สวัสดีครับทุกท่าน ก่อนอื่นใดนั้นสาเหตุที่ผมเองได้ตัดสินใจมาโพสต์ข้อมูลในครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจากการบนบานศาลกล่าวเอาไว้ (เนื่องจากตื่นเต้นและประหม่าโดยมาก) ถึงแม้จะไม่ได้เป็นระดับคะแนนที่สามารถอวดอ้างสิ่งใดได้ แต่คาดว่าบทความชิ้นนี้น่าจะพอช่วยเหลือผู้ที่กำลังเตรียมตัวได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรขอเริ่มต้นจากเรื่องของตนเองสักนิดนะครับ
อย่างแรกเลยนั้นที่ผมเองตัดสินใจสอบ IELTS นั้นเกิดขึ้นจากความประสงค์ที่จะไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ และทราบดีว่าตนนั้นไม่ได้มีความรู้ความสามารถในภาษาอังกฤษในระดับที่ดีแต่อย่างใด จึงจำเป็นที่จะต้องขวนขวายและพยายามมากกว่าบรรดาเพื่อนๆ และคนรอบข้างของข้าพเจ้าที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า ทางออกจึงมีเพียงการลงเรียนพิเศษและอ่านเองที่บ้าน โดยผมได้เลือกเรียนที่สถาบันสอนแถบเพลินจิต (ขออนุญาตไม่ระบุสถานที่นะครับ เนื่องจากกลัวเป็นการโฆษณาและเนื่องด้วยไม่ทราบถึงข้อบังคับของ Pantip ที่มากพอ) ซึ่งแน่นอนว่าสามารถช่วยเหลือและแนะแนวทางของการสอบได้ค่อนข้างเป็นที่พอใจ แต่อย่างไรนั้นอย่างที่หลายๆ ท่านเคยพร่ำบอกมาแล้วว่า สำหรับการสอบวัดระดับเช่นนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวและเหล่าอาจารย์ทำได้เพียงชี้แนะแนวทางเท่านั้น การศึกษาเองที่บ้านจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนของการศึกษาเองที่บ้านนั้นข้าพเจ้ามักจะอ่านผ่านคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำการสอบแบบ Computer Delivered หรือการสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จึงพยายามทำให้ตนเองนั้นชินกับรูปแบบให้ได้มากที่สุด โดยพื้นที่ที่ผมใช้ในการฝึกฝนนั้นจะเป็นการทำแบบทดสอบผ่าน
1.
https://ieltsonlinetests.com
2.
https://ieltstrainingonline.com
3.
https://ieltsmaterial.com
4.
http://practicepteonline.com/
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเว็บไซต์ที่มีการลงแบบฝึกหัดเอาไว้มากมาย เป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยลับคมให้เกิดความเคยชินได้ดีครับ แต่อย่างไรก็ตามการทำแบบฝึกหัดจากหนังสือ Cambridge IELTS ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอยู่เสมอ เพราะ Cambridge เองเป็นผู้กำหนดตัวข้อสอบประเมินผลรูปแบบนี้โดยตรง การศึกษาและฝึกหัดจากแหล่งข้อมูล official ย่อมเป็นผลดีต่อตัวผู้สอบอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นแล้วผมอยากจะแนะนำว่าเริ่มต้นอ่านจากเล่ม 7 เป็นต้นไปจะดีกว่า อย่าเสียเวลากับเล่มแรกๆ เพราะแนวข้อสอบของ IELTS เหล่านั้นอาจจะไม่อัพเดตมากพอต่อการสอบในปัจจุบันนี้เสียแล้ว
