ปูมะพร้าว ที่ปีนกินลูกมะพร้าวบนต้น
(Cr.ภาพ
https://www.blockdit.com/)
ปูมะพร้าว เป็นปูเสฉวนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นปูในกลุ่มของปูเสฉวนบก มีขนาดที่ใหญ่และหายาก โดยทั่วไปชาวบ้านมักเรียกปูมะพร้าวว่า ปูขโมย เพราะมักจะไปขโมยของชาวบ้าน เช่น ถ้วย ชาม จาน เป็นต้น ส่วนชื่อ "ปูมะพร้าว" ได้มาจาก การที่ปูมะพร้าวเป็นปูที่กินลูกมะพร้าว โดยจะปีนไปบนต้นมะพร้าวและตัดลูกมะพร้าวให้หล่นลงมา และมาฉีกกินบนพื้นดิน
ขนาดตัวของปูมะพร้าวนั้นหลากหลาย ตัวเต็มวัยของปู มะพร้าวสามารถเจริญเติบโตจนมีน้ำหนัก 4 กิโลกรัม และความยาวของลำตัว 40 เซนติเมตร แต่ถ้านับรวมช่วงขาแล้วจะยาวถึง 1 เมตรได้ทีเดียว โดยทั่วไปตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย และมันว่ายน้ำไม่ได้ถ้ามันอยู่ในน้ำนาน ๆ มันจะจมน้ำตาย
ปูมะพร้าวมีกล้ามขนาดใหญ่ไว้สำหรับเจาะลูกมะพร้าว และสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 29 กิโลกรัม
อาหารหลักของปูมะพร้าวคือผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าว อย่างไรก็ดี อะไรอย่างอื่นที่เป็นชีวภาพ ปูมะพร้าวสามารถกินได้หมด ไม่ว่าจะเป็น ใบไม้ ผลไม้เน่า ไข่เต่า ซากสัตว์ และเปลือกของสัตว์ อื่นๆ ปูมะพร้าวอาจกินสัตว์อื่นเป็นๆ ที่เคลื่อนไหวช้า เช่น เต่าทะเลที่เพิ่งฟักออกจากไข่ เป็นต้น บ่อยครั้ง ปูมะพร้าวชอบที่จะขโมยอาหารจากปูมะพร้าวตัวอื่น และเอาอาหารลงไปกินในรูของมัน
Cr.zeromanman.blogspot.com
แม่หอบ สัตว์แปลกที่รวมเอากุ้ง กั๊ง และปูไว้ในตัวเดียวกัน
แม่หอบ, mud lobster, mangrove lobster, Thalassinidae. เป็นสัตว์ที่มีลักษณะรวมกัน คือ ก้ามคล้ายปู ลำตัวคล้ายกุ้ง ส่วนปล้องหางคล้ายกั้ง ลำตัวมีสีแดงเข้ม อมน้ำตาล ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ ขาเดิน 2 คู่แรกมีขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ขุดรูและขนดินออกมากองคล้ายจอมปลวก
ส่วนท้องมีขนาดเล็ก ยาวเรียว ไม่มีแพนหาง ลักษณะคล้ายแมงป่อง ขนาด 20-30 เซนติเมตร พบมากทางฝั่งอันดามัน เชื่อกันว่าใช้เป็นยาแก้โรคหอบหืด
ที่ มาของชื่อ แม่หอบ นั้นเกิดจากพฤติกรรมในการสร้างที่อยู่ของมัน คือ แม่หอบ จะขุดดินเป็นรู โดยจะหอบดินจากการขุดรูด้านล่าง หอบขึ้นมาก่อเป็น จอมหอบ (ลักษณะคล้ายจอมปลวก) สูง 1 - 3 เมตร อาศัยอยู่ตามป่าชายเลน ทางภาคใต้ของไทย
แม่หอบมักจะออกมาจากรูในตอนกลางคืนสามารถที่จะไล่จับและกำจัดออกได้ การขุดรูของแม่หอบบริเวณชานบ่อทำให้คันบ่อรั่วได้เนื่องจากรูที่แม่หอบขุดมีขนาดใหญ่และลึก
Cr.zeromanman.blogspot.com
แมงมุมที่พรางตัวให้เหมือนเป็นอุจจาระนก
(Cr. ภาพNext Step)
สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้มีชื่อว่า Cyclosa ginnaga หรือเรียกกันทั่วไปว่าแมงมุมขี้นก พวกมันพรางตัวเองเป็น ‘อุจจาระนก’ เพื่อซ่อนตัวจากทั้งเหยื่อของมันเองและซ่อนจากต่อเพชฌฆาตด้วย เพราะตัวต่อจะออกล่าแมงมุมแบบบ้าคลั่งแต่ไม่สนใจอุจจาระนก เจ้าแมงมุมจึงชักใยสีขาวเพิ่มขึ้นในจุดๆ หนึ่งของใย แล้วไปหลบอยู่ตรงนั้น
Cyclosa ginnaga เป็นสายพันธุ์แมงมุมที่สามารถพบได้ในพื้นที่ประเทศไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
Cr.ข้อมูลrealmetro.com
สัตว์ที่มีอัณฑะอยู่ภายในร่างกาย
(ภาพเปรียบเทียบอัณฑะของช้างที่อยู่ในร่างกายใกล้กับไต กับอัณฑะของแมวน้ำและม้า กราฟิกโดย Inverse)
ทีมวิจัยโมเลกุลของเซลล์ และพันธุกรรมศาสตร์จากสถาบันมักซ์พลังค์ ในเยอรมนี สกัดดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตจำนวน 71 สายพันธุ์ เพื่อหาคำตอบว่าทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้ที่เติบโตในรก (placental mammal) จึงถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท คือพวกที่เก็บอัณฑะไว้ภายในร่างกาย และพวกที่มีถุงอัณฑะอยู่นอกร่างกาย
ผลการทดสอบพบว่าบรรดาสัตว์ในกลุ่ม Afrotherian หรือสัตว์สมัยใหม่จากทวีปแอฟริกา ได้แก่พะยูน, ช้าง หรือสัตว์ขนาดเล็กที่กินแมลงเป็นอาหาร เช่นเม่น แทนที่พวกมันจะมีถุงอัณฑะอยู่นอกร่างกายเช่นสัตว์อื่นๆ ทว่าพวกมันกลับเก็บอัณฑะเอาไว้ภายในแทน
การที่สัตว์เพศผู้ มีถุงอัณฑะอยู่นอกร่างกายก็เพื่อช่วยเก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์ภายใน เนื่องจากสเปิร์มจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ต่อเมื่อได้อาศัยอยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายเล็กน้อย และการที่มันถูกแขวนให้ต่ำกว่าหว่างขาเพียงไม่กี่นิ้ว คือทางออกของวิวัฒนาการที่พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสายพันธุ์ ทว่าอัณฑะช้าง และสัตว์อื่นๆ ในกลุ่ม Afrotherian ลูกอัณฑะของพวกมันกลับอยู่ภายในช่องท่อง ใกล้ๆ กับไต
นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยปัจจัยที่ทำให้สัตว์นั้นๆ มีอัณฑะภายใน หรือภายนอกร่างกาย พบว่ายีนสองชนิดที่ชื่อ RXFP2 และ INSL3 คือตัวการสำคัญในการพัฒนาอวัยวะภายในที่มีชื่อว่า gubernaculum ซึ่งเป็นเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่ยึดอัณฑะเอาไว้ เมื่อสัตว์นั้นๆ เติบโตเข้าสู่วัยรุ่น และอัณฑะเริ่มเคลื่อนลงมายังถุงอัณฑะ ทีมวิจัยตั้งสมมุติฐานว่าสัตว์ในกลุ่ม Afrotherian น่าจะไม่มียีนเหล่านี้ในร่างกาย หรืออย่างน้อยต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับยีนของพวกมัน
Cr.ngthai.com
แมงมุมยิงใยข้ามน้ำกว้าง 25 เมตรเพื่อขึงตาข่ายดักเหยื่อ
