ช่วงนี้ เป็นช่วงที่คนไทยนิยมไปเที่ยว ย่าติง ที่เรียกได้ว่าเป็นแชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่เรียกว่า Untouched Nature ซึ่งอยู่สูงถึง 4600-4700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ไอ้เราคนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะไหวกะเค้ามั้ย???? ด้วยความที่เพื่อนบอกว่ารวบรวมคนได้ทั้งหมด 6 คน ซึ่งเป็นช่วงที่สายการบินต้นทุนต่ำสีแดงของไทยออกโปรมาพอดี พวกเราคิดว่าค่าตั๋วเครื่องบินน่าจะราวๆ4พันบาท แต่พวกเราอยากไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่เค้าว่าสวยที่สุด กับช่วงที่ติดวันหยุกนักขัตฤกษ์ด้วย สุดท้ายก็มาจบกันที่ช่วงประมาณวันที่ 19-27 ตุลาคม 2562 ซึ่งคาบเกี่ยวระหว่างเสาร์อาทิตย์ 2 ครั้งกับวันปิยะมหาราชพอดี มาเลือกดูตั๋วเครื่องบิน ทีแรกตั้งใจว่าจะจองตั๋วจากกรุงเทพไปลงคุนหมิง แล้วค่อยนั่งรถไฟและรถบัสต่อไปอีกที ดูไปดูมา กว่าจะได้จองจริงๆก็ราคาไป4พันกว่าแล้ว แถมยังต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าและค่าธรรมเนียมชำระเงินอีก
สุดท้ายเลยลองทางเลือกใหม่ บินกับ Lucky Air ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ของจีน เบสที่คุนหมิง โดยจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ จากกรุงเทพ ไป ตี้ชิง DIG (Diqing) ที่แชงกรีล่า(จงเตี้ยน) เลย ในราคาคนละ 6,430.-บาท ตอนแรกจองไปทั้งหมด 6 คน จากนั้นไม่นานก็มีสมาชิกเพิ่มอีก 1คน และก่อนเดินทางประมาณ 2 เดือน มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน โดย2 คนสุดท้ายนี้จองตั๋วเครื่องบินราคาสูงกว่ากลุ่มแรกอยู่ประมาณคนละ 2,000.-บาท เดินทางครั้งนี้ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ คุนหมิง แต่รอเปลี่ยนเครื่องนานมาก จะเช็คอินให้ขาเดียวก่อน คือกรุงเทพไปคุนหมิง พอถึงคุนหมิง ต้องผ่าน ตม. แล้วมารับกระเป๋า แล้วค่อยไปเช็คอินก่อนเครื่องออกประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่มีการ Check Through แล้วนั่งสบายในบริเวณ Gate ในสนามบินนะฮ้าบ (สายการบิน Lucky Air เป็น Low Cost Airline แต่ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ) เพื่อนบางคนเกือบไปดอนเมือง
ขาไป
18th Oct 19 : BKK 20.55 – KMG 00.19+1
19th Oct 19 : KMG 07.05 – DIG 08.20
ขากลับ
26th Oct 19 : DIG 09.05 – KMG 10.10
26th Oct 19 : KMG 18.30 – BKK 19.44
การไปเที่ยวประเทศจีน คนไทยต้องขอวีซ่าเข้าประเทศด้วย โดยไปขอจากศูนย์รับยื่นเรื่องขอวีซ่าที่ได้การรับรองจากทางการจีน ศูนย์จะอยู่ที่อาคารธนภูมิ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ใกล้กับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดูรายละเอียดได้จาก
http://www.visaforchina.org/BKK_TH/
วันที่จะไปขอวีซ่าและสมาชิกในกลุ่มขอข้อมูลกัน ทำให้เรารู้ว่า สายการบินมีการเปลี่ยนแปลงเวลาของเที่ยวบิน KMG-DIG และ DIG-KMG