การฝึกฝนให้เกิดความคล่องและเคยชินต่อข้อสอบเป็นสิ่งที่ผมเองรู้สึกว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพาร์ท Listening และ Reading เนื่องจากตัวข้อสอบมักจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก (เพราะมันคือการฟังและอ่านจับใจความเท่านั้น) ยิ่งผ่านตาผ่านหูมากเท่าไหร่ระยะเวลาในการทำข้อสอบมักจะลดน้อยลงตามความเคยชินเท่านั้น ส่วนเรื่องของลักษณะข้อสอบ ผมขออนุญาตละไว้นะครับ เนื่องจากมีท่านอื่นๆ ที่เคยเขียนเอาไว้แล้ว รวมไปถึงเกรงว่าจะทำให้บทความนี้ยาวจนน่าเบื่อเกินไป
ในส่วนของพาร์ท Writing นั้นข้าพเจ้ามองว่า หากไม่มีเวลามากพอที่จะศึกษาอย่างตกผลึกในเรื่องของ grammar จงอย่าเสียเวลานั่งจำ tense ที่ยากหรือใช้งานได้อย่างจำกัด เอาเวลาไปศึกษาสไตล์การเขียนและแพทเทิร์นสำเร็จที่จะช่วยลดเวลาในการคิดลงเสียจะดีกว่า (แต่ tense หลักๆ ยังจำเป็นที่จะต้องจำและเขียนโครงสร้างให้ถูกต้องนะครับ tense ที่ยากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายและสีสันให้กับงานเขียนซึ่งสามารถเพิ่มคะแนนได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้มีระบุเอาไว้ว่าท่านจะต้องใช้ tense อะไร ดังนั้นเอาชัวร์ไว้ก่อนจะดีกว่า) พาร์ทนี้แนะนำได้เพียง writing task 1 เท่านั้นว่าศึกษาลักษณะการเขียน line graph, bar chart, table, diagram และ map ให้มากๆ เพราะการเขียนแต่ละรูปแบบจะมีบางอย่างที่ค่อนข้างชัดและท่องจำได้ง่าย, การเปรียบเทียบหรือ compare ข้อมูลต่างๆ ในคำถามจะช่วยให้เพิ่มคะแนนได้ ดังนั้นศึกษาไว้ไม่เสียหาย ส่วน task ที่ 2 นั้นข้าพเจ้าเองขอละไว้ เนื่องจากรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพอที่จะมาสอนหรือแนะนำใครได้จริงๆ สิ่งเดียวที่บอกได้คืออ่านและดูงานเขียนระดับ 6.5-8 ให้เยอะๆ และจำแนวทางการเขียนเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ จะช่วยลดเวลาในการคิดคำได้บ้าง โดยสัดส่วนเวลาที่เหมาะสมนั้นคือ 20:40 สำหรับทั้งสองพาร์ทครับ พยายามยึดจากนี้เป็นหลักจะช่วยให้คุณสามารถใช้เวลาได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
สุดท้ายกับ Speaking ต้องออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้ามิใช่ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นอาจิณ และมักจะใช้ต่อเมื่อสบถคำหยาบคายหรือดื่มแอลกอฮอล์เสียมากกว่า อันเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ส่งเสริมภาษาอังกฤษอย่างถูกหลักแต่อย่างใด แต่ข้าพเจ้าเองเป็นคนที่ชอบดูภาพยนตร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จึงอาจจะพอช่วยเหลือได้อยู่บ้าง สิ่งที่ข้าพเจ้าฝึกฝนจากการดูหนังสากลนั้นคือการเปลี่ยน subtitle เป็นภาษาอังกฤษ พยายามอ่านและฟังให้เข้าใจว่าตัวละครพูดถึงสิ่งใดในสถานการณ์ไหน *เพิ่มเติมในบางครั้งการลองผลิตประโยคผ่านการตีความจากการอ่าน subtitle และพูดออกมาในภาษาที่เป็นของเราเองสามารถช่วยเหลือในการสร้างความคุ้นชินได้เช่นกัน เพราะบางทีการเรียนรู้ผ่านการอ่าน subtitle เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้สกิลการพูดของเราลื่นไหลได้เท่ากับการพูดการเปล่งเสียงออกมาจริงๆ และในพาร์ทนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เน้นการใช้คำศัพท์ที่ยากหรือคำศัพท์ที่เป็นภาษาเขียน แต่เน้นความสามารถในการพูดที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติแบบภาษาพูดทั่วไป แกรมม่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่โฟลว์ของการพูดก็สำคัญไม่แพ้กัน ในกรณีของผมเองที่ไม่ได้มีความรู้ทางแกรมม่าที่แน่นหนาอะไร จึงเน้นการพูดเพื่อสื่อสารให้เข้าใจเป็นสำคัญเพื่อทดแทนช่องว่างดังกล่าวให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญอีกอย่างคือการออกเสียง ไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามทำสำเนียงให้เหมือนกับเหล่า native speakers แบบเป๊ะๆ แต่ควรพยายามออกเสียงให้ถูก s ไม่ s, sh หรือ ch ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ผ่านการพูดและเปล่งเสียงออกมา (อัดเสียงไว้ฟังก็ดีนะครับ เราจะได้ทราบว่าตรงไหนยังไม่สมบูรณ์ คำหรือการออกเสียงแบบใดที่เรายังทำได้ไม่ดี)
ผมเองเตรียมตัวเช่นนี้มาประมาณ 1-2 เดือนโดยประมาณซึ่งรู้ตัวเองดีกว่าไม่มากพอแถมยังเล่นบ้าง จริงจังบ้าง เครียดบ้าง (เป็นส่วนมาก เนื่องจากเป็นคนที่ตั้งความหวังไว้สูงและมักจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี) ในช่วงเวลาดังกล่าว ข้าพเจ้าถามตัวเองบ่อยมากว่า เราจำเป็นต้องไปเรียนต่อจริงหรือเปล่า 55555 เนื่องจากความท้อและขี้เกียจเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็สำนึกได้ว่าหากตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ อย่างน้อยควรพยายามให้ถึงที่สุดก่อน ดังนั้นหากใครที่กำลังประสบสภาวะเช่นนี้อยากจะบอกว่าอดทนนะครับ หลังจากสอบเสร็จแล้วทุกความกดดันทุกความเครียดจะหายไปทันที
(แก้บน) แนะนำข้อมูลการเตรียมสอบ IELTS UVKI และข้อพึงระวังที่น่าจะเป็นประโยชน์
อย่างแรกเลยนั้นที่ผมเองตัดสินใจสอบ IELTS นั้นเกิดขึ้นจากความประสงค์ที่จะไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ และทราบดีว่าตนนั้นไม่ได้มีความรู้ความสามารถในภาษาอังกฤษในระดับที่ดีแต่อย่างใด จึงจำเป็นที่จะต้องขวนขวายและพยายามมากกว่าบรรดาเพื่อนๆ และคนรอบข้างของข้าพเจ้าที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า ทางออกจึงมีเพียงการลงเรียนพิเศษและอ่านเองที่บ้าน โดยผมได้เลือกเรียนที่สถาบันสอนแถบเพลินจิต (ขออนุญาตไม่ระบุสถานที่นะครับ เนื่องจากกลัวเป็นการโฆษณาและเนื่องด้วยไม่ทราบถึงข้อบังคับของ Pantip ที่มากพอ) ซึ่งแน่นอนว่าสามารถช่วยเหลือและแนะแนวทางของการสอบได้ค่อนข้างเป็นที่พอใจ แต่อย่างไรนั้นอย่างที่หลายๆ ท่านเคยพร่ำบอกมาแล้วว่า สำหรับการสอบวัดระดับเช่นนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวและเหล่าอาจารย์ทำได้เพียงชี้แนะแนวทางเท่านั้น การศึกษาเองที่บ้านจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนของการศึกษาเองที่บ้านนั้นข้าพเจ้ามักจะอ่านผ่านคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำการสอบแบบ Computer Delivered หรือการสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จึงพยายามทำให้ตนเองนั้นชินกับรูปแบบให้ได้มากที่สุด โดยพื้นที่ที่ผมใช้ในการฝึกฝนนั้นจะเป็นการทำแบบทดสอบผ่าน
