ส่งท้ายกันด้วยกระทู้ "เรื่องสั้น" ครับ ^^
เรื่องนี้ เป็นการ
"ร่วมกันเขียน" ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการแบ่งส่วน หมายความว่า คนหนึ่งเขียนมาก่อน และอีกคนหนึ่งก็ช่วยเสริมเติมแต่ง ประมาณนี้
เพราะฉะนั้น ก็ให้ตอบ
"สองถุงมือ" นะครับ ว่า
ใครเขียนก่อน ใครเป็นคนแต่งเติม
เชิญอ่านได้เลยครับ....
เย็นวันหนึ่ง เวลาที่ทุกคนใกล้จะเลิกงาน กลับบ้านกันเสียที...
"สวัสดีครับ อาจารย์ ตอนนี้ยังมีชั้นสอนอีกหรือ ?"
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง สำเนียงคุ้นๆ ทำให้ผมต้องเหลียวไปดูตรงระเบียงทางซ้ายที่เขากำลังเดินมา ในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปห้องเรียนชั้น ม.3/1
"ครับ ชั่วโมงสุดท้ายแล้วครับ" ผมตอบเขาแล้วยิ้มให้ นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็คือ สุชาติ อาจารย์สอนวิชาพลศึกษา เพื่อนใหม่ของผมนั่นเอง
"ถ้าเลิกแล้ว มาที่ห้องอาหาร ทานข้าวด้วยกันหน่อยนะครับ" อาจารย์หนุ่มหุ่นล่ำบึ้กเอ่ยชวน
"ได้เลยครับ ว่าแต่ อาจารย์ว่างสักสามสี่วันไหมครับ จะชวนไปเที่ยวทางเหนือสักหน่อย อยากมีเพื่อนผลัดกันขับและช่วยยกของบ้างน่ะครับ แหะๆ" ผมได้ทีก็เลยออกปากชวนบ้าง สุชาติเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากทีเดียว เท่าที่ผมได้คบกับเขามา แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก
"ก็ว่างราวสี่ห้าวันครับ" คำตอบของเขาเท่ากับการตอบตกลง ผมอนุมาณว่างั้น เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็น่าจะปฏิเสธกลับมาแล้ว
"อย่างนั้น คืนนี้ค้างที่นี่เลย จะได้ออกสักตีห้า เราต้องแวะเอาของตามเส้นทางด้วยครับ" ผมจึงจัดการพูดมัดตัวเขาไว้เลย
"อาจารย์ไปเหนือบ่อยอยู่แล้ว เส้นทางคงคล่อง"
"ไม่หรอก ไม่ได้ไปเกือบสิบปีแล้วครับ ระยะหลังไปสามจังหวัดชายแดนใต้ครับ"
"ไม่กลัวอันตรายหรือครับ"
"ไม่เลย ที่อันตรายมีไม่กี่แห่งหรอกครับ และผมก็หลีกเลี่ยงที่เหล่านั้นเสมอ"
ตกลงว่าสุชาติตกลงไปกับผม และเราก็ไปทานข้าวเย็นด้วยกันหลังเลิกงาน จากนั้นเขาก็กลับมาพักกับผมในบ้านพักครูในโรงเรียน ที่จริงสุชาติมีบ้านเช่าอยู่นอกโรงเรียน แต่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางอย่างเต็มที่ เขาจึงให้ผมขับรถไปส่งที่บ้าน เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่คิดว่าจำเป็นเล็กน้อยที่บ้านเรียบร้อยแล้วเราสองคนก็ออกจากบ้านเช่าหลังนั้น กลับสู่บ้านพักครูของผม ซึ่งมีห้องว่างอยู่หนึ่งห้องพอดี
คืนนั้นเราดื่มกันนิดหน่อย ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ก็แยกกันเข้านอน
...................