จากเดิม KMG 11.15 – DIG 12.30 เป็น KMG 07.05 – DIG 08.20 ซึ่งเราไม่มีปัญหาอะไร เพราะเราแพลนว่าไปถึงจงเตี้ยนก็จะพักผ่อนปรับร่างกายให้คุ้นเคยกับที่สูงอยู่แล้ว
และ จากเดิม DIG 13.20 – KMG 14.30 เป็น DIG 09.05 – KMG 10.10 ซึ่งทำให้แผนการเดินทางเพี้ยนไป เพราะเราตั้งใจว่าจะเดินทางจาก Lijiang ในช่วงเช้าของวันที่ 26th Oct 19 โดยจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จากลี่เจียงถึงสนามบิน DIG ซึ่งเราพยายามโทรติดต่อสายการบินหลายครั้ง แต่เป็นสัญญาณตอบอัตโนมัติเป็นภาษาจีน และพอเราให้เพื่อนคนจีนที่อยู่ในจีนติดต่อไป ทางสายการบินก็บอกว่าไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ เพราะไม่ใช้ผู้เดินทางโทรมาเอง
ในวันที่เช็คอินที่สุวรรณภูมิ เราได้แจ้งเรื่องที่เราไม่สามารถมาสนามบินทันตามกำหนดเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาบิน เจ้าหน้าที่เช็คอินแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ที่ไทยไม่สามารถดูข้อมูลได้ แต่ส่งเรื่องไปให้แล้วและให้เราติดต่ออีกทีกับสายการบินที่คุนหมิงเลย ซึ่งการเช็คอินก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจองมาด้วยกันและเช็คอินพร้อมกันก็จะได้นั่งด้วยกันเครื่องที่ใช้จะเป็น Boeing737 แถวละ 6 ที่นั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง ไม่มีระบบเอนเตอร์เทนเมนต์ใดๆทั้งสิ้น บนเครื่องจะมีขายเครื่องดื่มของว่างเล็กๆน้อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่คนบินไฟลต์นี้จะหลับกันเป็นส่วนใหญ่
พอถึงสนามบินคุนหมิง ก็ต้องผ่าน ตม. ซึ่งคิวตรวจคนเข้าเมืองของชาวต่างชาติแถวค่อนข้างยาว กว่าจะผ่าน ตม.ครบทั้ง 9 คน และรับกระเป๋า ออกมากันก็เกือบตี2 แระ พวกเราก็ลงมาหาที่พักโดยเดินตามป้ายบอกทางที่เขียนว่า Resting Area ที่อยู่ชั้น B1 พอลงไปก็จะเห็นเก้าอี้นวดเรียงรายกันอยู่เต็ม มีคนจับจองอยู่ก่อนแล้วประมาณ 90% ของทั้งหมด เก้าอี้นวดนี้ถ้านั่งเฉยๆจะไม่สบายเลยเพราะเป็นปุ่มนวด นั่งแล้วแทงหลัง แต่ถ้าใครอยากนวดก็จ่ายเงินผ่านQR Code น่าจะเป็นระบบจ่ายเงินของจีนเท่านั้น พวก Alipay WeChatPay พวกนั้น จะสแกน QR จาก App ธนาคารไทยไม่ได้นะคะ
ในสนามบินคุนหมิงเปิดแอร์อากาศค่อนข้างเย็น (ไม่รู้หน้าร้อนจะเย็นแบบนี้ป่าว?) แต่จะมีบริการให้เช่าผ้าห่มไว้ห่มนอนในสนามบินด้วย แต่พวกเรามาเห็นก็ตอนเช้าแล้วเลยไม่ได้ถามรายละเอียด
พอเราไปที่เคาท์เตอร์สายการบินลัคกี้แอร์ แจ้งปัญหาพร้อมทั้งเอา Booking ให้ดู เจ้าหน้าที่สายการบินก็พยายามติดต่อ เปลี่ยนแปลงเที่ยวบินให้ ซึ่งทางเราแจ้งว่าเราจะขอเปลี่ยนแปลงวันเดินทางให้สอดคล้องกับแผนการเดินทางของเรา โดยขอให้สายการบินเปลี่ยนวันเดินทางจาก 26 เป็น 27เช้า หรือบินเช้าวันที่ 26 จากสนามบินลี่เจียงแทน แต่ทางเลือกแรกไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินจากตี้ชิงมาที่คุนหมิงในวันอาทิตย์ ส่วนการเปลี่ยนสนามบินจาก DIG เป็นลี่เจียงนั้น