* รีวิวนี้พยายามเขียนโดยหลีกเลี่ยงการ spoil ให้ได้มากที่สุด
ในยุคที่เริ่มหัดโหลดบิตใหม่ๆ ช่วงที่หนังเกาหลีกำลังเริ่มฮิต ข้าพเจ้าเคยโหลด Bungee Jumping of their own มาเก็บไว้ใน pc แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ว่างดู จนลืมไปเลย
สำหรับ Dew ตั้งใจไปดูเรื่องนี้เพราะชอบฝีมือเขียนบท และ วิธีการเล่าเรื่องของมะเดี่ยว โดยไม่ได้ดูหนังตัวอย่างไปก่อน ทราบแต่เพียงว่า หนังแบ่งเป็น 2 part และเป็นหนังที่ใช้โครงเรื่องจาก Bungee Jumping of their own
ดูหนังจบ สารภาพว่าเกิดความรู้สึก คาใจ แบบที่วัยรุ่นเขาใช้คำว่า "อึนๆ" ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี คือ มันมีหลายอย่างที่ดีมากๆ ขณะเดียวกับที่ก็มีแผลเล็กๆอยู่ตรงโน้นตรงนี้ในระดับที่ไม่น้อย ก็เลยรีบหา Bungee Jumping มาดูให้จบ ไม่งั้นนอนไม่หลับ 😄
(Bungee Jumping of their own - มีปล่อยบน youtube นะครับ subtitle อังกฤษ)
"ความอึน"ทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดจาก plot ที่เรียกร้องการทำความเข้าใจ และ "ยอมรับ"จากคนดูในระดับที่ "สูงมาก" ไม่ใช่ว่าหนังมันอาร์ตจนดูไม่รู้เรื่องนะครับ - หนังเล่าเรื่องได้เรียบง่าย งดงามทีเดียว แต่ความพลิกผันใน plot ที่ส่งผลต่อบทสรุปในตอนจบ ทำให้ชวนสงสัยว่า ต้นฉบับเป็นอย่างไร ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้มากกว่า / ได้รับคำตอบนี้ หลังจากกลับบ้านมาดู Bungee Jumping จนจบ
ในแง่ของการดัดแปลงเรื่องราว ถือว่ามะเดี่ยวทำออกมาใช้ได้ มีการใส่ประเด็น LGBT / การ bully และความรู้สึกผิด เข้าไปในเส้นเรื่องหลักช่วงแรก ในขณะที่ Bungee เดินไปข้างหน้าด้วยประเด็นของ ความรัก ความโรแมนติก การโหยหาอดีต แต่เลือกที่จะเสนอประเด็นเรื่องเกย์ แบบจริงจัง และหนักหน่วงในช่วงหลัง จนนำไปสู่จุดจบตอนท้ายได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยมีความเชื่อมโยงกับช่วงแรก และทำออกมาได้ลงตัวมากกว่า
ขณะเดียวกัน บทภาพยนตร์ของ Dew - ที่ก็มีแผลอยู่ไม่น้อย - เรื่องความบังเอิญ ความหุนหันพลันแล่นที่เกินพอดีของตัวละคร (มีอยู่ในแทบทุกตัวละคร และมาบ่อยมาก ในขณะที่ต้นฉบับมีบ้าง แต่ไม่ได้ถูกใช้ในบทฯ บ่อยเท่านี้) และ การเล่าเรื่องในบางจุดที่ไม่ค่อย make sense โดยเฉพาะ การสื่อสารกันระหว่างตัวละคร ที่บางทีมันก็ห้วนและดูรวบรัดเกินไป ประเด็นเรื่องการจับผิดนักเรียนเกย์ แล้วส่งไปอบรม กับทหาร จิตแพทย์ ฯลฯ กลับถึงบ้านคํ่ามืด โดยที่ไม่มีการต่อต้านจากผู้ปกครองเอาซะเลย - ประเด็นนี้ทำใจให้เชื่อยาก และมีความเป็น"การเมือง"ผสมอยู่เล็กๆ
(แต่คุณมะเดี่ยว ได้เคยเล่าไว้ใน facebook ส่วนตัว ว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองจริง)
และการที่ Dew เลือกตอนจบ ตามแบบต้นฉบับ ขณะที่วางเส้นเรื่อง และแคแรคเตอร์ต่างๆ สวนทางกันตั้งแต่แรก ก็เลยทำให้ ตอนจบของ Dew กลายเป็นตอนจบที่ขาดนํ้าหนักไปหน่อย ถ้าเปรียบเทียบกับ Bungee Jumping