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เวลาตีห้า ตามที่ผมกำหนดไว้ ผมและสุชาตินั่งรถออกจากโรงเรียน โดยผมเป็นคนขับก่อน กะว่าเมื่อไรที่รู้สึกเหนื่อยเพลีย ก็ค่อยให้เขาสลับขับแทนบ้าง
"ผมเองก็ไม่ได้ไปเหนือมาปีหนึ่งแล้ว แต่ GPS คงช่วยได้" ผมและสุชาติคุยกันไปเรื่อยในระหว่างการเดินทาง
"อ้าว ทำไมมาเส้นนี้ล่ะ" สุชาติทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นผมเลี้ยวรถไปทางหนึ่ง
"อ๋อ มาเอาซุ้มขายของ แล้วจะเลยไปเอากล้ามะนาวที่ฉะเชิงเทราครับ"
ผมตอบแล้วเขาก็พยักหน้าหงึกๆ และถามต่อ
"แล้วเราจะแวะทานข้าวเช้าที่ไหนครับ"
"เราจะไปกินกันที่ชัยนาท ไหวไหม" ผมถามกลับ ลองหยั่งเชิงเขาดู
"ได้ครับ"
"Ok แล้วค่อยสลับขับละกันนะ"
"จะวิ่งไปทาง พิษณุโลก หรือ ตากครับ"
"ไปพิษณุโลก แล้วก็ลำปางครับ เดี๋ยวซื้ออะไรไว้กินในรถเลย จะได้ไม่ต้องแวะที่ไหนอีก"
"ถึงลำปางแล้วสลับนะครับ"
"ครับ แวะเอาของแล้วไปต่อเลย"
.........................
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัวด้วยความเพลิดเพลิน
"เริ่มมืดแล้ว นัดเขาไว้กี่โมงครับ" สุชาติถาม แล้วอ้าปากหาว
"ราวทุ่มสองทุ่ม ช่วยดู GPS ด้วยครับ ผมตั้งไว้แล้วครับ" ผมตอบขณะขับรถอย่างตั้งใจ มองไปข้างหน้า
"จำทางได้ไหม GPS คงมั่วแน่ รู้สึกว่าเราจะเคยวิ่งมาทางนี้นะ" เขาทักท้วง ขมวดคิ้ว
"ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ปีหนึ่งนี่อะไร ๆ เปลี่ยนไปมาก ยิ่งมืด ๆ มองอะไรไม่ชัดเลย แต่ไม่น่าผิด เราต้องไปทางอินทนนท์ครับ" ผมลังเลนิดหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตอบอย่างมั่นใจ
"นี่เราต้องขึ้นดอยหรือครับ แล้วสัญญาณ net จะมีหรือ"
"ใช่ครับ เราจะขึ้นดอยลูกของอินทนนท์ เขาว่ามีสัญญาณตลอดครับ ช่วยดูทางขวาด้วย ทางแยกจะมีตุ๊กตาปูนปั้นอยู่หลายตัวครับ"
สุชาติพยักหน้า ท่าทางเขารู้สึกผ่อนคลาย คงเห็นว่าผมจดจำรายละเอียดของเส้นทางได้ละเอียดกระมัง
แต่พอผมขับไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็พูดออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง
"เอ นี่นานแล้ว ยังไม่เห็นแยกที่มีตุ๊กตาเลย"
ผมจึงหยุดรถ แล้วหยิบมือถือขึ้นมา
"โทรไปถามดีกว่า เอ... ไม่มีสัญญาณเลยแฮะ ขอผมเดินดูรอบ ๆ สักหน่อย ผมว่าผมมาถูกทางแล้วแน่ ๆ"
หลังจากผมลงจากรถ ไปเดินสำรวจดูอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็กลับไปเพื่อจะขึ้นรถ
"สลับให้ผมขับเลยก็แล้วกัน คอยบอกทางด้วย" สุชาติว่า
"ค่อย ๆ ถอยหลังมาเลยครับ จำได้แล้ว" ผมบอก และเขามีหน้าตาแช่มชื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ผมกลับขึ้นไปนั่งในรถโดยสลับที่ให้เขานั่งประจำที่คนขับ ปล่อยให้เขาขับไป โดยมีผมคอยบอกทาง
"เอาละ ซ้ายครับ เดินหน้าช้า ๆ เดี๋ยวเจอแยก เลี้ยวขวาเลยครับ"
"เจอแล้ว ทางซ้ายมีตุ๊กตาจริง ๆ เลี้ยวเลยนะ"
"สัญญาณ net ขึ้นหรือยังครับ"
"มาแล้วครับ"
"ช้า ๆ เรากำลังจะขึ้นดอยแล้ว ระวังหน่อย ทางจะโค้งไปมาครับ"
"ซ้ายหรือขวาครับ"
"เดี๋ยว จอดหน่อยครับ สัญญาณไม่มีอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่าขวาหรือซ้ายครับตอนนี้" ผมบอกเขาและส่ายหน้า เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง เปิดประตูรถออกไปหลังจากสุชาติจอด