เกินอำนาจที่เค้าจะทำได้ แล้วก็ให้เบอร์ติดต่อสายด่วนซึ่งเป็นสายที่มีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ให้ไปติดต่ออีกทีภายหลัง เพราะใกล้เวลาเครื่องออกจากคุนหมิงไปตี้ชิงแล้ว พวกเราเลยรีบไปขึ้นเครื่องก่อน วิ่งเลยค่ะ เค้าบอกให้ไปเข้าสแกนตรวจที่ช่อง1 ซึ่งเป็นช่องของ Business Class เลย ทุกคนผ่านไปไม่มีปัญหา ติดอยู่ที่น้องคนนึงเอา Power Bank ขนาด 30,000 ไปด้วย เจ้าหน้าที่ของสนามบินบอกว่าต้องติดต่อสายการบินก่อนกรณีที่power bank มีขนาดเกิน 20,000.- หากสายการบินอนุญาตก็สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ถ้าสายการบินไม่อนุญาตก็ต้องทิ้งไว้ตรงนั้น รอประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า โอเคเอาไปได้ วิ่งขาขวิดซิคะ ที่นี่ประตูเครื่องจะปิดก่อนเครื่องออก 10 นาที เราเลยยังพอมีเวลา ไปถึงประตูทางเข้าเครื่องก็ยังไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย อาจเป็นเพราะสายการบินเปิดให้เช็คอินเวลาค่อนข้างน้อย (ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าก่อนตารางบิน) เลยมีผู้โดยสารตกค้างอยู่
พอไปถึงสนามบินตี้ชิง แล้ว ก็มีรถรับส่งฟรีของที่พักที่เราจองไว้ รับจากสนามบินไปส่งที่พัก Home Away From Home ซึ่งเป็นที่พักที่เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย เพราะมีน้องหมิวซึ่งเป็นคนไทยทำงานอยู่ที่นี่ด้วย ช่วงที่อยู่ไทยก็ได้พูดคุยกับน้องหมิวผ่าน Line และ Wechat เรื่องแผนการเดินทางมาคร่าวๆ โดยเราให้น้องหมิวจัดรถตู้เหมาไปที่ Riwa เลย ในราคาไปกลับ 4,400.-CNY คิดดูแล้วก็แพงกว่าเดินทางเองอยู่ แต่เราเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ ความสะดวกเลยต้องมี มัดจำไป 440 CNY โดยจ่ายเป็นเงินไทยเข้าบัญชีในไทย แล้วที่เหลือไปจ่ายเป็นเงินหยวนของจีนที่ที่พักได้
วันที่ 19th Oct 19 มาถึงแชงกรีล่า ช่วงเช้า เข้าที่พัก และพักผ่อนก่อน เพราะเหนื่อยล้าจากการนอนไม่เต็มอิ่มที่สนามบินคุนหมิง เดินขึ้นห้องไปชั้น2 รู้สึกยังก๊ะวิ่งแข่ง100เมตร นอนพัก พอช่วงบ่ายก็ขอเหมารถรับส่งไปกลับ(ราคารวม 200CNY ได้รถเก๋ง 2 คัน) ไปวัดซงจ้านหลิน Songzhanlin 松赞林寺 (อ่านว่า ซง-จ้าน-หลิน-ซื่อ) เป็นวัดฑิเบตที่จำลองมาจากพระราชวังโปตาลาในฑิเบต ไปถึงจะต้องเสียค่าเข้าคนละ 75CNY ซึ่งเป็นค่าเข้าชมสถานที่และค่ารถบัสที่รับส่งจากประตูทางเข้าไปยังวัดด้วย แต่เราจะต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอซื้อตั๋วแบบ 75 หยวน ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะขายตั๋วใบละ 90 หยวนให้เรา ซึ่งเป็นตั๋วที่รวมไกด์ซึ่งพูดภาษาจีนไว้(แต่เราฟังไม่ออก) เวลาไปซื้อตั๋วก็บอกว่า (ชี-สือ-อู่-หยวน-เพี่ยว = 75 Yuan Ticket) จะซื้อกี่ใบก็ชูนิ้วเอา พอได้ตั๋วแล้วก็เดินผ่านจุดตรวจสแกนตั๋ว แล้วก็รอรถบัสตรงนั้นเลย รถจะมีจุดจอดอยู่ 3 แห่ง เราลงระหว่างทางก้ได้
ตั๋วราคา 75 หยวนจะได้ตั๋วมาคนละ 2 ใบ

