ละด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป เเล้วจะมีอยู่ไม่กี่บุคคลหรอกครับที่จะเป็น Idol ในการสร้างเเรงบัลดาลใจให้สำหรับเรา อาจจะ เป็น Idol ด้านการทำธุรกิจ ด้านการดำเนินชีวิต หรือ ความน่ารักเเละความพยายาม เเต่สำหรับ Idol ในการสร้างเเรงบัลดาลใจของผมกลับกลายเป็นคนที่ ผมไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร , อายุเท่าไหร่ , นิสัยอย่างไง หรือไม่เคยพบเขามาก่อนเลย เป็นเพียงเเค่ผู้หญิงที่ผมเจอเขาอยู่ในสถานๆที่สถานที่หนึ่ง เขามีความหมายมากกว่าเเค่คำว่าตกหลุมรัก  ดังนั้น วันนี้ผมจีงจะมาเเชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันครับ 
     

       วันนี้เป็นวันที่อะไรหลายๆอย่างมันได้เข้ามาพร้อมกันหมด ไม่ว่าจะทั้งเรื่องการเรียน ปัญหาต่างๆ ที่ทำไมมันถึงจะต้องเข้ามาภายในวันนี้วันเดียว ผมก็เลยไม่รู้จะทำยังไงดี กับปัญหาเล่านั้นที่มันเกิดขึ้น ก็เลย เเต่งตัวออกจากบ้าน เพื่อที่จะไปเดินเล่นซิวๆ ที่ห้างสรรพสินค้าเเห่งหนึ่ง ย้านศรีนครินทร์ (อักษรย่อ SS  ซค)  เพื่อที่จะจัดการความคิดตนเอง ก็เลยเดินไปเดินมา ชื้อกาเเฟมาดื่ม  ตามปกติอย่างที่คนทั่วๆไปทำกัน
 
        ด้วยความที่ไม่รู้อะไรดลใจให้เดินไปในโซนที่ ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปโซนนั้นเลย ก็คือโซน ที่เรียนพิเศษ (ช่วงชั้น 3-4) จะอยู่มุมของห้างนั้นเลย ผมก็เดินเตร็ดเตร่ อยู่ตรงนั้น ในหัวก็คิดถึงเเต่เรื่องปัญหาที่ผมได้พบเจอ พอเจอ โต๊ะเเละเก้าอี้ ว่าง ด้านหน้า สถาบันสอนเต้น ธีม สีเขียวๆ  ก็เลยนั่งลงตรงเก้าอี้นั้นเเล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อนั่งฟังเพลง เช็ค Social Network บลาๆๆๆ  เป็นจังหวะเดียวกับที่ มีห้องซ้อมเต้นห้องหนึ่ง  มี ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเรียนเต้นอยู่  ผมสังเกตุเห็นเเล้วว่าห้องๆนั้นมีคนใช้อยู่ (ต้องบอกก่อนว่า สถาบันสอนเต้น นั้นค่อนข้างโปร่ง ประดับตบเเต่งด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่มันเลยสามารถมองเห็นด้านในได้ เพื่อที่ให้ผู้ปกครองของเด็กต่างๆ ได้ดูลูกๆ หลานๆ ตัวเองเรียนเต้น )  ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ ก็นั่งฟังเพลงเรื่อยเปื่อย จนกระทั้งมีจังหวะหนึ่งที่น้องคนนั้นหันมา พอดี เเล้วผมเองก็เงยหน้าขึ้นมาด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าน้องเขาจะรู้ว่าผมมองหรือเปล่านะ เเต่วินาทีนั้น ผมจมดึงไปกับช่วงเวลาๆหนึ่งเลย มันเหมือนกับความรู้สึกที่เเบบ อธิบายเป็นคำพูดยากมากๆ มันทำให้เรื่องเลวร้ายต่างๆของผมหายไปโดยปริยาย อารมณ์เหมือนกับถูกมนต์สะกด ติดอยู่ในภวังค์ หายใจติดๆขัดๆ หน้าชาๆ ถ้าจะให้อธิบายเเล้วเข้าใจมากที่สุดคงจะเหมือนกับผู้หญิงหรือบุคคลคนแรกที่ทำให้เราใจสั่น เพราะผมไม่ได้รู้สึกเเบบนี้มานานมากๆ ด้วยเพราะ ผมเองก็ไม่ใช่เด็กๆเเล้ว ( 23ปี ) การที่ผมจะมีแฟนก็จะเกิดขึ้นเเบบ เป็นเพื่อนของเพื่อนบ้าง เป็นเพื่อนคนละคณะบ้าง  ซึงแฟนทุกคนของผมเป็นคนที่รู้จักกันอยู่เเล้ว ความรู้สึกพวกนี้ผมแทบลืมไปหมดเเล้วละ ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อายมากๆ ก็เลยจะไม่ค่อยรู้สึกกับคนเเปลกหน้าซักเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็เเค่อยู่กับกลุ่มเพื่อนเเล้ว ชมว่าผู้หญิงคนนั้นคนนี้น่ารักดีวะ ไม่เคยคิดจะเข้าไปคุยหรือเข้าไปจีบเลย บวกกับที่ตัวผมเองก็เริ่มที่จะโตขึ้น มีภาระหน้าที่การงานที่มากขึ้น เลยมองความรักว่ามันไม่ค่อยสำคัญกับชีวิตมากเท่าไหร่ วันๆก็จะเครียดกับงานของมหาลัย งานที่บ้าน งานที่ตัวเองทำ 
             
