เบื้องหลังสู่ความสำเร็จของลิเวอร์พูล & ลิเวอร์พูลเก็บแต้มมากสุดจาก5นาทีท้าย & เผยเหตุผลลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์ท้ายเกม

เบื้องลึกการทำงานเบื้องหลังสู่ความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล

เขาว่ากันว่าการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น แทบทุกอย่างมันก็ต้องดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง รายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นเรื่องที่จะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งวงการฟุตบอลเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน



ถ้าเป็นช่วงหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ทีมฟุตบอลอาจจะเน้นไปที่เรื่องการวางแท็กติกในสนามเพียงอย่างเดียว แต่สมัยนี้มันต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านการแพทย์ และวิทยาศาสตร์การกีฬามากในระดับหนึ่งด้วย และนั่นก็เป็นสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ให้ความสำคัญอย่างมาก



นับตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล ในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2015 เขาก็เอาทีมสตาฟฟ์หลายคนมาร่วมงานด้วย อย่างเช่น อันเดรียส คอร์นเมเยอร์ หัวหน้าฝ่ายดูแลเรื่องสภาพความฟิตและสภาพร่างกาย, โมน่า เนมเมอร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนาการ, ฟิลิปป์ ยาค็อบเซ่น ผู้จัดการฝ่ายฟื้นฟูสภาพร่างกายกับศักยภาพ และ คริสโตเฟอร์ โรห์เบ็ค นักกายภาพบำบัด ซึ่งแน่นอนว่าถ้าดูตามชื่อตำแหน่งแล้วนั้น คนเกล่านี้คือคนที่คอยูแลเกี่ยวกับสภาพร่างกายและสุขภาพของนักเตะ

ด้วยการที่ต้องลงเล่นยาวนานหลายเดือน แถมมีบางช่วงที่ต้องลงเล่นแบบถี่ๆ ด้วย มันก็ทำให้เรื่องสภาพควาสมฟิตเป็นประเด็นที่สำคัญมากๆ และการที่ คล็อปป์ เอาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมาทำงานก็ส่งผลดีต่อเรื่องสุขภาพและความฟิตของแข้ง ลิเวอร์พูล\



ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องโภชนาการ โดยทุกวันนี้ เนมเมอร์ ถึงขั้นสั่งกับครัวของสโมสรเองเลยว่าต้องทำเมนูอะไรให้นักเตะรับประทานถึงจะเหมาะ ซึ่งถือว่าตรงข้ามกับสมัยก่อนที่เหล่าแข้ง "หงส์แดง" จะไปกินแซนด์วิชจืดชืดกัน หรือออกไปหาของไขมันสูงกิน

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเตือนสติบรรดานักเตะค่าเหนื่อยแพงระยับ ลิเวอร์พูล ยังถึงขั้นติดโปสเตอร์ด้านรายละเอียด และข้อความที่แจกแจงรายละเอียดถึงความสำคัญของการกินอาหารที่เหมาะกับสภาพร่างกายของนักเตะ อย่างเช่นปริมาณโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรต เอาไว้ในโรงอาหารด้วย ซึ่งถึงแม้มันจะดูเป็นรายละเอียดที่เล็กน้อย แต่มันก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาจนถึงตอนนี้



ยิ่งไปกว่านั้น ในห้องแต่งตัวของเจ้าถิ่นที่ แอนฟิลด์ สนามเหย้าของ ลิเวอร์พูล ยังมีการจัดแจงพาสต้าและข้าวให้บรรดานักเตะสามารถรับประทานได้ทันทีหลังจบเกมแต่ละนัด แถมถ้าใครอยากเอากลับไปกินที่บ้านต่อก็ทำได้ตามสบายด้วย

ไม่ใช่แค่นั้น เพราะว่า ลิเวอร์พูล ยังถึงขั้นให้ทีมนักกายภาพบำบัดของพวกเขาถึงขั้นแวะเวียนไปหาบรรดานักเตะถึงบ้าน และทำการนวดให้แข้งเหล่านั้นด้วย เพื่อเป็นการช่วยรับประกันว่าเหล่านักเตะจะมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงพอสำหรับการลงเล่นแม้กระทั่งตอนอยู่ที่บ้าน ไม่ใช่ต้องมารอนวดเฉพาะที่ศูนย์ฝึกซ้อมของสโมสรเพียงอย่างเดียว