ด้านหน้าตั๋ว

ด้านหลังตั๋ว

รถบัสที่โดยสารไปถึงทางเข้าวัดซงจ้านหลิน

จุดลงรถบัสก็จะเห็นภาพของวัดชัดเจน ไม่มีหลง

+
แผนที่ของวัดซงจ้านหลิน

จะขึ้นถึง Main Hall ก็เดินขึ้นบันไดไปพอสมควร บวกอากาศอันเบาบาง เลยต้องหยุดพักหายใจเป็นระยะๆ

ลานด้านหน้า Main Hall ตรงกลางเลย สามารถเดินเข้าไปในอารามได้ แต่ด้านในห้ามถ่ายรูป รวมทั้งต้องถอดหมวกและแว่นตากันแดดออกด้วย

ด้านบนของวัด

ด้านนอกของหอพระ ที่เดินขึ้นไปด้านบน สีสันสดใสตามสไตล์ฑิเบต ที่เป็นพุทธศาสนานิกายวัชรยาน
พอลงมาด้านล่างก็เดินไปทางทะเลสาบหน้าวัด เพื่อชมภาพของวัดทั้งหมดในมุมกว้าง

ภาพวัดซงจ้านหลินจากฝั่งทะเลสาบ

น้ำในทะเลสาบเหือดแห้งเชียว มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปในชุดพื้นเมือง

เดินจากจุดสุดทางของทะเลสาบออกมาขึ้นรถบัสที่จุดจอดได้ แต่จุดนี้จะมีบัสหลายแบบ ซึ่งบางคันจะเป็นรถที่คนอยู่ในพื้นที่ใช้โดยสาร จะต้องจ่ายค่าโดยสารอีกคนละ 1 หยวน ซึ่งไม่รวมอยู่ในตั๋วที่ซื้อมาซึ่งเป็นของวัด ถ้าจะใช้รถของวัดจะต้องรอไป ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าคันไหน ใช้โชว์ตั๋วถามไปเรื่อยๆ แหะๆๆๆ
พอมาถึงทางลงรถบัส รถที่เราจ้างเหมามาก็มารอรับ ระหว่างทางกลับที่พัก ก็วนผ่านทะเลสาบถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็กลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปย่าติงแต่เช้า

ยามเย็นที่ทะเลสาบในแชงกรีล่า (จงเตี้ยน)
ตอนเย็นเข้ามาพักแล้วก้กินหม้อไฟจามรี ที่ร้านอาหารของที่พัก

หม้อไฟเนื้อจามรี เค้าหั่นเป็นก้อนๆแล้วต้ม บางชิ้นติดเอ็นก็จะเหนียว น้ำซุปมีให้เลือก 2 แบบ ก็แบบปกติ กับแบบเปรี้ยว เราสั่งแบบเปรี้ยว สั่งขนาดกลาง ในราคา 158 CNY ต่อหม้อ แต่รู้สึกไม่ค่อยถูกปาก เพราะมันมาก ถ้าตักซุปมาในชามเราแล้วต้องรีบกิน เพราะรอซักพักมันจะขึ้นไข เพราะอากาศที่นี่เย็นมาก กินๆไปอยากได้เนื้อๆเน้นๆเลยสั่งเนื้อจามรีสไลด์มาเพิ่ม ในราคา 58 CNY ต่อจาน อันนี้ดีงาม (ตอนกลับมาจากย่าติง ถึงแชงแล้วไปเดินเล่นในเมืองเก่ากิน Hotpot & BBQ อร่อยเริ่ด เด๋วค่อยมาบอกชื่อร้านอีกที)

