โฉมหน้านักรบสตรี Viking เมื่อ 1,000 ปีก่อน


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Did Viking Warrior Women Exist? | History



.
นักวิทยาศาสตร์ฟื้นฟู/จำลองโฉมหน้า
นักรบสตรีเมื่อราว 1,000 ปีก่อน 
จากข้อมูลส่วนสัดมนุษย์ด้านต่าง ๆ เช่น
โครงกระดูก กล้ามเนื้อ และชั้นผิวหนัง
นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างใบหน้าของสตรี
จากกระโหลกศีรษะอายุ 1,000 ปีก่อน
ที่มีบาดแผลการต่อสู้บนกะโหลกศีรษะของเธอ
ภายในหลุมศพของเธอมีการฝังอาวุธจำนวนมาก
เช่น ลูกศร ดาบ หอก และขวาน
โดยมีการค้นพบหลุมศพนักรบสตรีไวกิ้งที่ Solør ใน Norway
เธอได้รับฉายาว่า  Erika the Red

" ในตอนที่ขุดค้นโบราณคดี ก็พบซากศพของเธอ
ในตอนแรกหลุมฝังศพของเธอ ยังไม่มีการระบุว่า
เธอเป็นพวกนักรบ เพียงเพราะว่าเธอเป็นสตรี " 
Ella Al-Shamahi  นักโบราณคดีชาวอังกฤษให้สัมภาษณ์  The Guardian
 
 
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ใช้เทคโนโลยียุคใหม่
ในการจำลองโฉมหน้าของเธอในช่วงที่เธอยังมีชีวิตอยู่
ด้วยการพิจารณาจากสัดส่วนโครงกระดูกร่างกาย กล้ามเนื้อและชั้นผิวหนัง
ที่มีการศึกษาในสาขาวิชาสรีระวิทยา Anatomy

นักเรียนศิลปากรในยุคอาจารย์ศิลป์ พีระศรี
ทุกคนต้องถูกบังคับเรียนวิชานี้ด้วย
เพื่อให้ภาพวาด/รูปปั้นประติมากรรมมีสัดส่วนสมจริง
" นายต้องวาดกระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนัง
แล้วเติมจิตวิญญาณเข้าไป จะได้ดูสมจริงสมจัง เป็นผู้เป็นคน "

มีหลักการจำลองแบบในนิติวิทยาศาสตร์
เวลาค้นพบกระโหลกศีรษะ ใช้การถ่ายภาพซ้อนกับภาพถ่ายผู้ตาย
หรือภาพบุคคลที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผู้ตาย

ถ้าไม่มีภาพในยุคก่อนก็ใช้การปั้นขึ้นมาพร้อมกับจินตนาการ
แต่ตอนนี้ทำงานได้สะดวกรวดเร็วกว่าเดิมมากด้วย AI ปัญญาประดิษฐ์

 
นักวิจัยยังค้นพบรอยบุ๋มในศีรษะของเธอ
พร้อมกับจัดวางศพของเธอให้นอนอยู่บนโล่
ซึ่งสอดคล้องกับบาดแผลที่เกิดจากดาบฟันใส่ใบหน้าเธอ
ทั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า  บาดแผลรอยบุ๋มบนกระโหลกศีรษะ
คือ สาเหตุการตายของเธอในวันนั้น หรือตายด้วยสาเหตุอื่นในภายหลัง




นักโบราณคดี Ella Al-Shamahi เจอหน้ากันสองต่อสอง
กับหัวกระโหลกศีรษะนักรบสตรี Viking ที่พบอาวุธต่าง ๆ ฝังรวมอยู่ด้วยกัน
ภายในหลุมศพ Viking หลุมหนึ่ง ที่ Solør ใน Norway

.

" แต่นี่คือ หลักฐานชิ้นแรกที่พบว่านักรบสตรีไวกิ้ง
มีอาการ/บาดแผลที่บาดเจ็บจากการต่อสู้

ฉันตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นใบหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ตั้ง 1,000 ปีแล้ว   เธอกลายเป็นของจริงในวันนี้ทันที "
Ella Al-Shamahi นักโบราณคดีชาวอังกฤษให้สัมภาษณ์  The Guardian
 
ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงกระดูก/โบราณวัตถุของมนุษย์
ได้จัดทำโฉมหน้านักรบสตรีไวกิ้งขึ้นมา
เพื่อนำเสนอในสารคดีของ National Geographic 
Viking Warrior Women ที่จะออกอากาศ
ในวันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2019 เวลา 20.00 น.