             เเต่คนๆนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับไปเป็นเด็กมัธยมอีกครั้งหนึ่งเลย เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ผมโคตรมีความสุขที่สุด เเบบไม่ว่าวันๆหนึ่งเราจะพบเจอปัญหามากมายเเค่ไหน จากทั้ง คุณครู เพื่อนที่มันทะเลาะกัน ปัญหาที่บ้านบ้าง ฯลฯ  ก็มีแฟนเนี่ยเเละ ที่ทำให้เรื่องพวกนั้นดูมันเบาบางลง ไม่จำเป็นต้องพูดหรืออธิบายอะไรให้เขาฟังมากมาย เเค่มองตากันก็ทำให้ปัญหาเเละเรื่องราวต่างๆที่มันทำให้เราไม่สบายใจ สลายหายไปได้ทันที โคตรมีความสุขเลย  
           เเล้วผมเองไม่ได้รู้สึกเเบบนี้กับใครมานานมากๆ ตั้งเเต่ที่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยเลย  ความรู้สึกนี้ที่ผมรู้สึกกับผู้หญิงคนนั้น มันทำให้ผมอยากที่จะพยายามลองสู้กับปํญหาที่กำลังเผชิญ  ก็เลยยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เเต่ก็ไม่ได้แอบมองเขาจนทำตัวเหมือนโรคจิตนะครับ เพราะ ไอช่องกระจกที่สามารถเห็นเขาได้มันค่อนข้างระยะเเคบ ต้องให้เขายืนตรงมุมห้องพอดี ถึงจะมองเห็นกัน
           ความคิดผมเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปทำตัวรุ่มร่ามกับเขานะ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากที่จะรู้จักเขาเหมือนกัน  ในหัวผมไอสองเรื่องนี้มันตีกันเป็นสิบๆครั้ง ว่าจะเข้าไปทักเขาดีไหม หรือปล่อยให้เขามีชีวิตที่มีความสุขเเบบนี้ต่อไปเถอะ ฮ่าๆๆๆ เเต่พอความคิดที่อยู่ในหัวสมองนั้นเถียงกันไม่ทันจบ เขาเรียนเต้นเสร็จพอดี เขาก็เก็บกระเป๋าเเล้วเดินออกมาจากสถาบันสอนเต้นนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในหัวผมตอนนั้นเอง ก็ยังคงสรุปความต้องการที่เเท้จริงของตัวเองไม่ได้ เเต่ไอขาของผมมันดันลุกขึ้นมาเเล้วก็เดินตามเขาไปอย่างอัตโนมัติ โดยที่สมองยังไม่ทันได้สั่งอะไรมันเลย เหมือนทำไปโดยที่ผมเองก็ไม่รู้สึกตัว แต่ผมก็ใช่ว่าจะเดินตามเขาอย่างไม่มี Step น๊า  ไม่ได้เดินตามโดยไม่คิดเขาเเบบพวก Stalker ที่ค่อยสะกดรอย
          แต่ด้วยความที่ห้างนี้ มีทางเดินเป็นรูป ตัว U มันเลยทำให้ผมเดินตามเขาไปทางฝั่งตรงข้าม เดินตามไป เเบบเนียนๆ (คงเนียนละมัง 55555)  เเต่ที่สัมผัสได้ตอนเดินตามเขาไปคือ  เขาเดินเร็วมากๆ ไม่รู้ว่าเขาเดินหนีผมเปล่านะ (แต่ผมว่าผมเนียนอยู่น๊า) 
          แต่ในหัวผมตอนนั้นคือ ในเมื่อถ้าเราเดินตามเขาขนาดนี้ 'ถึงคำตอบที่สมองสั่งจะยังไม่ได้รับการยืนยันว่าควรจะทำยังไง เเต่ขาผมมันเดินไปเเล้ว แสดงให้เห็นว่า หัวใจผมคงไม่ต้องการให้ปล่อยเขาไปโดยที่ไม่ทำอะไรแน่นอน " ก็เลยตัดสินใจจะเข้าไปทักเขาเลย เเต่ความคิดหลายๆอย่างที่มันประเดประดังทั้งเข้ามาว่า  เราจะทักเขายังไง ,วันนี้เราดูไม่ดีเลย , เขาจะรังเกลียดไหม , เขาจะกลัวเราไหม , เขาจะลำบากใจไหม ที่สำคัญคือ เขาจะมีแฟนอยู่เเล้วหรือเปล่า เพราะผมเกิดมาไม่เคยคิดที่จะเดินเข้าไปทักคนที่ไม่รู้จักเลย มันเลยเกิดความคิดพวกนี้เเทนขึ้นมา เต็มหัวไปหมด จนกระทั้ง
 