อันนี้ถูกปากอร่อยเลย กินกันไปคิดเงินแล้วจ่ายค่าเสียหายไป 222 CNY ที่นี่เค้าคิดค่าน้ำจิ้มด้วยนะ ถ้วยละ 2 หยวน แต่น้ำชาร้อนในร้านฟรีไม่คิดเงิน ท้องอิ่มแล้วกลับขึ้นที่พักไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้เดินทางต่อ
**ภาพถ่ายใช้มือถือถ่ายทั้งหมดค่ะ**
หาทางไปย่าติง
สุดท้ายเลยลองทางเลือกใหม่ บินกับ Lucky Air ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ของจีน เบสที่คุนหมิง โดยจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ จากกรุงเทพ ไป ตี้ชิง DIG (Diqing) ที่แชงกรีล่า(จงเตี้ยน) เลย ในราคาคนละ 6,430.-บาท ตอนแรกจองไปทั้งหมด 6 คน จากนั้นไม่นานก็มีสมาชิกเพิ่มอีก 1คน และก่อนเดินทางประมาณ 2 เดือน มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน โดย2 คนสุดท้ายนี้จองตั๋วเครื่องบินราคาสูงกว่ากลุ่มแรกอยู่ประมาณคนละ 2,000.-บาท เดินทางครั้งนี้ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ คุนหมิง แต่รอเปลี่ยนเครื่องนานมาก จะเช็คอินให้ขาเดียวก่อน คือกรุงเทพไปคุนหมิง พอถึงคุนหมิง ต้องผ่าน ตม. แล้วมารับกระเป๋า แล้วค่อยไปเช็คอินก่อนเครื่องออกประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่มีการ Check Through แล้วนั่งสบายในบริเวณ Gate ในสนามบินนะฮ้าบ (สายการบิน Lucky Air เป็น Low Cost Airline แต่ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ) เพื่อนบางคนเกือบไปดอนเมือง
ขาไป
18th Oct 19 : BKK 20.55 – KMG 00.19+1
19th Oct 19 : KMG 07.05 – DIG 08.20
ขากลับ
26th Oct 19 : DIG 09.05 – KMG 10.10
26th Oct 19 : KMG 18.30 – BKK 19.44
การไปเที่ยวประเทศจีน คนไทยต้องขอวีซ่าเข้าประเทศด้วย โดยไปขอจากศูนย์รับยื่นเรื่องขอวีซ่าที่ได้การรับรองจากทางการจีน ศูนย์จะอยู่ที่อาคารธนภูมิ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ใกล้กับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดูรายละเอียดได้จาก http://www.visaforchina.org/BKK_TH/
วันที่จะไปขอวีซ่าและสมาชิกในกลุ่มขอข้อมูลกัน ทำให้เรารู้ว่า สายการบินมีการเปลี่ยนแปลงเวลาของเที่ยวบิน KMG-DIG และ DIG-KMG
จากเดิม KMG 11.15 – DIG 12.30 เป็น KMG 07.05 – DIG 08.20 ซึ่งเราไม่มีปัญหาอะไร เพราะเราแพลนว่าไปถึงจงเตี้ยนก็จะพักผ่อนปรับร่างกายให้คุ้นเคยกับที่สูงอยู่แล้ว
