[CR] [Harbin in summer] รีวิวประสบการณ์เรียนจีน+เที่ยวที่ฮาร์บินช่วงหน้าร้อนปิดเทอมมหาลัย 2 เดือน


[Harbin in summer] รีวิวประสบการณ์เรียนจีน+เที่ยวที่ฮาร์บินช่วงหน้าร้อนปิดเทอมมหาลัย 2 เดือน
 
          สวัสดีค่าทุกคน สำหรับกระทู้นี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ไปเรียนจีนช่วงซัมเมอร์ที่ฮาร์บินช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาของเราเอง ครั้งนี้เป็นการเขียนกระทู้ครั้งแรกของเราเลยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจน้า ที่ตัดสินใจมาเขียนรีวิวครั้งนี้พราะตอนที่เราตัดสินใจจะไปเราหาข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สเรียนที่ฮาร์บินช่วงซัมเมอร์แล้วไม่เจอกระทู้รีวิวเลย ข้อมูลน้อยมาก ๆ เพราะส่วนใหญ่คนจะชอบไปฮาร์บินช่วงหน้าหนาว แต่ช่วงนั้นดันเป็นช่วงที่มหาลัยเปิดเทอมพอดี เพราะงั้นเราเลยคิดไว้ตั้งแต่ไปแล้วว่าอยากกลับมาเขียนรีวิวให้ทุกคนได้อ่านกันหลังจากได้ไปมาค่ะ

          เอาล่ะ ก่อนที่เราจะมาเริ่มลงรายละเอียดกัน ต้องบอกก่อนเลยว่าอันนี้เป็นการเขียนจากประสบการณ์ตรงของเราเองนะคะ คนอื่นที่ไปอาจจะเจออีกแบบหรือมีมุมมองอีกแบบนึงแตกต่างกันไปเนอะ ซึ่งทุกอย่างที่เราเขียนมาจากสิ่งที่เราเจอมาจริง ๆ ตามมุมมองส่วนตัวของเราเลยน้า เพื่อไม่ให้กระทู้มัน        เวิ่นเว้อและออกนอกทะเลไปไกล555555 เราจะแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 5 พาร์ทนะคะ เรียงลำดับตามใจเราเลยละกันเนอะ
          1. การเรียนซัมเมอร์ที่ HIT (สองสัปดาห์เดือนมิถุนายน และหนึ่งเดือนกรกฎาคม)
          2. การใช้ชีวิตเด็กหอในมหาวิทยาลัย + การซื้อของ + อาหารอร่อย ๆ รอบมอ
          3. ที่เที่ยวในฮาร์บิน 
          4. นั่งรถไฟเที่ยว Shenyang 
          5. ความประทับใจส่วนตัว

           สำหรับพาร์ทแรกคือ การเรียนซัมเมอร์ที่ HIT ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าการไปเรียนครั้งนี้เราตัดสินใจไปกับ Study in harbin ของพี่เอ็มนะคะ ด้วยการดูจากรีวิวและพี่เค้าก็ให้ข้อมูลเป็นอย่างดี โดยนอกจากเอเจนซี่นี้แล้วยังมีอีกหนึ่งเอเจนซี่ที่คนไปเยอะไม่แพ้กันคือ Befriend Education ของพี่เจลนะคะ จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะไปเอเจนซี่ไหนสุดท้ายก็ไปเรียนด้วยกันเป็นเพื่อนกันหมดเนอะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะสนิทกับเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันตั้งแต่แรกมากกว่า อย่างเราเองเนี่ยไปกับเอเจนซี่พี่เอ็มแต่ก็รู้จักกับเพื่อนแก๊งพี่เจลนะ ถ้าของ Befriend ก็จะไปแบบคน   น้อย ๆ หน่อย อย่างรอบเดือนกรกฎาคมนี่รู้สึกว่าจะมากันสิบกว่าคนเอง แล้วพี่เจลก็จะคอยพาเที่ยวนู่นนี่เองเลย ถ้าใครชอบคนน้อย ๆ สนิทกันเป็นแก๊งไปกับพี่เจลเราว่าก็โอเคนะคะ เพราะเพื่อนที่เรารู้จักที่มากับพี่เจลก็ดูแฮปปี้มากกกก แต่ตัวเราไปกับ Study in harbin ของพี่เอ็มเนอะ เพราะงั้นรีวิวครั้งนี้ที่จะพูดถึงเป็นสิ่งที่เอเจนซี่นี้คอยดูแลเรานะ