1.https://ieltsonlinetests.com
2.https://ieltstrainingonline.com
3.https://ieltsmaterial.com
4.http://practicepteonline.com/
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเว็บไซต์ที่มีการลงแบบฝึกหัดเอาไว้มากมาย เป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยลับคมให้เกิดความเคยชินได้ดีครับ แต่อย่างไรก็ตามการทำแบบฝึกหัดจากหนังสือ Cambridge IELTS ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอยู่เสมอ เพราะ Cambridge เองเป็นผู้กำหนดตัวข้อสอบประเมินผลรูปแบบนี้โดยตรง การศึกษาและฝึกหัดจากแหล่งข้อมูล official ย่อมเป็นผลดีต่อตัวผู้สอบอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นแล้วผมอยากจะแนะนำว่าเริ่มต้นอ่านจากเล่ม 7 เป็นต้นไปจะดีกว่า อย่าเสียเวลากับเล่มแรกๆ เพราะแนวข้อสอบของ IELTS เหล่านั้นอาจจะไม่อัพเดตมากพอต่อการสอบในปัจจุบันนี้เสียแล้ว
การฝึกฝนให้เกิดความคล่องและเคยชินต่อข้อสอบเป็นสิ่งที่ผมเองรู้สึกว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพาร์ท Listening และ Reading เนื่องจากตัวข้อสอบมักจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก (เพราะมันคือการฟังและอ่านจับใจความเท่านั้น) ยิ่งผ่านตาผ่านหูมากเท่าไหร่ระยะเวลาในการทำข้อสอบมักจะลดน้อยลงตามความเคยชินเท่านั้น ส่วนเรื่องของลักษณะข้อสอบ ผมขออนุญาตละไว้นะครับ เนื่องจากมีท่านอื่นๆ ที่เคยเขียนเอาไว้แล้ว รวมไปถึงเกรงว่าจะทำให้บทความนี้ยาวจนน่าเบื่อเกินไป
ในส่วนของพาร์ท Writing นั้นข้าพเจ้ามองว่า หากไม่มีเวลามากพอที่จะศึกษาอย่างตกผลึกในเรื่องของ grammar จงอย่าเสียเวลานั่งจำ tense ที่ยากหรือใช้งานได้อย่างจำกัด เอาเวลาไปศึกษาสไตล์การเขียนและแพทเทิร์นสำเร็จที่จะช่วยลดเวลาในการคิดลงเสียจะดีกว่า (แต่ tense หลักๆ ยังจำเป็นที่จะต้องจำและเขียนโครงสร้างให้ถูกต้องนะครับ tense ที่ยากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายและสีสันให้กับงานเขียนซึ่งสามารถเพิ่มคะแนนได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้มีระบุเอาไว้ว่าท่านจะต้องใช้ tense อะไร ดังนั้นเอาชัวร์ไว้ก่อนจะดีกว่า) พาร์ทนี้แนะนำได้เพียง writing task 1 เท่านั้นว่าศึกษาลักษณะการเขียน line graph, bar chart, table, diagram และ map ให้มากๆ เพราะการเขียนแต่ละรูปแบบจะมีบางอย่างที่ค่อนข้างชัดและท่องจำได้ง่าย, การเปรียบเทียบหรือ compare ข้อมูลต่างๆ ในคำถามจะช่วยให้เพิ่มคะแนนได้ ดังนั้นศึกษาไว้ไม่เสียหาย ส่วน task ที่ 2 นั้นข้าพเจ้าเองขอละไว้ เนื่องจากรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพอที่จะมาสอนหรือแนะนำใครได้จริงๆ สิ่งเดียวที่บอกได้คืออ่านและดูงานเขียนระดับ 6.5-8 ให้เยอะๆ และจำแนวทางการเขียนเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ จะช่วยลดเวลาในการคิดคำได้บ้าง โดยสัดส่วนเวลาที่เหมาะสมนั้นคือ 20:40 สำหรับทั้งสองพาร์ทครับ พยายามยึดจากนี้เป็นหลักจะช่วยให้คุณสามารถใช้เวลาได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