แมงมุม Darwin’s Bark เป็นแมงมุมสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งจะค้นพบที่ประเทศมาดากัสการ์เมื่อปี 2009 นี่เอง ใยของแมงมุมชนิดนี้มีความแข็งแรงมากเป็นหนึ่งในวัสดุที่แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่เคยพบกันมา และมันสามารถปล่อยใยออกมาได้จำนวนมากพอสำหรับปฏิบัติการในลักษณะนี้ มันจะปล่อยใยจากต้นไม้ที่ริมฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ปล่อยให้สายลมพัดพาเส้นใยของมันข้ามความกว้างของแม่น้ำไปยังต้นไม้อีกฝั่งหนึ่ง เมื่อขึงใยข้ามแม่น้ำได้สำเร็จมันก็จะไต่ไปตามเส้นใย เสริมความแข็งแรงของเส้นใยเพื่อรองรับตาข่ายใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่มันจะสร้างตามมา มันสามารถสร้างตาข่ายใหญ่ถึง 2.8 ตารางเมตรเลยทีเดียว เมื่องานเสร็จมันก็แค่รอให้เหยื่อมาติดกับ
Cr.ข้อมูล takieng.com
กบเสือดาวเหนือ (Northern leopard frog)
นักชีววิทยาแคนาดาหวังขยายประชากร ‘กบเสือดาวเหนือ’ ซึ่งถูกเพาะเลี้ยงอยู่ภายในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแวนคูเวอร์ เมืองแวนคูเวอร์ของแคนาดา
กบเสือดาวเหนือเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ คณะนักชีววิทยาประจำพิพิธภัณฑ์ฯ จึงเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดกว่า 1,000 ตัว และเตรียมปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรของพวกมัน
ความสามารถพิเศษของกบ Northern Leopard คือใช้ ดวงตา ในการกลืนอาหาร มันจะหดลูกตาเข้าไปในหัวเพื่อดันอาหารลงไปในท้อง
Cr.ข้อมูล XinhuaNewsAgency.th
‘กุ้งไกปืน’ มือปืนตาบอดแห่งท้องทะเล
กุ้งไกปืน หรือ Pistol Shrimp สัตว์หน้าตาธรรมด๊า ธรรดาที่ทำให้คนจำนวนมากต่างมองข้ามความสามารถเล็กๆ แต่แสนยิ่งใหญ่ของมันไป เพราะนอกจากมันจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เสียงดังที่สุดในโลกแล้ว มันยังสามารถสร้างอุณหภูมิเทียบเท่าพื้นผิวดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย
แม้จะฟังดูเวอร์เกินจริงสุดๆ แต่เพราะการหนีบก้ามที่เหมือนการลั่นไกปืนด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Sonoluminescence’ ซึ่งเป็นการรวมเสียง ความร้อน และแสงสว่าง เพื่อสร้างคลื่นกระแทกที่รุนแรง
ทำให้เกิดการระเบิดของฟองอากาศอย่างรวดเร็วที่ทำให้เกิดเสียงที่ดังถึง 218 เดซิเบล และเปลี่ยนน้ำรอบๆ การระเบิดนั้นให้มีอุณหภูมิสูงกว่า 5,000 เคลวิน (ประมาณ 4,700 องศาเซสเซียส พื้นผิวดวงอาทิตย์ของเรามีอุณหภูมิราวๆ 5,500 องศาเซสเซียส) โดยทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในเวลาเพียง 1 ใน 1,000 ส่วนของวินาที
