JJNY : ช่อมั่นใจอนค.ไม่ถูกยุบหากไม่โดนอภินิหารทางกม.ฯ/ฝากประจำอ่วมดอกเบี้ยดิ่ง-ผ่อนหนี้ไม่ลดฯ/ค้าปลีกปี63แนวโน้มไม่สดใสฯ

ช่อ มั่นใจ อนาคตใหม่ ไม่ถูกยุบ หากไม่โดนอภินิหารทางกฎหมาย แจงปมพรรคสำรอง
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3040001

ช่อ มั่นใจ อนาคตใหม่ ไม่ถูกยุบ หากไม่โดนอภินิหารทางกฎหมาย แจงปมพรรคสำรอง
วันที่ 8 พ.ย. น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ชี้แจงในทวิตเตอร์ถึงกระแสพรรคสำรอง หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ความว่า 

หลายวันมานี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคพลังอนาคต เป็นพรรคสำรองของ #อนาคตใหม่ เพราะชูจุดขายเรื่องคนรุ่นใหม่เหมือนกัน ขอยืนยันว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับพลังอนาคต และหัวใจที่แท้จริงของอนาคตใหม่ไม่ใช่เรื่องวัย แต่คือ เจตจำนงทางการเมืองใหม่ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้สังคมก้าวหน้าขึ้น

อนาคตใหม่ ไม่มีพรรคสำรอง เรายังคงเดินหน้าทำงานทั้งในและนอกสภา คดีความต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นคดีการเมืองไม่มีทางจะยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของเรา ถ้าจะยุบอนาคตใหม่ก็เพราะเราขวางทางผู้มีอำนาจ จนต้องอาศัยอภินิหารทางกฎหมายกำจัดเราโดยไม่สนใจหลักนิติรัฐอีกแล้ว 

โดยก่อนหน้านี้ นายภัทรายุส สังขศิริ รักษาการเลขาธิการพรรคพลังอนาคต ออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ว่า พรรคไม่เกี่ยวข้องใดๆกับพรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เองก็ตาม ยืนยันว่าพรรคตั้งขึ้นมาเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง ที่เรารวมกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสาขาต่างๆ ในยุค 4.0-5.0

เพื่อระดมสมองนำความสามารถมาร่วมกันทำการเมืองใหม่ โดยเรามีนโยบายมากมายที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นำเสนอมาเพื่อขอการสนับสนุนและจัดทำเป็นนโยบาย เพื่อรองรับการเติบโตของคนรุ่นใหม่ที่ควรจะต้องเติบมากับการเมืองยุคใหม่ เพื่อให้เท่าทันกับโลกยุคปัจจุบัน เราจึงต้องการนำเสนอเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศไทย



ลูกค้าเงินฝากประจำ‘อ่วม’ หั่นดอกเบี้ยผลตอบแทนดิ่ง-ภาระผ่อนหนี้ไม่ลด 
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/853712

“แบงก์”ทยอยลดดอกเบี้ยตามกนง. “เอสซีบี”ปรับดอกเบี้ยรายย่อยทั้งเงินกู้-เงินฝากลง 0.25% ฟาก“ออมสิน”หั่นฝั่งกู้ยกแผง 0.125% พร้อมตรึงฝั่งเงินฝากถึงต้นปีหน้า “ศูนย์วิจัยทีเอ็มบี” เชื่อไม่สามารถกระตุ้นสินเชื่อลงทุนได้ ภาระผ่อนรายย่อยไม่ลด

หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่  1.25% เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ปัจจุบันขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ธนาคารไทยพาณิชย์  และธนาคารออมสิน ได้นำร่องปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง  ส่วนธนาคารอื่น เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) อยู่ระหว่างการพิจารณา 

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราเท่ากัน 0.125% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR  และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR ลดลงจาก 6.87%เหลือ6.745% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินกู้ที่มีระยะเวลา หรือ MLR ปรับลดลงจาก 6.50%เหลือ 6.375% มีผล 11 พ.ย.เป็นต้นไป เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ  ทั้งนี้ธนาคารได้ชะลอปรับลดดอกเบี้ยเงินจนถึงสิ้นปี 2562 หลังจากนั้นจะปรับลดลง 0.125% มีผลวันที่ 1 ม.ค.2563 เป็นต้นไป  เนื่องจากธนาคารมีนโยบายลดดอกเบี้ยเงินฝากให้ช้าที่สุด เพื่อส่งเสริมการออมอย่างต่อเนื่อง ขอแนะนำให้ลูกค้ามาฝากเงินก่อนปรับดอกเบี้ย โดยฝากเงินระยะยาวเพื่อรับดอกเบี้ยที่คุ้มค่ามากกว่า 

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีเจตนารมย์ช่วยลดภาระต้นทุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ  จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% มาอยู่ที่ 6.87% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลง 0.25%เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะสภาพคล่องในระบบการเงินในปัจจุบัน  มีผล 8 พ.ย.ป็นต้นไป

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะปรับดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากลง อาจช่วยบรรเทาภาระดอกเบี้ยของภาคธุรกิจได้บ้าง โดยเฉพาะเอสเอ็มอี แต่อาจไม่สามารถกระตุ้นการกู้เพื่อลงทุนเพิ่มได้ เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่อาจได้ประโยชน์จากบอนด์ยิลด์ที่ปรับลดลง ทำให้ต้นทุนออกหุ้นกู้ลดลงตาม

 ในส่วนของสินเชื่อรายย่อย ภาระผ่อนต่อเดือนของภาคครัวเรือนอาจจะไม่ได้ปรับลดลงมากนัก เพราะสินเชื่อส่วนใหญ่อิงกับอัตราดอกเบี้ยคงที่ ในขณะที่ผู้ฝากเงินอาจได้รับผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่มักจะปรับลดตามดอกเบี้ยนโยบาย

“การลดดอกเบี้ยของกนง.ในช่วงที่ผ่านมา ช่วยบรรเทาภาระผู้ประกอบการได้เพียงเล็กน้อย หากดูสินเชื่อคงค้างของเอสเอ็มอีที่มี 5.2ล้านล้านบาท เป็นสินเชื่อที่อิงกับMRR มากที่สุด  3.4 ล้านล้านบาท และMLR ที่ 1.4 ล้านล้านบาท และดอกเบี้ย MOR อีกประมาณ 0.4 ล้านบาท การลด MOR และ MRR ลง 0.175% และ 0.2% จะทำให้ภาระหนี้ลดลงรวม7.6 พันล้าน หรือประมาณ 2.1% ของภาระหนี้ทั้งหมดเท่านั้น”

นายพรสนอง ตู้จินดา ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า การลดดอกเบี้ยเป็นผลดีในภาพรวมแน่นอน โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีและรายย่อย น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด ส่วนธุรกิจรายใหญ่นั้น ปัจจุบันดอกเบี้ยถูกอยู่แล้ว มองว่าทิศทางดอกเบี้ยขาลง  ช่วยสนับสนุนให้ลูกค้ารายใหญ่ทยอยออกหุ้นกู้มากขึ้นด้วย 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่