"ผมจะลองเดินหาสัญญาณดูนะครับ"
ออกไปเดินหาสัญญาณแล้วก็ไม่มีสัญญาณไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ผมเลยกลับขึ้นรถ
"ลองซ้ายก่อนก็แล้วกัน โทรก็ไม่ติดครับ" สุชาติบอกกับผมเมื่อเห็นผมทำหน้าเซ็งๆ เขาจึงตัดสินใจเอง
"ไม่น่าถูก ทางไม่น่าไปต่อได้" ผมบอกเขาหลังจากเราไปต่ออีกราวสิบนาที
รถหยุดอีกครั้ง
"ผมดูแล้ว ไม่น่าที่จะมีใครมาทางนี้นานแล้วครับ กลับไปลองทางขวาดูดีกว่า" ผมออกความเห็นและแนะนำสุชาติ
"เอ ผมว่าเรากำลังขับลงนะ"
"ใช่ครับ ทางมันลาดลง แต่ที่ผ่านมา ไม่มีทางแยกไปไหนได้เลย"
สักพักหนึ่ง เราสองคนก็งงกันเป็นไก่ตาแตก
"อ้าว เรากลับมาอยู่นี่ได้ยังไง นี่มันแถว ๆ ทางที่เราขึ้น ผมจำได้ จอดหน่อยครับ" ผมรีบบอก ทันทีที่จำที่ตรงนั้นได้ และรู้สึกตะหงิดๆใจขึ้นมา
"ใช่เลย พอผมเดินเลี้ยวก็เห็นตุ๊กตาอยู่แต่ไกล ชักไม่ดีแฮะ ผมว่า เราสวดมนต์กันสักหน่อยดีกว่า" สุชาติพูดเสียงสั่นเล็กน้อย
"เรามาทำประโยชน์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองแน่ ๆ ไปต่อกันเลยครับ" ผมพยายามปลอบเรียกขวัญกำลังใจเขา เป็นสิ่งสำคัญมากในยามนี้
สุชาตินั่งสวดมนต์ นะโมตัสสะ...หลายรอบ ก่อนจะยกมือพนมขึ้นท่วมหัว ผมเองก็พนมมือไหว้อธิษฐานในใจ
"สาธุ เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทาง ลูกหลานกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกันกับเพื่อน พวกเรามาดีมีกุศลจิต จะมาทำบุญด้วย ขากลับลูกหลานจะจัดเตรียมตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นอาหารหวานคาวชุดใหญ่และตุ๊กตาตัวใหม่มาถวาย โปรดเปิดทางให้ลูกหลานไปถึงที่หมายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ"
รถวิ่งไปต่อ...จนกระทั่ง...
"อ้า นั่นไงประตูทางเข้าหมู่บ้าน" สุชาติท่าทางดีอกดีใจ
"ไปจอดตรงนั้นเลยครับ สามทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่ต้องเอากระเป๋าลง ไปทักทายเขากันก่อน จะได้รู้ว่าเราจะได้นอนบ้านหลังไหน" ผมบอกเขาและชี้มือไปยังชายคนหนึ่งซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน ไอ้โต หรือชื่อจริงคือ ประกาศิต เพื่อนเก่าของผมสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง
"เฮ่ย ทำไมมาถึงซะมืดค่ำ เกิดอะไรขึ้น นั่ง ๆ อะไรกัน โทรไปก็ไม่รับ เรารอนานจนทนหิวไม่ไหว เลยต้องกินกันก่อน" ไอ้โตโวยผมเล็กน้อย
"ไม่มีอะไรมากหรอกเพื่อน เราเจอ
'การต้อนรับ' จากเจ้าที่เจ้าทางนิดหน่อย ไว้เล่าให้ฟังในวงเหล้าละกันนะ" ผมตอบ ไอ้โตยิ้ม
"รู้ละ เจอให้ขับวนกลับที่เดิมใช่มะ เจอกันมาหลายรายแล้ว ไม่ได้บีบแตร ไม่ได้ไหว้ตอนจะขับรถผ่านกันล่ะสิ"
ผมและสุชาติส่ายหน้าทั้งคู่
"เปิงก้ะ" ไอ้โตโพล่งภาษาล้านนาออกมา ซึ่งแปลว่า
"สมควรแหละ"
/// จบ ///
ถุงมือ เจ้าป่าเจ้าเขา + ถุงมือ เจ้าที่เจ้าทาง
😱🌴🦅 ถุงมือยามว่าง-เรื่องสั้น แต่งคู่ #21 "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ถุงมือ เจ้าป่าเจ้าเขา + ถุงมือ เจ้าที่เจ้าทาง🌴🦅😱
เรื่องนี้ เป็นการ "ร่วมกันเขียน" ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการแบ่งส่วน หมายความว่า คนหนึ่งเขียนมาก่อน และอีกคนหนึ่งก็ช่วยเสริมเติมแต่ง ประมาณนี้
เพราะฉะนั้น ก็ให้ตอบ "สองถุงมือ" นะครับ ว่า ใครเขียนก่อน ใครเป็นคนแต่งเติม
เชิญอ่านได้เลยครับ....