Dr Caroline Erolin อาจารย์อาวุโสของ University of Dundee
ที่ทำงานที่ Centre for Anatomy and Human Identification
(ศูนย์กายวิภาคศาสตร์และการจำแนกมนุษย์)
ซึ่งมีส่วนร่วมทำงานในการฟื้นฟูโฉมหน้าได้กล่าวว่า
" การฟื้นฟูโฉมหน้าคงไม่มีทางถูกต้อง 100%
แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างการเรียนรู้/การรู้
ถึงโฉมหน้าของเธอในชีวิตจริง(ในอดีต) "

ทั้งนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีสร้างหลุมศพนักรบสตรีไวกิ้ง
ขึ้นมาใหม่เพื่อแสดงตำแหน่งของอาวุธต่าง ๆ ที่พบในหลุมศพ

สารคดีดังกล่าวจะนำเสนอเรื่องราว Ms Ella Al-Shamahi 
เดินทางข้าม Scandinavia เพื่อตรวจสอบหลุมศพไวกิ้ง
และใช้เทคนิคในการสร้างภาพเพื่อสร้างเรื่องราวและเนื้อหาขึ้นมาใหม่

Ella Al-Shamahi กล่าวว่า
" เธอน่าจะเป็นแม่ทัพไวกิ้ง
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงต่อต้าน
ความคิดที่ว่าสตรีอาจเป็นนักรบ
สตรีมีความเสี่ยงมากในการต่อสู้ตัวต่อตัวกับศัตรู
เพราะเธออาจจะถูกยิงด้วยลูกธนูจากหลังม้า (นักรบชาย)
ที่ยิงจากระยะไกลได้  ทำให้เป็นการรบที่ไม่เท่าเทียมกัน "

ศาสตราจารย์  Neil Price ผู้เชี่ยวชาญด้านไวกิ้ง
และเป็นที่ปรึกษาทางโบราณคดีในโครงการนี้  ได้กล่าวเพิ่มเติม
" มีการพบที่ฝังศพนักรบไวกิ้งมากมาย
มันคงไม่ทำให้ผมประหลาดใจเลย
ถ้าเราจะพบศพนักรบสตรีมากขึ้น " 

ตอนนี้โครงกระดูกของนักรบสตรีรายนี้
ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม Oslo
Oslo’s Museum of Cultural History



เรียบเรียง/ที่มา

https://dailym.ai/2JOSdTw
http://bit.ly/2K3ymjJ
http://bit.ly/34ydmcj




ที่มา  http://bit.ly/2qkRXVu

.

เรื่องเล่าไร้สาระ


ชนเผ่าไว้กิ้งมีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพวกแรก
ที่ใช้อาวุธที่ทำจากเหล็ก ที่มีความคม ความเหนียว
แข็งแกร่งกว่าโลหะสัมฤทธิ์ของชนชาติอื่น
ทำให้สามารถรุกรานปล้นข้าวของ
จากดินแดนต่าง ๆ ที่แล่นเรือไปถึง
เพราะมีนิสัยนักผจญภัย กล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
แล่นเรือไปในท้องทะเลหลวง โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง
แต่ยังมีการใช้กานำทาง  กาเป็นนกที่มีสายตาดีมองเห็นฝั่งจากใกล
และมีประสาทสัมผัสทางกลิ่นดีทางด้านอาหารและกลิ่นดิน
เรือไวกิ้งก็จะแล่นตามไปในทิศทางที่กาบินไป

พวกไวกิ้งในช่วงหลังเริ่มแพ้ภัยตนเอง
เพราะดินแดนที่พวกไวกิ้งเคยไปปล้นข้าวของ
หรือไปยึดครอง ต่างเริ่มเรียนรู้และรวบตัวกันสู้
พร้อมกับการสร้างป้อมค่ายต่าง ๆ
มีการพัฒนาสร้างกองทัพ  สร้างอาวุธทำจากเหล็ก
รวมทั้งต่อมามีการพัฒนาปืนไฟขึ้นมา
ทำให้พอสู้รบตบมือกับพวกไวกิ้งได้

อีกสาเหตุหนึ่งคือ การเปลี่ยนศาสนาเทพ
มานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
ยิ่งทำให้พวกไวกิ้งต่างเฉื่อยชาไม่ชอบผจญภัยแบบเดิม
เพราะไม่กล้าทำบาปก่อกรรมทำเข็ญแบบในอดีต
เพราะกลัวศาสนาจักรประณามว่าเป็นพวกนอกรีต/นอกศาสนา
มีภัยร้ายแรงต่าง ๆ เช่น ตกนรกนิรันดร์กาล
หรืออาจจะถูกฆ่าทิ้งได้โดยคนฆ่าไม่บาปแต่อย่างใด
เช่น ทรมานก่อนจับแขวนคอ หรือเผาทั้งเป็น
เหมือนการประกาศสงครามศาสนาของแต่ละศาสนา
เวลาจะทำสงครามกับอีกฝ่ายหนึ่ง  มักจะเรียกรัองความชอบธรรม
และให้มวลชนสนับสนุนการต่อสู้/ฆ่าฟันฝ่ายตรงข้ามแบบไม่บาป