ถึงจะมีอาวุธที่อันตรายเหลือเชื่อ แต่ความสามารถพิเศษของกุ้งไกปืนนั้น มักจะใช้เพื่อการล่าเหยื่อเท่านั้น ส่วนใหญ่มักมีสายตาที่แย่มากจนเข้าขั้นบอด และต้องต้องพึ่งพาปลาบู่ขนาดเล็กตามพื้นทรายในการพามันคลานกลับบ้าน ทั้งยังต้องจ่ายค่าจ้างเป็นการขุดรูและทำความสะอาดให้ปลาบู่อีกต่างหาก
Cr.wtfintheworld.com
คางคกประหลาด ออกลูกเป็นตัว
หากพูดถึงสัตว์ในตระกูล คางคก พวกมันทั้งหมดออกลูกเป็นไข่ ยกเว้นเพียงสายพันธุ์ Nectophrynoides เท่านั้นที่ออกลูกเป็นตัว
พวกมันเป็นคางคกเฉพาะถิ่นพบได้ที่ เทนซาเนีย(Tanzania) เท่านั้น โดยคางคกบางสายพันธุ์ที่พบในเทนซาเนีย นั้นมีลักษณะเฉพาะที่หาที่ไหนไม่ได้ คือ ออกลูกเป็นตัว คือ คางคกบกสายพันธุ์ Nectophrynoides viviparous ที่อาศัยอยู่ตามป่าไผ่ ทุ่งหญ้าบริเวณชายป่า
เนื่องจากออกลูกเป็นตัว ทำให้พวกมันใช้การสืบพันธุ์ภายใน คือ เกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย แทนที่จะใช้การปฏิสนธิภายนอก(การปฏิสนธิภายนอก คือ ตัวเมียวางไข่ในน้ำ หรือตามพื้นดิน ใบไม้ ใบหญ้า ฯ แล้วผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้ภายนอกร่างกาย เหมือน ดั่งกบ และคางคกทั่วไป)
แต่สำหรับ คางคกNectophrynoides viviparous พ่อคางคกจะผสมพันธุ์กับตัวเมีย ผ่านอวัยวะเพศผู้ผ่านอวัยวะเพศเมีย โดยตัวเมียจะฟักใข่ เลี้ยงลูกอ๊อต ภายในร่างกายของตัวเมีย และถือกำเนิดลูกคางคกออกมาเป็น คางคกน้อย โดยข้ามขั้นตอนการลูกอ๊อตไป มีจุดเด่น และดูแปลกประหลาดที่สุดของพวกมันคือ ปุ่มสีสดใสตามตัว
Cr.wowboom.blogspot.com
กบประหลาด เลี้ยงลูกในกระเพาะ (Gastric Brooding Frog)
กบเลี้ยงลูกในกระเพาะ(gastric-brooding frogs)มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rheobatrachus silus พวกมันมีเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น มีถิ่นที่อยู่อาศัยในรัฐควีนแลนด์ ของ ประเทศออสเตรเลีย เท่านั้น
มันถูกระบุว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากรายงานของ IUCN โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์นั้นไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจาก การคุกคามที่อยู่อาศัยของพวกมันโดยมนุษย์ มลภาวะ โรคพยาธิ และเชื้อรา chytrid
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งของพวกมันคือ การฟักใข่ เลี้ยงลูกอ๊อด ในกระเพาะของแม่กบ โดยเมื่อ ตัวเมียออกไข่ออกมาและผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้(ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันออกไข่ในน้ำ หรือ บนพื้นดิน) แม่กบจะกลืนไข่ที่ปฎิสนธิลงไปในกระเพาะ
พวกมันจะตกไข่ครั้งละประมาณ 40 ฟอง แต่ การค้นพบว่ามีตัวอ่อนกบในกระเพาะเพียงประมาณ 21 - 26 ตัว ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าการที่ตัวอ่อนกบหายไป ประมาณครึ่งหนึ่งนั้นเกิดจาก แม่กบไม่สามารถกลืนไข่ทั้งหมดลงกระเพาะ หรือ จากไข่บางส่วนถูกย่อยในกระเพาะ
