เรื่องเล่าจากชีวิตจริง เรื่องการใช้ชีวิตและกระบวนการคิด

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเรื่องที่ผมจะเล่านี้เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตและวิธีการคิดของครอบครัวผม ถ้าเป็นเป็นประโยชน์กับใครก็เอาไปใช้ได้นะครับ หรือคิดต่างจากคนอื่นก็ต้องขออภัยครับ

กระผมเป็นคน ตจว. ทางภาคเหนือ และเป็นลูกชายคนกลางในพี่น้อง 3 คน อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง(ทรัพย์สินที่ครอบครัวมีเท่าที่ผมทราบก็น่าจะประมาณ 60ล้าน หนี้สิน 0 บางคนคงมองว่าปานกลางตรงไหนวะสำหรับตูเรียกว่ารวย แต่สำหรับผมคือปานกลางจริงๆครับ เพราะนิยามว่ารวยสำหรับผมคือ เงินสดๆ น่าจะต้องมี สัก100ล้านครับถึงเรียกว่ารวย และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมองว่าผมไม่ได้รวยคือ ผมไม่สามารถทำอะไรที่อยากทำได้ หรือซื้ออะไรที่อยากซื้อได้โดยไม่ต้องคิดได้) ผมเป็นคนเดียวที่ออกมาทำงานบริษัทเอกชน (ตอนนี้ก็ยังทำอยู่แต่ย้ายกลับมาสาขาที่บ้านเกิดได้ เกือบ 3 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้อยู่ กทม.) ส่วนพี่และน้องได้รับช่วงต่อและพัฒนาธุรกิจเล็กๆต่อจากแม่(ตอนแม่ทำเล็กจริงๆ ครับ รายได้ต่อเดือนไม่รู้ถึงหมื่นรึเปล่า) เป็นธุรกิจค้าขาย ขอไม่บอกนะครับว่าทำอะไร หลังจากที่พี่ชายจบมาก็เลือกที่จะกลับมาพัฒนาธุรกิจของแม่ที่ทำอยู่ ลองผิดลองถูก ของเสียกันไปตามระเบียบ 555 (แต่โชคดีที่ลูกบ้าของพี่ชายมันมีเยอะจนทำให้มีวันนี้) ส่วนน้อง จบออกมาก็มาช่วยพี่ทำโน่นทำนี่เท่าที่ทำได้ หลังจากลองผิดลองถูกมาได้ 2 ปีทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง (ตั้งแต่วันที่เริ่ม จนถึงวันนี้ก็เกือบ 8 ปีแล้ว) รายได้ต่อเดือนจากหลักหมื่นก็เป็นหลักแสน จากหลักแสนก็เป็นแสนกลาง แสนปลายๆ จนตอนนี้ ล้านกว่าๆ ตามลำดับ เงินเก็บ+ทรัพย์สินตอนนี้น่าจะมีเกิน 10ล้าน หนี้สิน 0 (กำไรของธุรกิจที่ทำอยู่ประมาณ 60% ของยอดขาย ทั้งหมดไม่ได้ต้องการจะอวดหรือว่าอะไรนะครับแค่อยากให้ทราบตัวเลขเพื่อที่จะให้ทราบถึงวิธีคิดต่อไป อันนี้ไม่รวมกับทรัพย์สินของครอบครัวนะครับ) ส่วนผมรายได้150k-200k ต่อเดือน หนี้สินบ้าน 4.7 ล้าน