           เขาหยิบมือถือขึ้นมาคุย คุยไปเดินไป ระยะทางไกลพอสมควร ซึ่งไม่มีช่องให้ผมเสียบเข้าไปทักได้เลย เเต่ก็ทำให้ผมมีความคิดๆหนึ่งว่า ถ้าเขาวางมือถือเมื่อไหร่ ผมเองก็เข้าไปทักเขาทันที  ถึงตอนนี้จะเดินไปในระยะที่ไกล  เเต่ผมก็ยังคง Concept เดิมว่า เดินเเบบเนียนๆ บางครั้งเขาจะเลี้ยวช้าย ผมก็เลี้ยวขวา เข้าขึ้นบันไดเลื่อนนี้ ผมไปขึ้นอีกตัวที่อยู่ด้านหน้า จนเขาไปหยุดที่ร้าน ชานมไข่มุกชื้อดัง ตรงชั้น 4 เพื่อจะชื้อ เเล้วผมก็ทำเนียนเดินต่อไปยัง โซนโรงหนังที่คนมันค่อนข้างเยอะ เพื่อให้ดูไม่ผิดสังเกตุ เขาก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม (เเต่ผมพอเดาได้เเละว่าเขาคุยจริงๆนะ เพราะมีสีหน้า ประกอบร่วมด้วย) จนผมก็เดิน ถึงโซนโรงหนัง เเล้วก็เดินย้อนกลับลงไป ตรงที่ เราตามทางเดินผ่านกันมา ช่วงที่ผ่านหน้าร้านชานมไข่มุกที่เขากำลังชื้ออยู่ ผมพยายามไม่มองเขาเลยนะ เพราะมันจะดูผิดสังเกตุเเน่นอน ก็เลยย้อนขึ้นมาจนไป หยุดตรงโซนขายอุปกรณ์กีฬา ก็ยืนดูรองเท้าซักพักหนึ่งได้ เเล้วผมเดินออกมาจากโซนกีฬา , เดินย้อนกลับไปทาง โซนโรงหนังอีกครั้ง เพื่อที่จะผ่านร้านชานมไข่มุกที่เขาชื้ออยู่ เเต่ เขาชื้อเสร็จเเละกำลังเดินมาทางผมพอดี ผมก็เลยเดินผ่านไปโดยที่ไม่ได้เหลือบมองมองเขาซักนิดหนึ่งเลย ผมก็เดินยาวผ่านร้านชานมไข่มุกไปถึงโซนโรงหนัง ครั้งนี้จะเดินกลับไปทางโซนกีฬาที่เขากำลังจะเดินไปถึง ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาเเล้วก็ทำเป็นโทรศัพท์เพื่อเสริมความเนียนให้มันเนียนมากไปอีก เเต่ยังไม่ทันไร เขากลับหันหลังเดินกลับมาทางเดียวกลับที่ผมกำลังจะเดินไป กลายเป็นเรากำลังจะเดินสวนกัน ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆจังหวะนั้น จำได้ว่าจากที่จะทำเป็นไม่สนใจเขากลับกลายเป็นดันไปสบตาเขาแทนเฉย  ในใจผมก็ได้เเต่คิดว่า เชี่ยเเล้ววว โดนจับได้เเน่เลย ในสมองนี้ลกมากๆจังหวะนั้น เเต่ร่างกายต้องนิ่งที่สุด ก็เลยเดินยาวๆๆเลย ไปยังโซนกีฬาอีกครั้งเเล้วก็ทำเป็นหยิบรองเท้า เเล้วจังหวะที่ผมคิดว่าควรทำไงดี จะเดินต่อไปหรือจะเดินย้อนกลับไปหาเขา (โซนโรงหนัง) ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเดินย้อนกลับขี้นมา ในทางผมพอดี ผมก็เลยได้โอกาสเดินตามเขาเหมือนเดิม เเต่ยังคง Concept เดิมนะ คือ เดินฝั่งตรงข้าม เเล้วห้ามจ้องเเละมองไปที่เขา พอถึงชั้น 4 จังหวะเดียวกับที่เขาวางหูจากโทรศัพท์ (ตั้งเเต่ที่ผมบอกว่าเขาคุยโทรศัพท์เเล้วผมไม่มีโอกาสเดินเข้าไป เขาก็ยังไม่ได้ว่างมือถือเลย) ผมก็เลยกั้นลมหายใจที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นลมที่ร้อนมากๆ เเล้วกัดฟัน รวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมด ซึ่งได้มากจากการ Presen งานทั้งชีวิต , พูดหน้าคลาสเเละอบรม สภาวะความเป็นผู้นำ บ่อยๆ
                 