เดิมทีหลายทีมมักจะให้นักเตะรับการนวดที่ศูนย์ฝีกซ้อมของสโมสรเป็นเวลาราว 45 นาที รวมถึงต้องออกกำลังกายสักนิด และเข้าโรงยิมไปทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งไปรอบๆ สนามในโรงยิม, การปั่นจักรยาน หรือการลงไปว่ายน้ำ ซึ่งวิธีการส่งหมอนวดไปหาถึงบ้านของ ลิเวอร์พูล ทำให้นักเตะมีเวลาว่างในการทำอย่างอื่นเยอะพอตัว ส่วนพวกกิจกรรมอย่างการปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำมันก็ไม่จำเป็นต้องทำที่ศูนย์ฝึกซ้อมก็ได้ เพราะทุกวันนี้นักเตะแทบทุกคนก็มีของแบบนั้นอยู่ที่บ้านของตัวเองอยู่แล้ว

ทุกวันนี้เหล่านักเตะ ลิเวอร์พูล ก็มีแนวโน้มเข้าทำการเรียกสภาพความฟิตกับ คอร์นเมเยอร์ และทีมงานของเขาแบบตัวต่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้สภาพความฟิตของเหล่านักเตะดีขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น เจมส์ มิลเนอร์ ที่ยังฟิตปั๋งแม้ว่าจะมีอายุ 33 ปีเข้าไปแล้วก็ตาม



ขณะเดียวกัน มันก็ยังมีการวางโปรแกรมการพักที่เหมาะสมด้วย ยกตัวอย่างเช่นนักเตะที่ลงเล่นในวันอาทิตย์ก็จะได้รับอนุญาตให้พักอย่างเต็มที่ในวันจันทร์ ส่วนคนที่ลงเล่นเกมฟุตบอลถ้วยในวันพุธก็จะได้พักฟื้นสภาพร่างกายอย่างเต็มที่ในวันพฤหัสบดี

หลังจากนั้น พอเข้าสู้ช่วงก่อนจะถึงวันแข่งขันในช่วงสุดสัปดาห์ 1 วัน บรรดานักเตะทุกคนก็จะมารวมตัวกันซ้อมอย่างพร้อมเพรียง อย่างเช่นถ้าเตะกันในวันเสาร์ ทุกคนก็จะมารวมตัวกันซ้อมในวันศุกร์ แถมมันยังมีการปรับโปรแกรมซ้อมอยู่เรื่อยๆ ด้วย อย่างเช่นคนที่ไปเล่นใทีมชาติมาก็อาจจะได้ซ้อมเบาในระดับหนึ่ง เพราะพวกเขาแทบจะไม่ได้พักเลย และถ้าซ้อมหนักเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้



ทั้งนี้  ผลงานอันสุดยอดของ ลิเวอร์พูล เป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้ได้ผลเป็นอย่างดี และมันก็อาจจะช่วยทำให้พวกเขาได้แชมป์ลีกที่รอคอยมานานก็ได้

credit : www.siamsport.co.th

กลับมาได้เสมอ!ลิเวอร์พูลเก็บแต้มมากสุดจากประตู5นาทีท้าย

ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ได้คะแนนมากสุดจากการยิงประตูในช่วง 5 นาทีสุดท้ายในฤดูกาลนี้ ส่งผลให้แฟนบอลทั่วโลกจำนวนมากทำให้หวนนึกถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มักได้ประตูในช่วงเวลาดังกล่าวจนเกิดคำยอดฮิตว่า "เฟอร์กี้ไทม์"

ย้อนวันวานสมัยที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีกุนซือนามกระเดื่อง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเขามักจะได้ประตูในช่วงท้ายเกมอยู่บ่อยๆ จนทำให้เกิดคำพูดเด็ดวงของเหล่าสาวก "เร้ด อาร์มี่" ว่า "เฟอร์กี้ไทม์" แต่ตอนนี้เรื่องดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล คู่อริตลอดกาลของ "ปีศาจแดง" 

ในเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา "หงส์แดง" ได้สองประตูสำคัญในช่วงท้ายเกมในแมตช์เฉือน "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า 2-1 โดยพวกเขาได้ประตูตีเสมอจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ในช่วงนาทีที่ 87 และ ซาดิโอ มาเน่ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งนั่นถือเป็นเครื่องยืนยันว่า "คล็อปป์เพจ-ไทม์" คือนิวเฟอร์กี้ไทม์ ไปแล้ว