หากตัดเรื่องแผลต่างๆ(ที่ค่อนข้างเยอะ)ใน plot ออกไป - ในความเห็นของข้าพเจ้า - ทั้ง Dew และ Bungee Jumping เหมือนกับต้องการจะบอกกับคนดูว่า - นี่เป็นเรื่องแต่ง ว่าด้วย"ความเชื่อ"ในพลังของความรัก ที่เต็มไปด้วยอัตตา ตัวตน มีความลุ่มหลง ยึดติด หมกมุ่น จมกับอดีต ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่คิดปรับเปลี่ยน ศรัทธาในความรักจนไม่สนใจใครอื่นอีกแล้วในชีวิต - ซึ่งมันเป็นทัศนะที่แทบเป็นไปไม่ได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง
ถ้าเป็นหนังสือไม่แน่ใจว่า plot แบบนี้จะเข้าข่ายที่เขาเรียกกันว่าแนว Magical Realistic หรือไม่ เพราะในชีวิตจริงๆ เราคงไม่มีโอกาสพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ - แต่ถ้าเราจะมองว่า มันเป็นเรื่องแต่งที่โคตรโรแมนติก เป็นเรื่องเล่าที่อะไรต่อมิอะไรก็เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญ - การมี plot แบบนี้ กลับกลายเป็นเหมือน"กลวิธี" ที่หนังใช้ในการบอกเล่าประเด็นสำคัญอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องความรัก ที่ซ้อนทับกันอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของ ตัวตน เพศสภาพ ที่เชื่อมโยงกับสัมพันธภาพในระดับต่างๆ และ ความขัดแย้งนานัปการที่เข้ามาเป็นเงื่อนไข ที่ก็ยังมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ความท้าทายเหล่านี้ ตกอยู่ในมือของทีมงานสร้างหนัง ว่าจะเล่าเรื่องเรื่องแต่งที่ย้อนแย้ง กับสามัญคติ และความเป็นไปได้เช่นนี้ออกมาอย่างไร เพื่อให้คนดูเชื่อ คล้อยตาม และรู้สึก
.... เข้าใจเรื่องราว แต่ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือ ทำตามอย่างในหนังนะครับ
------------------------------------------------
สำหรับ Dew - สิ่งที่ต้องชม คือ การคัดเลือกนักแสดงในบทนำทุกตัว เลือกมาได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะ ดิว กับ ภพ ตอนเด็ก และ น้องหลิว แสดงกันได้ดีงามมาก พี่เวียร์ก็เล่นหนังได้นิ่งๆดี แสดงออกทางสีหน้า+แววตาได้อย่างพอดีๆ จนกลายเป็นความต่อเนื่อง ที่ทำให้คนดูค่อยๆเพิ่มความสงสัยมากขึ้นๆในแต่ละฉาก ที่ค่อยๆพัฒนาไปข้างหน้าตามเส้นเรื่อง แล้วคลี่คลายในท้ายสุด
งานกำกับการแสดงทำได้ดี 👍🏻 งานด้านภาพสวยสดงดงาม โลเคชั่นสวย เลือกมุมกล้องได้ดี แสงสวยแบบเข้าใจเลยว่าประณีตกันมากๆ ถ่ายหนังได้สวยจนอยากดูซ้ำ 😄
ชอบฉาก flashback ที่หน้าต่างรถไฟในตอนท้าย งดงามจริงๆ - งานด้านภาพของ Dew น่าจะเป็นส่วนที่ทำให้อยากดูซํ้า
เพลงในเรื่อง และดนตรีประกอบ ทำหน้าที่ได้ดี และเข้ามาอย่างถูกจังหวะ เป็นทั้งจุดขาย และ key สำคัญที่ปรากฏใน plot ช่วยทำให้โทนของหนัง เป็นเนื้อเดียวกับเรื่องราว (เรื่องการใส่เพลง และ บรรยากาศ nostalgia ต่างๆนานาเข้ามา นี่ต้องชมมะเดี่ยวเลยครับ ว่าเป็นงานถนัดของเขา และมันช่วยหนังไว้ได้เยอะจริงๆ)
เรื่องต่อไป - อยากเห็น มะเดี่ยว ทำงานที่เป็น Original ของตัวเองมากกว่างาน Remake หรือ ดัดแปลง เพราะน่าจะทะลายข้อจำกัดต่างๆ และไปได้สุดทางมากกว่า