                  เดินตรงปรี่เข้าไป ใช้นิ้วชี้ของตัวเองจิ้มเข้าที่ไหล่ของเขา (อะไรดลใจให้ผมทักเขาเเบบสัมผัสเนื้อสัมผัสตัวฟร่ะ) บอกขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ เขาตกใจมากๆ ตกใจเหมือนคนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ได้ตกใจกลัวนะ  เเบบ ยิ่งทำให้ผมหลงสเน่ห์เขามากขึ้นไปอีก (อารมณ์เหมือนเคยเห็น ไอดอลผู้หญิงญี่ปุ่นตกใจ ประมาณนั้นเลย) น่ารักสุดๆๆ ก็เปิดประเด็นถามเกี่ยวกับคลาสเรียนเต้น ไม่ได้ถามเจาะจงถามชื่อหรือถามอะไรที่มันจะทำให้เขาอึดอัด (นั้นคือสิ่งที่ผมทำไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนเลย ) เเค่รู้สึกว่า สเน่ห์ของเขามันจะมาจากสิ่งที่เขาทำเเละ ตัวตนที่เขาเป็น ผมเลยพยายามทำให้เขาเป็นตัวเองที่สุด รู้สึกตัวเเค่นั้นเลย  สุดท้ายก็ลงเอยด้วยคำพูดที่ว่า สู้ๆนะ พยายามเข้า บ๊ายบาย เเล้วก็เดินมาอย่างโคตรเท่ห์ โดยที่ในใจเเบบเต้นตุ๊บๆๆ สั่นกระจุยกระจาย จะเต้นถี่จนจะหยุดเต้นอยู่เเล้ว เเล้วที่สำคัญคือ เขาน่ารักมากกๆๆๆ ไม่ได้น่ารักมาจากลักษณะในภายนอกนะ เพราะเขาไม่ได้เป็นในลักษณะ เเบบพิมพ์นิยมที่หนุ่มไทยอาจจะชอบ เเต่เขาดูน่ารักในเเบบที่เขาเป็น
 
                 พอผมเดินลงมาจากชั้น 4 ตรงจุดเกิดเหตุ กลายเป็นว่าผมนึกขึ่นได้ว่า ยังไม่ได้ถามอะไรที่พอจะติดตามเขาได้บ้าง ID Line ผมไม่ได้คิดอยากจะขออยู่เเล้ว เพราะผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างส่วนตัวมากๆ แต่อยากได้เป็น IG หรือ Twitter ก็ได้ เพราะผมอยากติดตามเขามากกว่า ไม่ได้อยากจะเป็นแฟนหรือคนที่จะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขานะ เเต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ (ถึงเเม้ว่าจะไม่ได้คุยกันนานเท่าไหร่)  อย่างหนึ่งเลยคือ Passion ของเขา  ที่มันค่อนข้างดีมากๆ ทั้งสายการคำพูด เเละท่าทาง ดูเหมือน Idol ที่ไม่ได้อยู่ใน Girl Group คล้ายๆกับ เป็นนางฟ้าที่ไม่ได้อยู่บนสรวงสวรรค์ เขาอาจจะไม่ได้สวยเเบบศิลปิน ไม่ได้ขาว ไม่ได้หุ่นดี เเต่สิ่งที่มันอยู่เหนือกว่าสิ่งภายนอกพวกนั้นคือ สเน่ห์เเละ ทัศนะคติ ที่เราได้คุยกัน  ผมถึงเข้าใจเลยนะ ว่าทำไหมรุ่นพี่ผมที่เป็นโอตะถึง  ทำงานเหนือยทุกวัน พอถึงวันที่ มีงานจับมือ  Idol เเล้วพวกเขาดูมีความสุขกันมากๆ เเม้กระทั้งรถติด คนก็เยอะ บัตรจับมือก็เสียเงิน เลยไม่เข้าใจว่าทำไหมถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เจอ ศิลปินที่พวกเขาชอบ พอผมได้เจอคนๆนี้ ผมถึงได้เข้าใจเลยว่า การได้รับเเละมอบพลังบวกให้กัน,  การมอบทัศคติที่ดีให้กัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้ดูสวยงามขึ้นมากๆ ผมเข้าใจพวกรุ่นพี่ผมที่เขาเป็นโอตะ ก็วันนี้เเละ 55555  
 
        
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่