และทำไม ไข่ และ ตัวอ่อนจึงไม่ถูกย่อยในกระเพาะของแม่กบนั้น เกิดจากโดยรอบของไข่จะประกอบไปด้วยเมือกที่เรียกว่า prostaglandin E2(PGE2) เมือกนี้มีผลให้กระเพาะอาหารหยุดการผลิต กรดไฮโดรคลอริก
PGE2 ที่รอบๆไข่จะมีปริมาณมากพอในช่วงฟักใข่ เมื่อ ลูกอ๊อดฟักตัวออกมาจะขับสาร PGE2 ออกมาเพิ่มเติม ขบวนการในการพัฒนาจากไข่เป็นลูกอ๊อด และโตเป็นกบที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ลูกกบที่อัดแน่นอยู่ในกระเพาะแม่จะไปดันปอด อวัยวะภายในจนจนก่อความระคายเคืองจนแม่กบต้องอาเจียนขับ ลูกๆของมันออกมาเป็นการจบสิ้น การเลี้ยงดูสุดประหลาดในที่สุด
ในระหว่างที่มีลูกกบในกระเพาะ แม่กบจะไม่กินอาหารเลย
Cr.wowboom.blogspot.com
ธรรมชาติสัตว์โลกที่น่าทึ่ง
(Cr.ภาพ https://www.blockdit.com/)
ปูมะพร้าว เป็นปูเสฉวนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นปูในกลุ่มของปูเสฉวนบก มีขนาดที่ใหญ่และหายาก โดยทั่วไปชาวบ้านมักเรียกปูมะพร้าวว่า ปูขโมย เพราะมักจะไปขโมยของชาวบ้าน เช่น ถ้วย ชาม จาน เป็นต้น ส่วนชื่อ "ปูมะพร้าว" ได้มาจาก การที่ปูมะพร้าวเป็นปูที่กินลูกมะพร้าว โดยจะปีนไปบนต้นมะพร้าวและตัดลูกมะพร้าวให้หล่นลงมา และมาฉีกกินบนพื้นดิน
ขนาดตัวของปูมะพร้าวนั้นหลากหลาย ตัวเต็มวัยของปู มะพร้าวสามารถเจริญเติบโตจนมีน้ำหนัก 4 กิโลกรัม และความยาวของลำตัว 40 เซนติเมตร แต่ถ้านับรวมช่วงขาแล้วจะยาวถึง 1 เมตรได้ทีเดียว โดยทั่วไปตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย และมันว่ายน้ำไม่ได้ถ้ามันอยู่ในน้ำนาน ๆ มันจะจมน้ำตาย
ปูมะพร้าวมีกล้ามขนาดใหญ่ไว้สำหรับเจาะลูกมะพร้าว และสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 29 กิโลกรัม
อาหารหลักของปูมะพร้าวคือผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าว อย่างไรก็ดี อะไรอย่างอื่นที่เป็นชีวภาพ ปูมะพร้าวสามารถกินได้หมด ไม่ว่าจะเป็น ใบไม้ ผลไม้เน่า ไข่เต่า ซากสัตว์ และเปลือกของสัตว์ อื่นๆ ปูมะพร้าวอาจกินสัตว์อื่นเป็นๆ ที่เคลื่อนไหวช้า เช่น เต่าทะเลที่เพิ่งฟักออกจากไข่ เป็นต้น บ่อยครั้ง ปูมะพร้าวชอบที่จะขโมยอาหารจากปูมะพร้าวตัวอื่น และเอาอาหารลงไปกินในรูของมัน
Cr.zeromanman.blogspot.com
แม่หอบ สัตว์แปลกที่รวมเอากุ้ง กั๊ง และปูไว้ในตัวเดียวกัน
แม่หอบ, mud lobster, mangrove lobster, Thalassinidae. เป็นสัตว์ที่มีลักษณะรวมกัน คือ ก้ามคล้ายปู ลำตัวคล้ายกุ้ง ส่วนปล้องหางคล้ายกั้ง ลำตัวมีสีแดงเข้ม อมน้ำตาล ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ ขาเดิน 2 คู่แรกมีขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ขุดรูและขนดินออกมากองคล้ายจอมปลวก