ข้อมูลเพิ่มเติม   ชาวไวกิ้ง

.
อนึ่งพวกอารยันที่สันนิษฐานว่า
มาจากแถวทะเลสาบแคสเปียนก็ใช้อาวุธที่ทำจากเหล็ก
มายึดครองดินแดนชมพูทวีปหรืออินเดีย
ที่ชนพื้นเมืองเดิมใช้อาวุธประเภทสัมฤทธิ์ ไม้ หิน 
ต่อมา พวกอารยันก็ตั้งชนชั้นวรรณะขึ้นมา
เพื่อใช้ในการปกครองดินแดน
กับเพื่อความสะดวกในการแบ่งแยกแล้วปกครอง
แบบให้รู้ว่า ใครเป็นหมู่ ใครเป็นจ่า
ใครเป็นนายร้อย ใครเป็นทาส ใครเป็นไพร่
โดยให้วรรณะกษัตริย์เป็นชนชั้นสูงสุด
แต่งงานกับวรรณะใดก็ยังเป็นวรรณะกษัตริย์  มีในพระไตรปิฏก
เพราะผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย  ฆ่าคนขัดใจได้ด้วยอาวุธ

ต่อมาวรรณะพราหมณ์ก็เริ่มกล่อมเกลาชนชั้นต่าง ๆ
แล้วสร้างภูติผีเทพเทวดาต่าง ๆ  นานา
ทั้งหลอกล่อสร้างความหวาดกลัวประเภทสวรรค์/นรกให้กับผู้คน
พร้อมกับสรรเสริญเยินยอวรรณะของพวกตน
จนกลายเป็นวรรณะสูงสุดในอินเดีย
เพราะความรู้หนังสือและการถ่ายทอดพิธีกรรม
จะถูกผูกขาดเฉพาะวรรณะพราหมณ์
ใครไม่ใช่วรรณะพราหมณ์แอบเรียน
โทษคือ ความตายสถานเดียว
แล้วสร้างวาทะกรรมว่า
พราหมณ์เกิดจากปากของพระพรหม (จึงมีพระเวทย์ตามมา)
แต่พระบรมศาสดาตรัสว่า ไม่จริง
เพราะพวกพราหมณ์เกิดจากโยนีของมารดา


ที่มา https://bit.ly/2NNDObp



การแต่งงานกับคนต่างวรรณะจะกลายเป็นพวกจัณฑาล
ซึ่งจัณทาลก็ยังมีหลายชนชั้นหลายระดับชั้นเช่นกัน
พอ ๆ กับคนเร่ร่อน คนไร้บ้านในไทยเอง
ก็ยังมีการแยกชนชั้นคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน มีในหนังสือ โลกของคนไร้บ้าน


เรื่องชนชั้นวรรณะทำให้คนวรรณะจัณฑาล
แต่เดิมถูกกดขี่เหยียดหยามเปลี่ยนแปลงวรรณะไม่ได้
จึงต่างหันไปนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ
กลายคนเป็นคนทั่วไปไม่มีชนชั้นวรรณะแบบเดิมอีกต่อไป
แต่คนในพื้นที่และคนชาติเดียวกันมักจะมองออก
เพราะรู้ดีถึงกำพืดดั้งเดิมของคนตระกูลดังกล่าว
จากนามสกุล รูปร่างหน้าตา ภาษาพูด/สำเนียง
เหมือนการแยกแยะว่าคนนี้เป็น เหนือ ใต้ อีสาน ลาว พม่า เขมร แขก
แบบคนช่างสังเกตในบ้านเรา

.
ในไทยช่วงหลังการปฏิวัติ 2475
รัฐบาลยุคปฏิวัติไม่สนใจลัทธิธรรมเนียมเดิมของพราหมณ์
รวมทั้งไม่ส่งเสริมและโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ นานา
ทำให้ศาสนาสถานและความเชื่อของพราหมณ์หายไปมาก
เช่นที่ จังหวัด นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง ที่ภาคใต้
เดิมมีพวกตระกูลพราหมณ์ทำพิธีกรรมต่าง ๆ และดูแลศาสนาสถาน
แต่เพราะขาดการสนับสนุนจากภาครัฐในช่วงนั้น
และคนเริ่มเสื่อมศรัทธาตามการโฆษณาชวนเชื่อ
ทำให้ตระกูลพราหมณ์ในแถบนี้ค่อย ๆ หายไป
ต้องกลมกลืนกับชาวบ้านท้องถิ่นไปเลย
คงเหลือแต่ตระกูลพราหมณ์ในเขตกรุงเทพมหานครเพียงเล็กน้อย
ที่ยังรักษาตระกูลได้เพราะยังมีคนศรัทธาและนับถือ
เชิญไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ และทำนายทายทักโชคชะตาราศรี

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่