และ จากเดิม DIG 13.20 – KMG 14.30 เป็น DIG 09.05 – KMG 10.10 ซึ่งทำให้แผนการเดินทางเพี้ยนไป เพราะเราตั้งใจว่าจะเดินทางจาก Lijiang ในช่วงเช้าของวันที่ 26th Oct 19 โดยจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จากลี่เจียงถึงสนามบิน DIG ซึ่งเราพยายามโทรติดต่อสายการบินหลายครั้ง แต่เป็นสัญญาณตอบอัตโนมัติเป็นภาษาจีน และพอเราให้เพื่อนคนจีนที่อยู่ในจีนติดต่อไป ทางสายการบินก็บอกว่าไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ เพราะไม่ใช้ผู้เดินทางโทรมาเอง
ในวันที่เช็คอินที่สุวรรณภูมิ เราได้แจ้งเรื่องที่เราไม่สามารถมาสนามบินทันตามกำหนดเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาบิน เจ้าหน้าที่เช็คอินแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ที่ไทยไม่สามารถดูข้อมูลได้ แต่ส่งเรื่องไปให้แล้วและให้เราติดต่ออีกทีกับสายการบินที่คุนหมิงเลย ซึ่งการเช็คอินก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจองมาด้วยกันและเช็คอินพร้อมกันก็จะได้นั่งด้วยกันเครื่องที่ใช้จะเป็น Boeing737 แถวละ 6 ที่นั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง ไม่มีระบบเอนเตอร์เทนเมนต์ใดๆทั้งสิ้น บนเครื่องจะมีขายเครื่องดื่มของว่างเล็กๆน้อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่คนบินไฟลต์นี้จะหลับกันเป็นส่วนใหญ่
พอถึงสนามบินคุนหมิง ก็ต้องผ่าน ตม. ซึ่งคิวตรวจคนเข้าเมืองของชาวต่างชาติแถวค่อนข้างยาว กว่าจะผ่าน ตม.ครบทั้ง 9 คน และรับกระเป๋า ออกมากันก็เกือบตี2 แระ พวกเราก็ลงมาหาที่พักโดยเดินตามป้ายบอกทางที่เขียนว่า Resting Area ที่อยู่ชั้น B1 พอลงไปก็จะเห็นเก้าอี้นวดเรียงรายกันอยู่เต็ม มีคนจับจองอยู่ก่อนแล้วประมาณ 90% ของทั้งหมด เก้าอี้นวดนี้ถ้านั่งเฉยๆจะไม่สบายเลยเพราะเป็นปุ่มนวด นั่งแล้วแทงหลัง แต่ถ้าใครอยากนวดก็จ่ายเงินผ่านQR Code น่าจะเป็นระบบจ่ายเงินของจีนเท่านั้น พวก Alipay WeChatPay พวกนั้น จะสแกน QR จาก App ธนาคารไทยไม่ได้นะคะ
ในสนามบินคุนหมิงเปิดแอร์อากาศค่อนข้างเย็น (ไม่รู้หน้าร้อนจะเย็นแบบนี้ป่าว?) แต่จะมีบริการให้เช่าผ้าห่มไว้ห่มนอนในสนามบินด้วย แต่พวกเรามาเห็นก็ตอนเช้าแล้วเลยไม่ได้ถามรายละเอียด
พอเราไปที่เคาท์เตอร์สายการบินลัคกี้แอร์ แจ้งปัญหาพร้อมทั้งเอา Booking ให้ดู เจ้าหน้าที่สายการบินก็พยายามติดต่อ เปลี่ยนแปลงเที่ยวบินให้ ซึ่งทางเราแจ้งว่าเราจะขอเปลี่ยนแปลงวันเดินทางให้สอดคล้องกับแผนการเดินทางของเรา โดยขอให้สายการบินเปลี่ยนวันเดินทางจาก 26 เป็น 27เช้า หรือบินเช้าวันที่ 26 จากสนามบินลี่เจียงแทน แต่ทางเลือกแรกไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินจากตี้ชิงมาที่คุนหมิงในวันอาทิตย์ ส่วนการเปลี่ยนสนามบินจาก DIG เป็นลี่เจียงนั้น เกินอำนาจที่เค้าจะทำได้ แล้วก็ให้เบอร์ติดต่อสายด่วนซึ่งเป็นสายที่มีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ให้ไปติดต่ออีกทีภายหลัง