สิ่งที่ผมจะเล่าต่อจากนี้คือการใช้ชีวิตและวิธีการคิดของครอบครัวผม การใช้ชีวิตของครอบครัวผมถือว่าไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรืออู้ฟู่อะไร เรียกได้ว่าอยากไปไหนก็ไปถ้าไม่ติดงาน อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเที่ยว ตปท ก็ไปได้ แต่ก็นั่งEco นะครับ ยังไม่เคยมีใครนั่ง Business หรือ first  class เลย 555 (อยากอยู่เหมือนกันนะ) ที่บ้านมีรถกระบะ1คัน รถญี่ปุ่น7ที่นั่ง1คัน มอเตอร์ไซ 2 คัน แต่ทุกคนก็เน้นความสะดวกไปไหนมาไหนส่วนใหญ่ถ้าฝนไม่ตกก็ขี่มอเตอร์ไซกันการแต่งตัวก็ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ใส่แล้วใส่อีก ขาดแล้วขาดอีก เพราะคิดว่าใส่มาทำงานไม่ได้ไปเจอใคร อยากใส่อะไรก็ใส่ หากถามว่ามีเงินซื้อรถยุโรปคันละ 4-5 ล้านไหม บอกเลยครับว่ามีพอที่จะซื้อสดเลยก็ซื้อได้ และผมก็อยากได้อยู่เหมือนกัน555 แต่ๆๆๆ พ่อผมซึ่งเป็นคนแอนตี้มากเรื่องนี้ ประมาณว่าไม่เห็นความสำคัญของรถพวกนี้เลยดีกว่า เลยไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของลูกๆ555 พ่อสอนเสมอว่าถ้าอะไรจำเป็น แพงเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ ซื้อเลยลูก แต่ถ้าอยากได้อะไรแค่ความอยากก็เก็บเงินไว้เถอะให้เงินมันต่อเงิน ดีกว่าไหม พ่อสอนเสมอว่า"พวกมืงไม่เคยลำบาก ตั้งแต่เกิดมากุไม่เคยให้พวกมืงลำบาก โชคดีนะที่พ่อมืงรวยกว่าพ่อกุ555 ป๊าไม่ชอบไปเอ่ยปากขอใครตอนลำบากเพราะกลัวการถูกปฏิเสธ ถ้าเราเอ่ยปากแล้วเราต้องได้" นี่คือประโยคที่ป๊าสอนเป็นประจำ อาจจะด้วยความที่แกช่วยเหลือคนโน้น คนนี้ไว้เยอะ ผมคิดว่าความคิดนี้มันเลยเกิดขึ้นมา ในเมื่อวันนึงกุลำบาก เลยไม่อยากเจอการถูกการปฎิเสธ เลยสอนให้ลูกๆ ทุกคนระมัดระวังในการใช้เงิน

สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมต้องการจะสื่อว่า ไม่ว่าความสำเร็จมันจะตามมาเท่าไหร่ก็ตามก็ยังคงให้ระมัดระวังในการใช้เงินให้มากๆ บางคนพอเริ่มมีเงินชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน พอเริ่มมีก็เริ่มถอย ถอยแบรนเนมบ้างหละ ถอยลดบ้างหละ แต่ผมก็ไม่ติดใจอะไรนะเพราะคิดว่าเค้าก็คงมีเหตุผลของเค้า ส่วนผมก็คงจะทำงานเพิ่มเงินเดือนของผมไปเรื่อยๆ ธุรกิจที่บ้านก็คงจะพยายามเพิ่มยอดขายไปเรื่อยๆ เงินที่กำไรจากธุรกิจก็เอาไปต่อยอดเรื่อยๆ ไว้มีเงินสดๆ 100 ล้านเมื่อไหร่ค่อยถอยรถยุโรป ค่อยลองนั่ง first class แล้วกัน 555 

สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือความคิดของคนที่ใช้บัตรเครดิต มีบางธนาคารเคยทำ Research ออกมาเกี่ยวกับเหตุผลในการใช้บัตรเครดิต ของคนส่วนใหญ่ ผลที่ได้คือคนที่เงินเดือน 1.5-4 หมื่น มีความคิดที่ใช้บัตรเครดิตเพื่อใช้กินหรู ใช้เที่ยวหรู ซื้อของหรู แล้วจ่ายแค่ขั้นต่ำ และบางคนเงินเดือนไม่ถึง20000 ตั้งเป้าว่าจะต้องมีทริป ตปท. อย่างน้อยปีละครั้ง ในประเทศอีก3-4 ครั้ง ต่อปี แต่ยังจ่ายขั้นต่ำบัตรอยู่ ขอโทษนะครับ อยากถามกลับไปจริงๆครับ คุณมืงไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน และจะบอกให้ว่า...มีคนที่มีความคิดแบบนี้มากกว่าที่คุณคิด

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่