"สวัสดีครับ อาจารย์ ตอนนี้ยังมีชั้นสอนอีกหรือ ?"
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง สำเนียงคุ้นๆ ทำให้ผมต้องเหลียวไปดูตรงระเบียงทางซ้ายที่เขากำลังเดินมา ในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปห้องเรียนชั้น ม.3/1
"ครับ ชั่วโมงสุดท้ายแล้วครับ" ผมตอบเขาแล้วยิ้มให้ นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็คือ สุชาติ อาจารย์สอนวิชาพลศึกษา เพื่อนใหม่ของผมนั่นเอง
"ถ้าเลิกแล้ว มาที่ห้องอาหาร ทานข้าวด้วยกันหน่อยนะครับ" อาจารย์หนุ่มหุ่นล่ำบึ้กเอ่ยชวน
"ได้เลยครับ ว่าแต่ อาจารย์ว่างสักสามสี่วันไหมครับ จะชวนไปเที่ยวทางเหนือสักหน่อย อยากมีเพื่อนผลัดกันขับและช่วยยกของบ้างน่ะครับ แหะๆ" ผมได้ทีก็เลยออกปากชวนบ้าง สุชาติเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากทีเดียว เท่าที่ผมได้คบกับเขามา แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก
"ก็ว่างราวสี่ห้าวันครับ" คำตอบของเขาเท่ากับการตอบตกลง ผมอนุมาณว่างั้น เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็น่าจะปฏิเสธกลับมาแล้ว
"อย่างนั้น คืนนี้ค้างที่นี่เลย จะได้ออกสักตีห้า เราต้องแวะเอาของตามเส้นทางด้วยครับ" ผมจึงจัดการพูดมัดตัวเขาไว้เลย
"อาจารย์ไปเหนือบ่อยอยู่แล้ว เส้นทางคงคล่อง"
"ไม่หรอก ไม่ได้ไปเกือบสิบปีแล้วครับ ระยะหลังไปสามจังหวัดชายแดนใต้ครับ"
"ไม่กลัวอันตรายหรือครับ"
"ไม่เลย ที่อันตรายมีไม่กี่แห่งหรอกครับ และผมก็หลีกเลี่ยงที่เหล่านั้นเสมอ"
ตกลงว่าสุชาติตกลงไปกับผม และเราก็ไปทานข้าวเย็นด้วยกันหลังเลิกงาน จากนั้นเขาก็กลับมาพักกับผมในบ้านพักครูในโรงเรียน ที่จริงสุชาติมีบ้านเช่าอยู่นอกโรงเรียน แต่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางอย่างเต็มที่ เขาจึงให้ผมขับรถไปส่งที่บ้าน เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่คิดว่าจำเป็นเล็กน้อยที่บ้านเรียบร้อยแล้วเราสองคนก็ออกจากบ้านเช่าหลังนั้น กลับสู่บ้านพักครูของผม ซึ่งมีห้องว่างอยู่หนึ่งห้องพอดี
คืนนั้นเราดื่มกันนิดหน่อย ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ก็แยกกันเข้านอน
...................
