แบ่งปันเคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ ผมแนะแนวลูกหัวปานกลางสอบติดหมอมาแล้ว คะแนนที่ได้สอบติดเกือบทุกคณะ น้องๆทั่วไปก็ทำได้

ผมเห็นน้องหลายคนมาถามใน Pantip ว่าการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องวางแผนอย่างไร โดยเฉพาะการวางแผนเตรียมสอบเข้าแพทย์หรือจุฬาซึ่งเป็นคำถามจากน้องๆหัวปานกลางทั่วไป มักจะเห็นคำตอบที่ได้ในลักษณะที่ว่า ให้ขยัน และถามกลับว่าเก่งไหม อดทนรึเปล่า พยายามอย่างถึงที่สุดได้ไหม ได้เกรดเท่าไหร่ ห้องคิงหรือเปล่า ได้ลำดับที่เท่าไหร่ โรงเรียนมีชื่อเสียงไหม แน่ใจแล้วหรือ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ไม่สามารถจับต้องเป็นชิ้นเป็นอันได้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่น้องๆทั่วไปหลายคนพออ่านแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าจากจุดเริ่มต้นที่เขาอยู่ ซึ่งยังไม่รู้อะไรเลยจะไปอยู่ตรงจุดนั้นที่พี่ๆเขาบอกได้ยังไงกัน ทำอย่างไรทีละขั้นทีละตอนให้ไปถึงเป้าหมายที่ฝันไว้ได้ ผมพยายามจะอธิบายให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้น้องๆสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงมีเนื้อหาที่ค่อนข้างมาก ผมจะนำมาเขียนอธิบายไปทีละตอนๆ โปรดติดตามกันนะครับ

#เคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ
ผมแนะแนวลูกหัวปานกลางสอบติดหมอมาแล้ว คะแนนที่ได้สอบติดเกือบทุกคณะ น้องๆทั่วไปก็ทำได้ เพียงแค่ได้รับการแนะแนวอย่างถูกต้อง

PART บทนำ
EP.1 เกริ่นนำ

ตัวผมไม่เคยกดดันให้ลูกเรียนหนังสือเลย ไม่เคยชี้เป้าว่าต้องไปสอบเข้าโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ หรือบอกให้ลูกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนหรือคณะอะไรให้ได้ ตอนที่ลูกเรียนจบม.3 ก็ได้ลำดับกลางๆของห้อง เป็นเด็กทั่วไปหัวกลางๆไม่ได้เรียนดีมากและไม่ได้เรียนแย่ เป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมและเข้าร่วมกิจกรรมสารพัด ตัวอย่างเช่น กิจกรรมในการหาเงินเข้าห้องเรียน โดยการทำร้านปาเป้า ลูกผมสามารถอธิบายได้เป็นฉากๆ ว่ามีเทคนิคที่ทำยังไงถึงให้ลูกค้าปาลูกดอกแล้วลูกโป่งไม่แตก หรือการเปิดร้านขายน้ำขายขนมที่มีเทคนิคให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะๆและได้กำไรเป็นต้น แต่ในวันนึงลูกเข้ามาบอกกับผมว่าจะเรียนสายวิทย์ ผมจึงถามว่า ทำไมถึงต้องเป็นสายวิทย์ เขาตอบว่า “อยากเป็นหมอ” ซึ่งผมกลับมองเห็นว่า ลูกผมเป็นเด็กสายศิลป์หรือเหมาะกับการเป็นนักรัฐศาสตร์มากกว่า ลูกผมพยายามอธิบายเหตุผล ผมก็ฟังกันไป แต่ผมกลัวว่าจะตามกระแสนิยมส่วนใหญ่เสียมากกว่า แล้วจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมจึงบอกลูกว่า รู้ไหมสิ่งที่ต้องเจอคือเลือดและศพ รับได้หรือเปล่า ทางที่ดีไปดูศพที่ศิริราชก่อนเลยดีกว่า ถ้าไม่ชอบจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อได้ไปดูศพที่ศิริราชแล้ว ลูกจึงกลับมายืนยันกับผมว่า เขารับได้ ไม่มีปัญหาอะไร รู้สึกเฉยๆ ลูกผมจึงเรียนสายวิทย์อย่างที่เขาต้องการและคงอยากเป็นหมอ แต่ผมคิดว่าให้ลูกลงเรียนพรีดีกรี คณะรัฐศาสตร์ ที่รามฯ เผื่อไว้ด้วยดีกว่า เรียนพร้อมๆ กับเรียนชั้นม.4 ผมก็ไม่ได้บังคับมากนัก พยายามบอกลูกแค่ลองดู เผื่อชอบมากกว่า แต่ถ้าไม่ชอบเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แค่อยากให้ลูกมีทางเลือกสำรองไว้