          เริ่มต้นจากการเลือกคอร์สเรียนก่อนเลย ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ใน https://www.facebook.com/StudyinHarbin/ เลยยย ตอนแรกเราก็เข้าไปดูรายละเอียดในเพจแล้วเห็นว่ามีคอร์สช่วงซัมเมอร์เดือนกรกฎาคม 1 เดือน แต่ที่นี้ด้วยความที่จะไปทั้งทีเราก็อยากไปนานกว่าแค่หนึ่งเดือน เพราะมหาวิทยาลัยก็เริ่มปิดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมแล้ว เราก็เลยไลน์คุยกับพี่เอ็มว่าถ้าขอไปก่อนกรกฎาคมได้มั้ย เพราะอยากไปให้นานกว่านั้น ไหน ๆ ก็จ่ายค่าเครื่องบินไปแล้ว คุยไปคุยมาพี่เอ็มก็เลยบอกว่าโอเคเราไปได้ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนซึ่งจะไปเรียนกับคอร์สที่เรียนมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ไปเรียนมิถุนายน 2 อาทิตย์ซึ่งเป็นสองอาทิตย์สุดท้ายของแก๊งนั้นพอดี (เอ้อ ต้องขอเกริ่นก่อนว่าภาษาจีนของเรานี่งู ๆ ปลา ๆ มากกกกก ไม่เคยเรียนศิลป์จีนไม่มีเชื้อจีนอะไรใด ๆ ทั้งนั้น แค่เคยเรียนวิชาเลือกจีน 1 ที่มหาลัยตอนปีหนึ่งซึ่งตอนที่เราไปคือปีสี่แล้ว ลืมหมดทุกอย่างบอกเลย) แต่ด้วยใจมุ่งมั่นมาก แบบเอาวะ ไม่ไปตอนนี้จะไปตอนไหนที่บ้านก็โอเคด้วย ถ้าเราไม่ไปเราคงเสียดายน่าดู ก็เลยตัดสินใจไปเรียนตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคมนะคะ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็เป็นไปตามด้านล่าง
          * มีค่าเครื่องบินด้วยอีก 18,000 บาท ซึ่งทางเอเจนซี่บังคับให้เราจองผ่านเค้านะคะ จริง ๆ อาจจะราคาแค่หมื่นต้น ๆ และยังไม่รวมกับค่าวีซ่าที่เราใช้บริการให้ทางเอเจนซี่ยื่นเรื่องให้ (เพราะตอนนั้นยุ่งกับไฟนอลและโปรเจคมากมาย) อีก 2,500 บาท ซึ่งอันนี้เราก็แค่หาเอกสารให้เอเจนซี่แล้วนอกนั้นเค้าก็จะจัดการให้หมดเลย โดยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนคร่าว ๆ ก็จะประมาณนี้เลย     


           ต้องบอกก่อนเลยว่าเราไปครั้งนี้คาดหวังกับการไปใช้ประสบการณ์ต่างแดน ในการเที่ยวแล้วก็ผจญภัย    ต่าง ๆ มากกว่าคิดแค่จะไปเรียนนะคะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ตั้งใจเรียนเน้อ ตั้งใจแหละ555555 นั่นแหละ    ทำให้เราตัดสินใจไปแบบสองเดือนเพราะเดือนมิถุนายนเราเรียนแค่สองอาทิตย์เราก็วาดฝันไว้ว่าจะต้องได้ไปเที่ยวทุกที่ ไปคาเฟ่ ไปนู่นนี่นั่นสวย ๆ 5555555 โดยไม่ได้รู้ชะตาชีวิตเล้ยว่ากว่าจะผ่านสองอาทิตย์นั้นมาได้… เกือบตาย TT

          โอเคค่ะ เราก็เริ่มเดินทางโดยทริปนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันอีก 3 คนเนอะ รวมตัวเราเองก็เป็น 4 คน ซึ่งเราเป็นเจ๊ใหญ่ของแก๊งแหละ แต่ภาษาจีนเราง่อยสุดเลยนะ5555555 ทุกคนก็คืออายุแบบปี 1 2 3 4 เรียงกันแบบไม่มีซ้ำกันเลยเจ๋งมากก ซึ่งไอ้เจ้าเด็กปีหนึ่งเนี่ยแหละที่เก่งสุด พูดจีนได้เพราะนางเคยไปแลกเปลี่ยน AFS ที่ฮาร์บินมาแล้วด้วยปีนึง ทั้ง 4 คนก็คือมีความคล้ายกันมากตรงที่ตัดสินใจมาก่อนเดือนกรกฎาคมเพราะอยากไปเที่ยวไปนู่นนี่ด้วยทำให้เราเข้ากันได้ดีมาก ๆ ตั้งแต่อยู่สนามบินเลย ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันที่สนามบินครั้งแรก โดยจะมีพี่สตาฟจากเอเจนซี่ (ซึ่งไม่ใช่พี่เอ็มน้า) นัดหมายเราที่นั่นและก็ช่วยดูเรื่องเช็คอินนะคะ แต่พี่เค้าจะไม่ได้บินไปด้วย เราบินไปกันเองสี่คน เรียกได้ว่าเริ่มเอาตัวรอดกันเองตั้งแต่ขึ้นเครื่องกันเลยทีเดียว
แล้วเราก็จะขอตัดภาพฉับ ๆ ๆ ไปถึงตอนเรียนเลยละกันนะคะ ไม่งั้นถ้าเล่าเหตุการณ์ทุกช็อตน่าจะไม่ได้เข้าเรื่องเรียนสักที5555555 พอมาถึงได้สักวันนึง วันรุ่งขึ้นพี่ที่คอยดูแลเราที่นู่นก็จะพาเราไปทำบัตรนักศึกษา ไปคุยกับเหล่าซือ ซึ่งเรากับเพื่อนอีกสองคนก็ไปเรียนกับคลาส A แต่จริง ๆ แล้วตอนนี้เค้าเรียนถึง B ปลาย ๆ แล้วเพราะคอร์สเค้าเริ่มมาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้วไง ส่วนอีกคนที่พูดจีนได้อยู่แล้วก็ได้ไปเรียนคลาส C