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เวลาตีห้า ตามที่ผมกำหนดไว้ ผมและสุชาตินั่งรถออกจากโรงเรียน โดยผมเป็นคนขับก่อน กะว่าเมื่อไรที่รู้สึกเหนื่อยเพลีย ก็ค่อยให้เขาสลับขับแทนบ้าง
"ผมเองก็ไม่ได้ไปเหนือมาปีหนึ่งแล้ว แต่ GPS คงช่วยได้" ผมและสุชาติคุยกันไปเรื่อยในระหว่างการเดินทาง
"อ้าว ทำไมมาเส้นนี้ล่ะ" สุชาติทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นผมเลี้ยวรถไปทางหนึ่ง
"อ๋อ มาเอาซุ้มขายของ แล้วจะเลยไปเอากล้ามะนาวที่ฉะเชิงเทราครับ"
ผมตอบแล้วเขาก็พยักหน้าหงึกๆ และถามต่อ
"แล้วเราจะแวะทานข้าวเช้าที่ไหนครับ"
"เราจะไปกินกันที่ชัยนาท ไหวไหม" ผมถามกลับ ลองหยั่งเชิงเขาดู
"ได้ครับ"
"Ok แล้วค่อยสลับขับละกันนะ"
"จะวิ่งไปทาง พิษณุโลก หรือ ตากครับ"
"ไปพิษณุโลก แล้วก็ลำปางครับ เดี๋ยวซื้ออะไรไว้กินในรถเลย จะได้ไม่ต้องแวะที่ไหนอีก"
"ถึงลำปางแล้วสลับนะครับ"
"ครับ แวะเอาของแล้วไปต่อเลย"
.........................
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัวด้วยความเพลิดเพลิน
"เริ่มมืดแล้ว นัดเขาไว้กี่โมงครับ" สุชาติถาม แล้วอ้าปากหาว
"ราวทุ่มสองทุ่ม ช่วยดู GPS ด้วยครับ ผมตั้งไว้แล้วครับ" ผมตอบขณะขับรถอย่างตั้งใจ มองไปข้างหน้า
"จำทางได้ไหม GPS คงมั่วแน่ รู้สึกว่าเราจะเคยวิ่งมาทางนี้นะ" เขาทักท้วง ขมวดคิ้ว
"ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ปีหนึ่งนี่อะไร ๆ เปลี่ยนไปมาก ยิ่งมืด ๆ มองอะไรไม่ชัดเลย แต่ไม่น่าผิด เราต้องไปทางอินทนนท์ครับ" ผมลังเลนิดหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตอบอย่างมั่นใจ
"นี่เราต้องขึ้นดอยหรือครับ แล้วสัญญาณ net จะมีหรือ"
"ใช่ครับ เราจะขึ้นดอยลูกของอินทนนท์ เขาว่ามีสัญญาณตลอดครับ ช่วยดูทางขวาด้วย ทางแยกจะมีตุ๊กตาปูนปั้นอยู่หลายตัวครับ"
สุชาติพยักหน้า ท่าทางเขารู้สึกผ่อนคลาย คงเห็นว่าผมจดจำรายละเอียดของเส้นทางได้ละเอียดกระมัง
แต่พอผมขับไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็พูดออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง
"เอ นี่นานแล้ว ยังไม่เห็นแยกที่มีตุ๊กตาเลย"
ผมจึงหยุดรถ แล้วหยิบมือถือขึ้นมา
"โทรไปถามดีกว่า เอ... ไม่มีสัญญาณเลยแฮะ ขอผมเดินดูรอบ ๆ สักหน่อย ผมว่าผมมาถูกทางแล้วแน่ ๆ"
หลังจากผมลงจากรถ ไปเดินสำรวจดูอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็กลับไปเพื่อจะขึ้นรถ
"สลับให้ผมขับเลยก็แล้วกัน คอยบอกทางด้วย" สุชาติว่า
"ค่อย ๆ ถอยหลังมาเลยครับ จำได้แล้ว" ผมบอก และเขามีหน้าตาแช่มชื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ผมกลับขึ้นไปนั่งในรถโดยสลับที่ให้เขานั่งประจำที่คนขับ ปล่อยให้เขาขับไป โดยมีผมคอยบอกทาง
"เอาละ ซ้ายครับ เดินหน้าช้า ๆ เดี๋ยวเจอแยก เลี้ยวขวาเลยครับ"
"เจอแล้ว ทางซ้ายมีตุ๊กตาจริง ๆ เลี้ยวเลยนะ"
"สัญญาณ net ขึ้นหรือยังครับ"
"มาแล้วครับ"
"ช้า ๆ เรากำลังจะขึ้นดอยแล้ว ระวังหน่อย ทางจะโค้งไปมาครับ"
"ซ้ายหรือขวาครับ"