จากสถิติหลังจากเกมพรีเมียร์ลีกผ่านไป 11 แมตช์ในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ได้ 5 คะแนนสำคัญจาก 3 ประตูที่พวกเขายิงได้ในช่วง 5 นาทีสุดท้าย หนึ่งในนั้นก็คือจุดโทษช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ เจมส์ มิลเนอร์ ในเกมเปิดบ้านเฉือน เลสเตอร์ ซิตี้ 2-1 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา และที่เหลือก็คือเกมในถิ่นวิลล่า พาร์ค 

ส่วนอันดับ 2 เป็นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้จะยิงได้ 4 ประตูแต่พวกเขาเสีย 1 ลูกในแมตช์ที่พบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ช่วงทดเจ็บที่แพ้ 0-2 ทำให้พวกเขาได้เพียง 2 คะแนนจากการยิงประตูช่วยท้ายเกม และนั่นคือเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงมีคะแนนนำ "เรือใบสีฟ้า" 6 แต้มในเวลานี้ โดยงานนี้สถานการณ์อาจจะทิ้งห่างไปถึง 9 คะแนนหรือเหลือ 3 แต้ม ขึ้นอยู่กับในเกมที่จะพบกันในวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายนนี้



credit : www.siamsport.co.th

เคล็ดลับโกงตาย!เผยเหตุผลลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์ท้ายเกม

ดิ แอธเลติก สื่อรายหนึ่ง ระบุ สาเหตุที่ช่วยให้ ลิเวอร์พูล มักจะพลิกสถานการณ์ได้นั้น เป็นเพราะ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของพวกเขามักจะจัดการซ้อมในสภาพที่ต้องเปิดเกมบุกโดยที่อยู่ในสภาพที่เสียเปรียบด้วย โดยหนึ่งในรูปแบบการซ้อมคือแบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝั่ง และฝั่งหนึ่งจะมีผู้เล่นน้อยกว่าอีกฝ่าย แถมสกอร์ของฝั่งที่มีผู้เล่นน้อยกว่าก็ต้องตามหลังฝ่ายที่มีผู้เล่นเยอะกว่าอีก

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สั่งให้ลูกทีมลงซ้อมในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเปิดเกมบุกในสภาพที่เสียเปรียบอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ทีมมีประสบการณ์และเรียนรู้วิธีที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะ ตามรายงานของ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อดัง

ในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล มาได้ประตูในช่วงท้ายเกม หรือไม่ก็แซงกลับมาเป็นฝ่ายชนะทั้งที่โดนนำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกมได้หลายนัด อย่างเช่นเกมลีกนัดเฉือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 ที่เสียประตูให้ "ไก่เดือยทอง" ตั้งแต่ยังไม่ถึง 1 นาทีดี แต่มาได้ 2 ประตูในช่วงครึ่งหลัง, เกม คาราบาว คัพ รอบ 4 ที่ตีเสมอ อาร์เซน่อล เป็น 5-5 ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนจะไปชนะในช่วงดวลจุดโทษ และเกมลีกนัดล่าสุดที่ตอนแรกตามหลัง แอสตัน วิลล่า 0-1 เป็นเวลานาน แต่มาได้ประตูในนาทีที่ 87 กับช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เป็นต้น

สำหรับวิธีการซ้อมในสภาพที่เสียเปรียบพร้อมกับต้องเล่นเกมรุกไปด้วยก็มีหลายแบบ อย่างเช่น คล็อปป์ จะให้นักเตะในเกมรุกมีจำนวนผู้เล่นน้อยกว่าเกมรับ หรือไม่ก็ให้ทีมฝั่งหนึ่งมีผู้เล่น 11 คน แต่ฝั่งหนึ่งมีผู้เล่นแค่ 9 คน แถมฝั่งที่มีผู้เล่น 11 คนยังได้สกอร์นำ 3-1 ตั้งแต่ก่อนเริ่มซ้อมด้วย โดยมันเป็นเหมือนการฝังความรู้สึกให้กับนักเตะไปในตัวว่าการทำประตูเพิ่มได้แค่ลูกเดียวมันถือว่าไม่เพียงพอ ทั้งที่ตามปกติแล้วในการแข่งขันจริงๆ นั้น ทีมที่เหลือนักเตะน้อยกว่าก็มักจะพอใจหากทำประตูได้เพียง 1 ลูก ซึ่ง ดิ แอธเลติก เสริมว่า คล็อปป์ จัดรูปแบบการซ้อมอย่างนี้มาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลก่อน