          อันนี้ก็จะเป็นรูปหนังสือที่เราใช้เรียนที่นู่นนะคะ ซึ่งการเรียนเดือนมิถุนายนกับเดือนกรกฎาคมเนี่ยใช้หนังสือคนละแบบกัน สามเล่มนี้คือเรียงความยากจากซ้ายไปขวาเลย ซึ่งเราตอนนั้นเค้าเรียนเล่มขวาสุดกันแล้วอะตอนนั้น หนังสือพวกนี้ทุกคนก็ลองดูเผื่อจะทบทวนอ่านก่อนไปจะได้ไปเลเวลที่สูงขึ้นได้หน่อย ถ้าสำหรับใครที่อยากเรียนแบบยาก ๆ เลยนะ แต่เอาจริง ๆ ถ้าให้เราแนะนำก็คือ พื้นฐานมีเท่าไหนก็เท่านั้นเพราะถ้าไปเรียนที่นู่นแล้วอยากเรียนยาก ๆ คือมันก็แอบหนักนะเราว่า คิดดูเราเรียนที่ไทยศัพท์บทนึงประมาณ 20 กว่าคำ เราเรียนอาทิตย์ละครั้งใช่มั้ยเราก็มีเวลาจำท่องศัพท์ แต่พอไปเรียนที่นู่นคือเราเรียนบทละวันอะทุกคนนนน (คอร์สกรกฎาคมนะ เพราะมันเป็นคอร์ส Intensive ไง) ถ้าคอร์สเดือนมิถุนายนเค้าละเรียนกันบทละสองวัน แต่ก็เยอะอยู่ดีสำหรับเรา แล้วคือในห้องเค้าจะเรียกตอบตลอดเวลาเลยนะ คือไม่มีคลาสไหนที่ไม่โดนเรียกแน่นอนเพราะเหล่าซือจำชื่อได้ทุกคน เพราะงั้นก็ได้ให้เลเวลตามความสามารถตัวเองอะเนอะจะได้ไม่ต้องเครียดมากนะ ยังไงแค่เดือนสองเดือนมันก็ไม่มีทางทำให้เราพูดได้เป๊ะร้อยเปอร์เซ็นขนาดนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นไปเรียนไปใช้ชีวิตออกไปพูดภาษาจีนกับเหล่าอาอี๋(คุณป้า)และชูฉุ(คุณลุง)อย่างมีความสุขกันดีกว่านะ เย้ เย้