สุดท้ายกับ Speaking ต้องออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้ามิใช่ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นอาจิณ และมักจะใช้ต่อเมื่อสบถคำหยาบคายหรือดื่มแอลกอฮอล์เสียมากกว่า อันเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ส่งเสริมภาษาอังกฤษอย่างถูกหลักแต่อย่างใด แต่ข้าพเจ้าเองเป็นคนที่ชอบดูภาพยนตร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จึงอาจจะพอช่วยเหลือได้อยู่บ้าง สิ่งที่ข้าพเจ้าฝึกฝนจากการดูหนังสากลนั้นคือการเปลี่ยน subtitle เป็นภาษาอังกฤษ พยายามอ่านและฟังให้เข้าใจว่าตัวละครพูดถึงสิ่งใดในสถานการณ์ไหน *เพิ่มเติมในบางครั้งการลองผลิตประโยคผ่านการตีความจากการอ่าน subtitle และพูดออกมาในภาษาที่เป็นของเราเองสามารถช่วยเหลือในการสร้างความคุ้นชินได้เช่นกัน เพราะบางทีการเรียนรู้ผ่านการอ่าน subtitle เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้สกิลการพูดของเราลื่นไหลได้เท่ากับการพูดการเปล่งเสียงออกมาจริงๆ และในพาร์ทนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เน้นการใช้คำศัพท์ที่ยากหรือคำศัพท์ที่เป็นภาษาเขียน แต่เน้นความสามารถในการพูดที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติแบบภาษาพูดทั่วไป แกรมม่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่โฟลว์ของการพูดก็สำคัญไม่แพ้กัน ในกรณีของผมเองที่ไม่ได้มีความรู้ทางแกรมม่าที่แน่นหนาอะไร จึงเน้นการพูดเพื่อสื่อสารให้เข้าใจเป็นสำคัญเพื่อทดแทนช่องว่างดังกล่าวให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญอีกอย่างคือการออกเสียง ไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามทำสำเนียงให้เหมือนกับเหล่า native speakers แบบเป๊ะๆ แต่ควรพยายามออกเสียงให้ถูก s ไม่ s, sh หรือ ch ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ผ่านการพูดและเปล่งเสียงออกมา (อัดเสียงไว้ฟังก็ดีนะครับ เราจะได้ทราบว่าตรงไหนยังไม่สมบูรณ์ คำหรือการออกเสียงแบบใดที่เรายังทำได้ไม่ดี)
ผมเองเตรียมตัวเช่นนี้มาประมาณ 1-2 เดือนโดยประมาณซึ่งรู้ตัวเองดีกว่าไม่มากพอแถมยังเล่นบ้าง จริงจังบ้าง เครียดบ้าง (เป็นส่วนมาก เนื่องจากเป็นคนที่ตั้งความหวังไว้สูงและมักจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี) ในช่วงเวลาดังกล่าว ข้าพเจ้าถามตัวเองบ่อยมากว่า เราจำเป็นต้องไปเรียนต่อจริงหรือเปล่า 55555 เนื่องจากความท้อและขี้เกียจเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็สำนึกได้ว่าหากตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ อย่างน้อยควรพยายามให้ถึงที่สุดก่อน ดังนั้นหากใครที่กำลังประสบสภาวะเช่นนี้อยากจะบอกว่าอดทนนะครับ หลังจากสอบเสร็จแล้วทุกความกดดันทุกความเครียดจะหายไปทันที