credit : www.siamsport.co.th

หลายทีมฟังไว้!ปธ.บริหารลิเวอร์พูลแนะวิธีทำงานในตำแหน่งซีอีโอ

ปีเตอร์ มัวร์ ซีอีโอ ลิเวอร์พูล ระบุ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการบริหารทีมของคนในตำแหน่งแบบตนคือไม่ต้องลงไปยุ่งกับเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะ โดยชี้ ตำแหน่งซีอีโอควรจะสนใจเรื่องการหาสปอนเซอร์มากกว่า

ปีเตอร์ มัวร์ ประธานบริหาร ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แสดงความเชื่อว่าคนในตำแหน่งแบบตนไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องซื้อ-ขายนักเตะ เพื่อที่จะได้ส่งผลดีต่อทีมได้มากที่สุด

มัวร์ เข้ามารับงานซีอีโอของ ลิเวอร์พูล ในปี 2017 ซึ่งเขาเคยโดนแฟนบอล ลิเวอร์พูล ตำหนิอย่างหนักหลังจากเข้ามาทำงานในตำแหน่งดังกล่าวได้ไม่นาน จากการที่เขาไปดื่มกาแฟอย่างสบายใจในตอนที่ ลิเวอร์พูล กำลังพยายามทำการเจรจาขอซื้อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังชาวดัตช์มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน

ทั้งนี้ ตอนนั้น "เดอะ ค็อป" บางส่วนคิดว่าเขาควรจะให้ความสำคัญกับการดึง ฟาน ไดค์ มาร่วมทัพ และมองว่าเขาไม่ทุ่มเทให้กับทีมมากเท่าที่ควร ต่างกับซีอีโอหลายคน อย่างเช่น เอียน แอร์ อดีตบิ๊กบอสของ ลิเวอร์พูล ที่เคยบินไปยังกรุงซานติอาโก้ ประเทศชิลี ด้วยตัวเอง เพื่อทำการเจรจาในการดึง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กองหน้าชาวบราซิเลียนมาร่วมทัพ ในตอนที่ ฟีร์มีโน่ ไปเล่นศึก โคปา อเมริกา กับทีมชาติบราซิล ที่ประเทศชิลี เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2015

มัวร์ ให้สัมภาษณ์กับ นิวยอร์ค ไทม์ส สื่อชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกาว่า "ในวงการฟุตบอลสมัยนี้น่ะมันยังมีซีอีโอบางคนที่ทั้งบริหารสโมสรไปด้วย และยังทำธุรกิจด้านซื้อขายรวมถึงเจรจากับเอเยนต์ควบไปด้วย ซึ่งที่จริงผมคิดว่าสโมสรฟุตบอลในยุคปัจจุบันไม่ควรจะทำแบบนั้น"

"การเข้ามามีส่วนร่วมนิดหน่อยกับการก้าวก่ายน่ะมันแตกต่างกันนะ ในมุมมองของผมน่ะวันหนึ่งมันมีเวลา 24 ชั่วโมง และถ้าคุณต้องบินไปที่กรุงซานติอาโก้เป็นเวลา 3 วัน เหมือนที่ เอียน ทำแล้วน่ะ คำถามคือแล้วใครจะคอยดูแลเรื่องต่างๆ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ?"

"คือที่เขาทำอย่างนั้นน่ะมันไม่ผิดหรอก เพราะสมัยก่อนเราบริหารงานต่างกับในตอนนี้ แต่ในกรณีของผมนั้นผมเลือกที่จะอยู่ห่างจากเรื่องแบบนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าเรากำลังสนใจนักเตะคนไหนอยู่ และไม่จำเป็นต้องรู้ถึงเรื่องพวกนั้นด้วย สิ่งที่ผมต้องรู้ก็คือเราจะได้เซ็นสัญญาเป็นสปอนเซอร์กับบริษัทที่หมายตาเอาไว้รึเปล่าต่างหาก"



credit : www.siamsport.co.th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่