          แต่แน่นอนว่าเราไปเพื่อเรียนด้วย เพราะงั้นแม้จะเรียนแค่สองอาทิตย์ในเดือนมิถุนายน เราก็ต้องตั้งใจเรียนค่ะ!! เรากับเพื่อนอีกสองคนได้เข้าไปเรียนกับคลาส A1 ซึ่งเอาจริง ๆ ตอนเข้าไปการเรียนการสอนก็ไม่ใช่คลาส A แล้วอะ เพราะเค้าเรียนมาแล้วสามเดือนไง ตอนนั้นทุกคนในห้องเรียนเนื้อหาประมาณ B + กำลังจะขึ้น C แล้วอะทุกคน ซึ่งก็คือยากมากสำหรับเรา ไม่รู้เรื่องเลยย เหล่าซือถามอะไรก็คืองงจ้า มีพี่ ๆ ในห้องคอยบอกเราก็เออ ๆ ออ ๆ ตอบตามแบบงง ๆ ซึ่งบอกเลยจากคนที่ไปแบบสดใสร่าเริงแบบเรานี่คือ Culture shock เลยนะ ร้องไห้น้ำตาแตกประมาณวันที่สามที่เรียนอะ55555555 รู้สึกตัวเองกากมาก เพราะไรรู้ป่าวก็อย่างที่บอกว่าสกิลภาษาจีนเราแทบไม่มีเลยเรียนจีน 1 ของมหาลัยไปตั้งแต่ปีหนึ่งซึ่งตอนที่ไปปีสี่ก็ลืมหมดละอะ เอาจริง ๆ คือตัวจีนก็จำไม่ได้ อ่านได้แต่พินอินอะตอนนั้น แล้วต้องตื่นไปเรียนตั้งแต่ 08.00 – 12.00 ซึ่งการเรียนที่นั่นก็คือ active      สุด ๆ จะแบ่งคาบเรียนออกเป็น 4 ช่วง ช่วงละประมาณ 45 นาที แล้วก็จะมีพักสั้น ๆ ประมาณสิบนาทีทุกช่วง แล้วคือการเรียนก็เรียกตอบตลอดเวลา ศัพท์ที่เรียนในคอร์สนั้นก็คือยากมากสำหรับเราคนที่เรียนคำว่า พ่อ แม่ พี่สาวไป555555 แต่ไปเรียนตอนนั้นคือศัพท์แบบ นวดแผนไทย เส้นเลือด อะไรก็ไม่รู้อะทุกคน TT คือ ช็อคมากบอกเลย แล้วเค้าก็จะแบ่งเป็น 2 ช่วงแรกเรียนแกรมม่า 2 ช่วงหลังเรียน speaking แล้วเหล่าซือก็คือให้อ่านจากหนังสือด้วยกันก่อนแล้วก็ปิดหนังสือขึ้นกระดานแบบไม่มีพินอิน ซึ่งเราก็อ่านไม่ได้แล้วต่อให้ท่องไปก่อนหน้านั้นเราก็ยังจำไม่ได้อะ อารมณ์แบบศัพท์เบสิคเรายังไม่ได้เลยแล้วไปเจอศัพท์แบบยากขึ้นมาอีกระดับนึงแล้วไรงี้ ซึ่งเพื่อนที่ไปด้วยกันตอนนั้นก็คือพอได้ในระดับนึงเลยพอตามทันบ้าง แล้วถ้าจะย้ายคลาสไปง่ายกว่านี้ตอนนั้นก็ไม่มีแล้ว     เพราะคอร์สเดือนมิถุนายนเป็นคอร์สที่เริ่มเรียนมาตั้งแต่มีนาคมเลยไง แล้วคลาส A1 ก็เป็นคลาสเริ่มต้นตั้งแต่แรกแล้ว

          นั่นแหละ เราก็เลยก๊อกแตกเลยจ้า5555555 จากร่าเริงสดใส ซึมไปเลย รู้สึกว่าตัวเองโง่มากตามไม่ทันเลยไรงี้ จำได้ว่าแอบน้อง ๆ ทั้งหลายที่ไปด้วยกันออกไปร้องไห้โทรหาพี่ เพื่อนต่าง ๆ ที่ไทย จนพวกนางก็รู้แหละเลยเปิดใจคุยกัน ซึ่งเพื่อนนี่ก็บอกว่าไม่ต้องเครียดเพราะยังไงเราก็ไม่ได้เริ่มเรียนมาพร้อมเค้าอยู่แล้ว เพราะคอร์สตอนนี้พี่เค้าเรียนมาสามเดือนจนจะจบกันอยู่แล้ว คิดซะว่ามาใช้ชีวิต มาลองพูดภาษาจีน แล้วคอร์สเดือนกรกฎาคมเราค่อยจริงจังก็ได้ พอได้คุยกับพวกนาง (ก็คืออีก 3 หน่อที่มาด้วยกันอะนะ) เราก็ดีขึ้นนะทุกคน แบบพอพวกนางรู้ว่านี่เครียดก็พยายามลากไปกินปิ้งย่าง555555 พยายามชวนกันอ่านศัพท์ ช่วยจดไรงี้ แล้วเราก็เริ่มแบบเอออย่าไปซีเรียสขนาดนั้น เหมือนจริง ๆ คือเรากดดันตัวเองด้วยอะ แบบไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ไรงี้แล้วจะไปข้ามขั้นขนาดนั้นมันก็ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ ดีขึ้นแบบค่อย ๆ เข้าใจว่าในคลาสเค้าทำอะไรกัน คือเวลาช่วยได้เยอะจริง ๆ แต่ก็นั่นแหละยังไงเราก็เรียนกับคลาสนี้แค่สองอาทิตย์เอง

อ่าว แป๊บเดียวตัวอักษรเกินแล้วอะ เดี๋ยวต่อในคอมเม้นนะคะ ปล.เราไม่ได้พิมพ์ตัวจีนน้า เพราะไม่ได้โหลดไว้ในเครื่อง ขอทับคำไทยไปเลยละกัน
ชื่อสินค้า:   harbin institute of technology, harbin, จีน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่