ผมประทับใจกับหนังสือ "ถึงหัวไม่ดีก็ประสบความสำเร็จได้" ของ คุณหมอ โทขุดะ โทราโอะ ผู้เป็นเจ้าของเครือข่ายรพ.ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น บังเอิญมากที่เนื้อเรื่องตรงกับลูกผมพอดี คุณหมอได้เล่าว่า ตั้งแต่เด็กมาหัวไม่ดี พยายามยังไงกว่าที่จะสอบติดแพทย์ได้ และความกดดันที่ต้องเผชิญระหว่างการเตรียมตัวสอบแพทย์ ผมจึงเล่าให้ลูกฟังเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เขา แล้วปิดท้ายด้วยคำถามวัดใจว่า "ถ้าอยากเป็นหมอนัก ถ้าสอบหมอไม่ติด ยินดีที่จะไม่ต้องเรียนอย่างอื่นเลยไหม" ลูกชะงักไปสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ยินดีครับ” (คงจะเครียดน่าดู) ผมถือว่าใจผ่านล่ะ ผมไม่ได้จะให้ทำจริงหรอกแค่อยากรู้ความแน่วแน่ อยากรู้ว่านี่คือ Passion ของเด็กคนนึงจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเด็กหัวกลางๆ ทำแบบทั่วๆไปมันก็แทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีใจด้วย ก็จบเลย เสียเวลาที่จะเริ่มต้นด้วยซ้ำ มีทางเลือกแบบอื่นอีกตั้งเยอะ ผมได้ถามลูกเพิ่มเติมว่า

ผม: ที่โรงเรียนเคยมีคนสอบติดหมอไหม
ลูก: หลักสูตรไทยทั่วไปก็มีสอบติดปีเว้นปี แต่ถ้าหลักสูตร EP จะมีสอบติดปีละ 2-3 คน
ผม: อ้าว! แล้วนี่เรียนอยู่หลักสูตรไทยแบบนี้ ถึงได้ที่หนึ่งของโรงเรียนก็อาจจะสอบไม่ติดน่ะสิ
ลูก: ใช่ครับ
ผม: แล้วนี่เรียนสายวิทย์ที่ไม่ใช่ห้องคิงด้วยนะ แล้วจะสอบติดไหม
ลูก: ก็อาจจะไม่
ผม: รู้ไหมทำยังไงให้สอบติดหมอ
ลูก: ไม่รู้ครับ คงต้องตั้งใจเรียนหนังสือในห้องเรียน และก็เรียนพิเศษตอนเย็นและในวันเสาร์อาทิตย์ครับ
ผม: ความคิดพื้นๆแบบนั้น ที่ใครๆก็คิดได้ มันใช้ได้เฉพาะคนเก่งมากๆเท่านั้นถึงจะสอบติด แล้วหัวปานกลางอย่างนี้ ถ้าทำแบบที่พูดมาก็ยากที่จะสอบติดหมอแล้วล่ะ มันต้องเรียนแบบมีกลยุทธ์ถึงจะสอบติด

ผมจึงคิดและได้วางแผนกลยุทธ์เพื่อลูกโดยเฉพาะเน้นไปที่พื้นฐานที่เขาเป็น และอธิบายแผนการเรียนให้ลูกฟัง ซึ่งในเวลานั้นเขาก็ได้แต่งงๆ เพราะถ้าต้องการสอบเข้าคณะอื่นก็คงไม่ต้องเตรียมตัวมากขนาดนี้ ถึงแผนการจะหละหลวมหน่อยก็ยังไปสู่เป้าหมายได้ แต่ถ้าคณะแพทย์แล้วต้องเตรียมการให้ดีตั้งแต่แรก เวลา 3 ปีมันไม่มากเลย โดยเฉพาะเด็กหัวกลางๆอย่างลูกผม มันอาจจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่ต้องทำมีเยอะมาก ต้องใช้เวลาตลอด 3 ปีในการเรียนระดับม.ปลายจนครบ ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อาจจะหลุดแผนไปได้เลย และถ้าไม่ได้วางแผนอย่างมียุทธศาสตร์ที่ดีแล้ว ไม่น่าจะทันด้วย แต่ผมบอกลูกเสมอว่านี่ไม่ใช่การบังคับนะ เพราะเป้าหมายลูกเป็นคนเลือกเอง ผมแค่จัดหาวิธีการมาให้ ถ้าเปลี่ยนเป้าหมายเมื่อไหร่ให้บอกได้เสมอ และการที่ลูกไม่ค่อยเข้าใจแผนนั้นก็เป็นเรื่องปกติ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่มีการสอนแบบนี้ในห้องเรียน เดี๋ยวพอทำไปจนเสร็จแล้วจะเข้าใจเอง

ในแผนการนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งผมเคยเป็นติวเตอร์คณิตศาสตร์มาก่อน พอเรียนจบคณิตศาสตร์แล้ว ผมก็หาติวเตอร์สอนในวิชาอื่นๆตามที่ผมวางแผนไว้มาสอนลูกอีกที โดยที่ได้มอบโจทย์ให้กับติวเตอร์เหล่านั้นว่าให้สอนอย่างไร ติวเตอร์แต่ละคนที่ให้มาสอน ตอนผมบอกให้สอนแบบไหนและให้ทำแผนการสอนมาเสนอผมให้อนุมัติก่อนการสอน ติวเตอร์ก็งงกับโจทย์ที่ผมให้กันทุกคน ถ้าไม่สามารถสอนวิชาไหนเองได้ก็แค่หาติวเตอร์คนอื่นมาช่วยสอนเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณต้องเป็นผู้กำหนดหลักสูตรให้ติวเตอร์สอน ไม่ใช่ไปพึ่งติวเตอร์ให้สอนโดยอิสระ เพราะจากประสบการณ์การเป็นติวเตอร์ของผมเอง ติวเตอร์จะสอนตามกำลังความสามารถของผู้เรียนซึ่งมันจะไม่ตรงตามแผนกลยุทธ์ของผมที่ได้วางไว้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าติวเตอร์สอนเก่งหรือเปล่าน่ะหรือ ถ้ามีกรอบที่ชัดเจนให้ติวเตอร์ ส่วนมากแล้วติวเตอร์สามารถทำภายใต้กรอบนั้นได้ในระดับนึงอยู่แล้ว และโปรแกรมของผมไม่ได้ให้เรียนวิชาเดียวครั้งเดียวกับผู้สอนคนเดียวอยู่แล้ว ในรอบการเรียนแบบอื่นๆ น้องๆจะสามารถเปรียบเทียบได้เองว่าใครสอนดีหรือสอนไม่ดี และใครสามารถทำให้ น้องๆเข้าใจได้ดีกว่ากัน ถ้าน้องๆมัวแต่เสียเวลาหาคนเก่งมาสอน น้องๆจะไม่ได้เริ่มไปไหนเลย ในขณะที่เวลานั้นคือทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่สุด ณ เวลานี้ ขอเพียงแค่ให้สอนอยู่ในกรอบที่กำหนดให้ติวเตอร์ก็พอ

โดยอาศัยคอนเซ็ปต์ที่ผมบอกลูกผมไว้มีอยู่3พยางค์คือ "ซ้ำ ย้ำ ทวน" (แอบยืมคำของ CEO TVdirect มาบอกลูก) ใครให้เรียนรอบเดียวล่ะ เรียนไปหลายๆรอบนั่นเอง แต่ว่าแต่ละรอบจะมีวิธีการ จุดประสงค์ และผลลัพธ์ให้ประเมินต่างกันไป ซึ่งผมแบ่งรอบการเรียนรู้ออกเป็น3ระดับ และผมเรียกแต่ละระดับของการเรียนรู้ให้ลูกฟังว่า ระดับที่1 Preview ระดับที่2 Detail ระดับที่3 Advance แล้วก็อธิบายโครงสร้าง ความหมายและวัตถุประสงค์ของแต่ละรอบให้ลูกฟัง และต้องเรียนไล่ไปทีละวิชาในแต่ละระดับ พอเรียนครบทุกวิชาแล้วถึงจะให้ข้ามไประดับถัดไปได้ ห้ามเรียนผสมหรือสลับกันเด็ดขาด มีวิธีการเรียนเรียงลำดับที่คิดมาให้แล้ว โดยแต่ละระดับก็ใช้เวลาเรียนและเป้าหมายที่แตกต่างกัน และต่อมาเมื่อลูกผมทำคะแนนที่ทดสอบได้ตามแผนในระดับที่3นั้น คะแนนทดสอบที่ได้ สามารถสอบติดแพทย์ที่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดหรือสอบติดทันตแพทย์มหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้ ซึ่งแพทย์และทันตแพทย์สอบทุกวิชาเหมือนกันต้องเตรียมตัวเหมือนกัน เพียงแต่ลำดับคะแนนจะเรียงลำดับเหลื่อมกันนิดหน่อยประมาณว่า ลำดับคะแนนสูงสุดเป็นแพทย์ในกรุงเทพ ต่อด้วยทันตแพทย์ในกรุงเทพ ต่อด้วยแพทย์ต่างจังหวัด แล้วต่อท้ายด้วยทันตแพทย์ต่างจังหวัด ผมจึงเสนอทางเลือกทันตแพทย์ให้ลูกผมนำไปศึกษาดู ภายหลังที่ลูกผมได้ศึกษาเรื่องทันตแพทย์แล้วลูกผมก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ทันตแพทย์แทน และสุดท้ายลูกผมก็สามารถสอบติดทันตแพทย์แห่งหนึ่งตามที่เราคาดการณ์ไว้

ฝากเพจเคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ https://www.facebook.com/papatrickzz ด้วยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่