เพราะใกล้เวลาเครื่องออกจากคุนหมิงไปตี้ชิงแล้ว พวกเราเลยรีบไปขึ้นเครื่องก่อน วิ่งเลยค่ะ เค้าบอกให้ไปเข้าสแกนตรวจที่ช่อง1 ซึ่งเป็นช่องของ Business Class เลย ทุกคนผ่านไปไม่มีปัญหา ติดอยู่ที่น้องคนนึงเอา Power Bank ขนาด 30,000 ไปด้วย เจ้าหน้าที่ของสนามบินบอกว่าต้องติดต่อสายการบินก่อนกรณีที่power bank มีขนาดเกิน 20,000.- หากสายการบินอนุญาตก็สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ถ้าสายการบินไม่อนุญาตก็ต้องทิ้งไว้ตรงนั้น รอประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า โอเคเอาไปได้ วิ่งขาขวิดซิคะ ที่นี่ประตูเครื่องจะปิดก่อนเครื่องออก 10 นาที เราเลยยังพอมีเวลา ไปถึงประตูทางเข้าเครื่องก็ยังไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย อาจเป็นเพราะสายการบินเปิดให้เช็คอินเวลาค่อนข้างน้อย (ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าก่อนตารางบิน) เลยมีผู้โดยสารตกค้างอยู่
พอไปถึงสนามบินตี้ชิง แล้ว ก็มีรถรับส่งฟรีของที่พักที่เราจองไว้ รับจากสนามบินไปส่งที่พัก Home Away From Home ซึ่งเป็นที่พักที่เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย เพราะมีน้องหมิวซึ่งเป็นคนไทยทำงานอยู่ที่นี่ด้วย ช่วงที่อยู่ไทยก็ได้พูดคุยกับน้องหมิวผ่าน Line และ Wechat เรื่องแผนการเดินทางมาคร่าวๆ โดยเราให้น้องหมิวจัดรถตู้เหมาไปที่ Riwa เลย ในราคาไปกลับ 4,400.-CNY คิดดูแล้วก็แพงกว่าเดินทางเองอยู่ แต่เราเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ ความสะดวกเลยต้องมี มัดจำไป 440 CNY โดยจ่ายเป็นเงินไทยเข้าบัญชีในไทย แล้วที่เหลือไปจ่ายเป็นเงินหยวนของจีนที่ที่พักได้
วันที่ 19th Oct 19 มาถึงแชงกรีล่า ช่วงเช้า เข้าที่พัก และพักผ่อนก่อน เพราะเหนื่อยล้าจากการนอนไม่เต็มอิ่มที่สนามบินคุนหมิง เดินขึ้นห้องไปชั้น2 รู้สึกยังก๊ะวิ่งแข่ง100เมตร นอนพัก พอช่วงบ่ายก็ขอเหมารถรับส่งไปกลับ(ราคารวม 200CNY ได้รถเก๋ง 2 คัน) ไปวัดซงจ้านหลิน Songzhanlin 松赞林寺 (อ่านว่า ซง-จ้าน-หลิน-ซื่อ) เป็นวัดฑิเบตที่จำลองมาจากพระราชวังโปตาลาในฑิเบต ไปถึงจะต้องเสียค่าเข้าคนละ 75CNY ซึ่งเป็นค่าเข้าชมสถานที่และค่ารถบัสที่รับส่งจากประตูทางเข้าไปยังวัดด้วย แต่เราจะต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอซื้อตั๋วแบบ 75 หยวน ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะขายตั๋วใบละ 90 หยวนให้เรา ซึ่งเป็นตั๋วที่รวมไกด์ซึ่งพูดภาษาจีนไว้(แต่เราฟังไม่ออก) เวลาไปซื้อตั๋วก็บอกว่า (ชี-สือ-อู่-หยวน-เพี่ยว = 75 Yuan Ticket) จะซื้อกี่ใบก็ชูนิ้วเอา พอได้ตั๋วแล้วก็เดินผ่านจุดตรวจสแกนตั๋ว แล้วก็รอรถบัสตรงนั้นเลย รถจะมีจุดจอดอยู่ 3 แห่ง เราลงระหว่างทางก้ได้