[CR] Dew (2019) & Bungee Jumping of their own (2001)
ในยุคที่เริ่มหัดโหลดบิตใหม่ๆ ช่วงที่หนังเกาหลีกำลังเริ่มฮิต ข้าพเจ้าเคยโหลด Bungee Jumping of their own มาเก็บไว้ใน pc แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ว่างดู จนลืมไปเลย
สำหรับ Dew ตั้งใจไปดูเรื่องนี้เพราะชอบฝีมือเขียนบท และ วิธีการเล่าเรื่องของมะเดี่ยว โดยไม่ได้ดูหนังตัวอย่างไปก่อน ทราบแต่เพียงว่า หนังแบ่งเป็น 2 part และเป็นหนังที่ใช้โครงเรื่องจาก Bungee Jumping of their own
ดูหนังจบ สารภาพว่าเกิดความรู้สึก คาใจ แบบที่วัยรุ่นเขาใช้คำว่า "อึนๆ" ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี คือ มันมีหลายอย่างที่ดีมากๆ ขณะเดียวกับที่ก็มีแผลเล็กๆอยู่ตรงโน้นตรงนี้ในระดับที่ไม่น้อย ก็เลยรีบหา Bungee Jumping มาดูให้จบ ไม่งั้นนอนไม่หลับ 😄
(Bungee Jumping of their own - มีปล่อยบน youtube นะครับ subtitle อังกฤษ)
"ความอึน"ทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดจาก plot ที่เรียกร้องการทำความเข้าใจ และ "ยอมรับ"จากคนดูในระดับที่ "สูงมาก" ไม่ใช่ว่าหนังมันอาร์ตจนดูไม่รู้เรื่องนะครับ - หนังเล่าเรื่องได้เรียบง่าย งดงามทีเดียว แต่ความพลิกผันใน plot ที่ส่งผลต่อบทสรุปในตอนจบ ทำให้ชวนสงสัยว่า ต้นฉบับเป็นอย่างไร ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้มากกว่า / ได้รับคำตอบนี้ หลังจากกลับบ้านมาดู Bungee Jumping จนจบ
ในแง่ของการดัดแปลงเรื่องราว ถือว่ามะเดี่ยวทำออกมาใช้ได้ มีการใส่ประเด็น LGBT / การ bully และความรู้สึกผิด เข้าไปในเส้นเรื่องหลักช่วงแรก ในขณะที่ Bungee เดินไปข้างหน้าด้วยประเด็นของ ความรัก ความโรแมนติก การโหยหาอดีต แต่เลือกที่จะเสนอประเด็นเรื่องเกย์ แบบจริงจัง และหนักหน่วงในช่วงหลัง จนนำไปสู่จุดจบตอนท้ายได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยมีความเชื่อมโยงกับช่วงแรก และทำออกมาได้ลงตัวมากกว่า
ขณะเดียวกัน บทภาพยนตร์ของ Dew - ที่ก็มีแผลอยู่ไม่น้อย - เรื่องความบังเอิญ ความหุนหันพลันแล่นที่เกินพอดีของตัวละคร (มีอยู่ในแทบทุกตัวละคร และมาบ่อยมาก ในขณะที่ต้นฉบับมีบ้าง แต่ไม่ได้ถูกใช้ในบทฯ บ่อยเท่านี้) และ การเล่าเรื่องในบางจุดที่ไม่ค่อย make sense โดยเฉพาะ การสื่อสารกันระหว่างตัวละคร ที่บางทีมันก็ห้วนและดูรวบรัดเกินไป ประเด็นเรื่องการจับผิดนักเรียนเกย์ แล้วส่งไปอบรม กับทหาร จิตแพทย์ ฯลฯ กลับถึงบ้านคํ่ามืด โดยที่ไม่มีการต่อต้านจากผู้ปกครองเอาซะเลย - ประเด็นนี้ทำใจให้เชื่อยาก และมีความเป็น"การเมือง"ผสมอยู่เล็กๆ
(แต่คุณมะเดี่ยว ได้เคยเล่าไว้ใน facebook ส่วนตัว ว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองจริง)
และการที่ Dew เลือกตอนจบ ตามแบบต้นฉบับ ขณะที่วางเส้นเรื่อง และแคแรคเตอร์ต่างๆ สวนทางกันตั้งแต่แรก ก็เลยทำให้ ตอนจบของ Dew กลายเป็นตอนจบที่ขาดนํ้าหนักไปหน่อย ถ้าเปรียบเทียบกับ Bungee Jumping