"เดี๋ยว จอดหน่อยครับ สัญญาณไม่มีอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่าขวาหรือซ้ายครับตอนนี้" ผมบอกเขาและส่ายหน้า เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง เปิดประตูรถออกไปหลังจากสุชาติจอด
"ผมจะลองเดินหาสัญญาณดูนะครับ"
ออกไปเดินหาสัญญาณแล้วก็ไม่มีสัญญาณไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ผมเลยกลับขึ้นรถ
"ลองซ้ายก่อนก็แล้วกัน โทรก็ไม่ติดครับ" สุชาติบอกกับผมเมื่อเห็นผมทำหน้าเซ็งๆ เขาจึงตัดสินใจเอง
"ไม่น่าถูก ทางไม่น่าไปต่อได้" ผมบอกเขาหลังจากเราไปต่ออีกราวสิบนาที
รถหยุดอีกครั้ง
"ผมดูแล้ว ไม่น่าที่จะมีใครมาทางนี้นานแล้วครับ กลับไปลองทางขวาดูดีกว่า" ผมออกความเห็นและแนะนำสุชาติ
"เอ ผมว่าเรากำลังขับลงนะ"
"ใช่ครับ ทางมันลาดลง แต่ที่ผ่านมา ไม่มีทางแยกไปไหนได้เลย"
สักพักหนึ่ง เราสองคนก็งงกันเป็นไก่ตาแตก
"อ้าว เรากลับมาอยู่นี่ได้ยังไง นี่มันแถว ๆ ทางที่เราขึ้น ผมจำได้ จอดหน่อยครับ" ผมรีบบอก ทันทีที่จำที่ตรงนั้นได้ และรู้สึกตะหงิดๆใจขึ้นมา
"ใช่เลย พอผมเดินเลี้ยวก็เห็นตุ๊กตาอยู่แต่ไกล ชักไม่ดีแฮะ ผมว่า เราสวดมนต์กันสักหน่อยดีกว่า" สุชาติพูดเสียงสั่นเล็กน้อย
"เรามาทำประโยชน์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองแน่ ๆ ไปต่อกันเลยครับ" ผมพยายามปลอบเรียกขวัญกำลังใจเขา เป็นสิ่งสำคัญมากในยามนี้
สุชาตินั่งสวดมนต์ นะโมตัสสะ...หลายรอบ ก่อนจะยกมือพนมขึ้นท่วมหัว ผมเองก็พนมมือไหว้อธิษฐานในใจ
"สาธุ เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทาง ลูกหลานกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกันกับเพื่อน พวกเรามาดีมีกุศลจิต จะมาทำบุญด้วย ขากลับลูกหลานจะจัดเตรียมตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นอาหารหวานคาวชุดใหญ่และตุ๊กตาตัวใหม่มาถวาย โปรดเปิดทางให้ลูกหลานไปถึงที่หมายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ"
รถวิ่งไปต่อ...จนกระทั่ง...
"อ้า นั่นไงประตูทางเข้าหมู่บ้าน" สุชาติท่าทางดีอกดีใจ
"ไปจอดตรงนั้นเลยครับ สามทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่ต้องเอากระเป๋าลง ไปทักทายเขากันก่อน จะได้รู้ว่าเราจะได้นอนบ้านหลังไหน" ผมบอกเขาและชี้มือไปยังชายคนหนึ่งซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน ไอ้โต หรือชื่อจริงคือ ประกาศิต เพื่อนเก่าของผมสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง
"เฮ่ย ทำไมมาถึงซะมืดค่ำ เกิดอะไรขึ้น นั่ง ๆ อะไรกัน โทรไปก็ไม่รับ เรารอนานจนทนหิวไม่ไหว เลยต้องกินกันก่อน" ไอ้โตโวยผมเล็กน้อย
"ไม่มีอะไรมากหรอกเพื่อน เราเจอ 'การต้อนรับ' จากเจ้าที่เจ้าทางนิดหน่อย ไว้เล่าให้ฟังในวงเหล้าละกันนะ" ผมตอบ ไอ้โตยิ้ม
"รู้ละ เจอให้ขับวนกลับที่เดิมใช่มะ เจอกันมาหลายรายแล้ว ไม่ได้บีบแตร ไม่ได้ไหว้ตอนจะขับรถผ่านกันล่ะสิ"
ผมและสุชาติส่ายหน้าทั้งคู่
"เปิงก้ะ" ไอ้โตโพล่งภาษาล้านนาออกมา ซึ่งแปลว่า "สมควรแหละ"