ตั๋วราคา 75 หยวนจะได้ตั๋วมาคนละ 2 ใบ
ด้านหน้าตั๋ว
ด้านหลังตั๋ว
รถบัสที่โดยสารไปถึงทางเข้าวัดซงจ้านหลิน
จุดลงรถบัสก็จะเห็นภาพของวัดชัดเจน ไม่มีหลง
แผนที่ของวัดซงจ้านหลิน
จะขึ้นถึง Main Hall ก็เดินขึ้นบันไดไปพอสมควร บวกอากาศอันเบาบาง เลยต้องหยุดพักหายใจเป็นระยะๆ
ลานด้านหน้า Main Hall ตรงกลางเลย สามารถเดินเข้าไปในอารามได้ แต่ด้านในห้ามถ่ายรูป รวมทั้งต้องถอดหมวกและแว่นตากันแดดออกด้วย
ด้านบนของวัด
ด้านนอกของหอพระ ที่เดินขึ้นไปด้านบน สีสันสดใสตามสไตล์ฑิเบต ที่เป็นพุทธศาสนานิกายวัชรยาน
พอลงมาด้านล่างก็เดินไปทางทะเลสาบหน้าวัด เพื่อชมภาพของวัดทั้งหมดในมุมกว้าง
ภาพวัดซงจ้านหลินจากฝั่งทะเลสาบ
น้ำในทะเลสาบเหือดแห้งเชียว มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปในชุดพื้นเมือง
เดินจากจุดสุดทางของทะเลสาบออกมาขึ้นรถบัสที่จุดจอดได้ แต่จุดนี้จะมีบัสหลายแบบ ซึ่งบางคันจะเป็นรถที่คนอยู่ในพื้นที่ใช้โดยสาร จะต้องจ่ายค่าโดยสารอีกคนละ 1 หยวน ซึ่งไม่รวมอยู่ในตั๋วที่ซื้อมาซึ่งเป็นของวัด ถ้าจะใช้รถของวัดจะต้องรอไป ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าคันไหน ใช้โชว์ตั๋วถามไปเรื่อยๆ แหะๆๆๆ
พอมาถึงทางลงรถบัส รถที่เราจ้างเหมามาก็มารอรับ ระหว่างทางกลับที่พัก ก็วนผ่านทะเลสาบถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็กลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปย่าติงแต่เช้า
ยามเย็นที่ทะเลสาบในแชงกรีล่า (จงเตี้ยน)
ตอนเย็นเข้ามาพักแล้วก้กินหม้อไฟจามรี ที่ร้านอาหารของที่พัก
หม้อไฟเนื้อจามรี เค้าหั่นเป็นก้อนๆแล้วต้ม บางชิ้นติดเอ็นก็จะเหนียว น้ำซุปมีให้เลือก 2 แบบ ก็แบบปกติ กับแบบเปรี้ยว เราสั่งแบบเปรี้ยว สั่งขนาดกลาง ในราคา 158 CNY ต่อหม้อ แต่รู้สึกไม่ค่อยถูกปาก เพราะมันมาก ถ้าตักซุปมาในชามเราแล้วต้องรีบกิน เพราะรอซักพักมันจะขึ้นไข เพราะอากาศที่นี่เย็นมาก กินๆไปอยากได้เนื้อๆเน้นๆเลยสั่งเนื้อจามรีสไลด์มาเพิ่ม ในราคา 58 CNY ต่อจาน อันนี้ดีงาม (ตอนกลับมาจากย่าติง ถึงแชงแล้วไปเดินเล่นในเมืองเก่ากิน Hotpot & BBQ อร่อยเริ่ด เด๋วค่อยมาบอกชื่อร้านอีกที)
อันนี้ถูกปากอร่อยเลย กินกันไปคิดเงินแล้วจ่ายค่าเสียหายไป 222 CNY ที่นี่เค้าคิดค่าน้ำจิ้มด้วยนะ ถ้วยละ 2 หยวน แต่น้ำชาร้อนในร้านฟรีไม่คิดเงิน ท้องอิ่มแล้วกลับขึ้นที่พักไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้เดินทางต่อ
**ภาพถ่ายใช้มือถือถ่ายทั้งหมดค่ะ**