หากตัดเรื่องแผลต่างๆ(ที่ค่อนข้างเยอะ)ใน plot ออกไป - ในความเห็นของข้าพเจ้า - ทั้ง Dew และ Bungee Jumping เหมือนกับต้องการจะบอกกับคนดูว่า - นี่เป็นเรื่องแต่ง ว่าด้วย"ความเชื่อ"ในพลังของความรัก ที่เต็มไปด้วยอัตตา ตัวตน มีความลุ่มหลง ยึดติด หมกมุ่น จมกับอดีต ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่คิดปรับเปลี่ยน ศรัทธาในความรักจนไม่สนใจใครอื่นอีกแล้วในชีวิต - ซึ่งมันเป็นทัศนะที่แทบเป็นไปไม่ได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง
ถ้าเป็นหนังสือไม่แน่ใจว่า plot แบบนี้จะเข้าข่ายที่เขาเรียกกันว่าแนว Magical Realistic หรือไม่ เพราะในชีวิตจริงๆ เราคงไม่มีโอกาสพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ - แต่ถ้าเราจะมองว่า มันเป็นเรื่องแต่งที่โคตรโรแมนติก เป็นเรื่องเล่าที่อะไรต่อมิอะไรก็เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญ - การมี plot แบบนี้ กลับกลายเป็นเหมือน"กลวิธี" ที่หนังใช้ในการบอกเล่าประเด็นสำคัญอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องความรัก ที่ซ้อนทับกันอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของ ตัวตน เพศสภาพ ที่เชื่อมโยงกับสัมพันธภาพในระดับต่างๆ และ ความขัดแย้งนานัปการที่เข้ามาเป็นเงื่อนไข ที่ก็ยังมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ความท้าทายเหล่านี้ ตกอยู่ในมือของทีมงานสร้างหนัง ว่าจะเล่าเรื่องเรื่องแต่งที่ย้อนแย้ง กับสามัญคติ และความเป็นไปได้เช่นนี้ออกมาอย่างไร เพื่อให้คนดูเชื่อ คล้อยตาม และรู้สึก
.... เข้าใจเรื่องราว แต่ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือ ทำตามอย่างในหนังนะครับ
------------------------------------------------
สำหรับ Dew - สิ่งที่ต้องชม คือ การคัดเลือกนักแสดงในบทนำทุกตัว เลือกมาได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะ ดิว กับ ภพ ตอนเด็ก และ น้องหลิว แสดงกันได้ดีงามมาก พี่เวียร์ก็เล่นหนังได้นิ่งๆดี แสดงออกทางสีหน้า+แววตาได้อย่างพอดีๆ จนกลายเป็นความต่อเนื่อง ที่ทำให้คนดูค่อยๆเพิ่มความสงสัยมากขึ้นๆในแต่ละฉาก ที่ค่อยๆพัฒนาไปข้างหน้าตามเส้นเรื่อง แล้วคลี่คลายในท้ายสุด
งานกำกับการแสดงทำได้ดี 👍🏻 งานด้านภาพสวยสดงดงาม โลเคชั่นสวย เลือกมุมกล้องได้ดี แสงสวยแบบเข้าใจเลยว่าประณีตกันมากๆ ถ่ายหนังได้สวยจนอยากดูซ้ำ 😄
ชอบฉาก flashback ที่หน้าต่างรถไฟในตอนท้าย งดงามจริงๆ - งานด้านภาพของ Dew น่าจะเป็นส่วนที่ทำให้อยากดูซํ้า
เพลงในเรื่อง และดนตรีประกอบ ทำหน้าที่ได้ดี และเข้ามาอย่างถูกจังหวะ เป็นทั้งจุดขาย และ key สำคัญที่ปรากฏใน plot ช่วยทำให้โทนของหนัง เป็นเนื้อเดียวกับเรื่องราว (เรื่องการใส่เพลง และ บรรยากาศ nostalgia ต่างๆนานาเข้ามา นี่ต้องชมมะเดี่ยวเลยครับ ว่าเป็นงานถนัดของเขา และมันช่วยหนังไว้ได้เยอะจริงๆ)
เรื่องต่อไป - อยากเห็น มะเดี่ยว ทำงานที่เป็น Original ของตัวเองมากกว่างาน Remake หรือ ดัดแปลง เพราะน่าจะทะลายข้อจำกัดต่างๆ และไปได้สุดทางมากกว่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้