ส่วนท้องมีขนาดเล็ก ยาวเรียว ไม่มีแพนหาง ลักษณะคล้ายแมงป่อง ขนาด 20-30 เซนติเมตร พบมากทางฝั่งอันดามัน เชื่อกันว่าใช้เป็นยาแก้โรคหอบหืด
ที่ มาของชื่อ แม่หอบ นั้นเกิดจากพฤติกรรมในการสร้างที่อยู่ของมัน คือ แม่หอบ จะขุดดินเป็นรู โดยจะหอบดินจากการขุดรูด้านล่าง หอบขึ้นมาก่อเป็น จอมหอบ (ลักษณะคล้ายจอมปลวก) สูง 1 - 3 เมตร อาศัยอยู่ตามป่าชายเลน ทางภาคใต้ของไทย
แม่หอบมักจะออกมาจากรูในตอนกลางคืนสามารถที่จะไล่จับและกำจัดออกได้ การขุดรูของแม่หอบบริเวณชานบ่อทำให้คันบ่อรั่วได้เนื่องจากรูที่แม่หอบขุดมีขนาดใหญ่และลึก
Cr.zeromanman.blogspot.com
แมงมุมที่พรางตัวให้เหมือนเป็นอุจจาระนก
(Cr. ภาพNext Step)
สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้มีชื่อว่า Cyclosa ginnaga หรือเรียกกันทั่วไปว่าแมงมุมขี้นก พวกมันพรางตัวเองเป็น ‘อุจจาระนก’ เพื่อซ่อนตัวจากทั้งเหยื่อของมันเองและซ่อนจากต่อเพชฌฆาตด้วย เพราะตัวต่อจะออกล่าแมงมุมแบบบ้าคลั่งแต่ไม่สนใจอุจจาระนก เจ้าแมงมุมจึงชักใยสีขาวเพิ่มขึ้นในจุดๆ หนึ่งของใย แล้วไปหลบอยู่ตรงนั้น
Cyclosa ginnaga เป็นสายพันธุ์แมงมุมที่สามารถพบได้ในพื้นที่ประเทศไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
Cr.ข้อมูลrealmetro.com
สัตว์ที่มีอัณฑะอยู่ภายในร่างกาย
(ภาพเปรียบเทียบอัณฑะของช้างที่อยู่ในร่างกายใกล้กับไต กับอัณฑะของแมวน้ำและม้า กราฟิกโดย Inverse)
ทีมวิจัยโมเลกุลของเซลล์ และพันธุกรรมศาสตร์จากสถาบันมักซ์พลังค์ ในเยอรมนี สกัดดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตจำนวน 71 สายพันธุ์ เพื่อหาคำตอบว่าทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้ที่เติบโตในรก (placental mammal) จึงถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท คือพวกที่เก็บอัณฑะไว้ภายในร่างกาย และพวกที่มีถุงอัณฑะอยู่นอกร่างกาย
ผลการทดสอบพบว่าบรรดาสัตว์ในกลุ่ม Afrotherian หรือสัตว์สมัยใหม่จากทวีปแอฟริกา ได้แก่พะยูน, ช้าง หรือสัตว์ขนาดเล็กที่กินแมลงเป็นอาหาร เช่นเม่น แทนที่พวกมันจะมีถุงอัณฑะอยู่นอกร่างกายเช่นสัตว์อื่นๆ ทว่าพวกมันกลับเก็บอัณฑะเอาไว้ภายในแทน
การที่สัตว์เพศผู้ มีถุงอัณฑะอยู่นอกร่างกายก็เพื่อช่วยเก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์ภายใน เนื่องจากสเปิร์มจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ต่อเมื่อได้อาศัยอยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายเล็กน้อย และการที่มันถูกแขวนให้ต่ำกว่าหว่างขาเพียงไม่กี่นิ้ว คือทางออกของวิวัฒนาการที่พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสายพันธุ์ ทว่าอัณฑะช้าง และสัตว์อื่นๆ ในกลุ่ม Afrotherian ลูกอัณฑะของพวกมันกลับอยู่ภายในช่องท่อง ใกล้ๆ กับไต
นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยปัจจัยที่ทำให้สัตว์นั้นๆ มีอัณฑะภายใน หรือภายนอกร่างกาย พบว่ายีนสองชนิดที่ชื่อ RXFP2 และ INSL3 คือตัวการสำคัญในการพัฒนาอวัยวะภายในที่มีชื่อว่า gubernaculum ซึ่งเป็นเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่ยึดอัณฑะเอาไว้ เมื่อสัตว์นั้นๆ เติบโตเข้าสู่วัยรุ่น และอัณฑะเริ่มเคลื่อนลงมายังถุงอัณฑะ ทีมวิจัยตั้งสมมุติฐานว่าสัตว์ในกลุ่ม Afrotherian น่าจะไม่มียีนเหล่านี้ในร่างกาย หรืออย่างน้อยต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับยีนของพวกมัน
Cr.ngthai.com
แมงมุมยิงใยข้ามน้ำกว้าง 25 เมตรเพื่อขึงตาข่ายดักเหยื่อ
แมงมุม Darwin’s Bark เป็นแมงมุมสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งจะค้นพบที่ประเทศมาดากัสการ์เมื่อปี 2009 นี่เอง ใยของแมงมุมชนิดนี้มีความแข็งแรงมากเป็นหนึ่งในวัสดุที่แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่เคยพบกันมา และมันสามารถปล่อยใยออกมาได้จำนวนมากพอสำหรับปฏิบัติการในลักษณะนี้ มันจะปล่อยใยจากต้นไม้ที่ริมฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ปล่อยให้สายลมพัดพาเส้นใยของมันข้ามความกว้างของแม่น้ำไปยังต้นไม้อีกฝั่งหนึ่ง เมื่อขึงใยข้ามแม่น้ำได้สำเร็จมันก็จะไต่ไปตามเส้นใย เสริมความแข็งแรงของเส้นใยเพื่อรองรับตาข่ายใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่มันจะสร้างตามมา มันสามารถสร้างตาข่ายใหญ่ถึง 2.8 ตารางเมตรเลยทีเดียว เมื่องานเสร็จมันก็แค่รอให้เหยื่อมาติดกับ
Cr.ข้อมูล takieng.com
กบเสือดาวเหนือ (Northern leopard frog)
นักชีววิทยาแคนาดาหวังขยายประชากร ‘กบเสือดาวเหนือ’ ซึ่งถูกเพาะเลี้ยงอยู่ภายในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแวนคูเวอร์ เมืองแวนคูเวอร์ของแคนาดา
กบเสือดาวเหนือเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ คณะนักชีววิทยาประจำพิพิธภัณฑ์ฯ จึงเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดกว่า 1,000 ตัว และเตรียมปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรของพวกมัน
ความสามารถพิเศษของกบ Northern Leopard คือใช้ ดวงตา ในการกลืนอาหาร มันจะหดลูกตาเข้าไปในหัวเพื่อดันอาหารลงไปในท้อง
Cr.ข้อมูล XinhuaNewsAgency.th
‘กุ้งไกปืน’ มือปืนตาบอดแห่งท้องทะเล
กุ้งไกปืน หรือ Pistol Shrimp สัตว์หน้าตาธรรมด๊า ธรรดาที่ทำให้คนจำนวนมากต่างมองข้ามความสามารถเล็กๆ แต่แสนยิ่งใหญ่ของมันไป เพราะนอกจากมันจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เสียงดังที่สุดในโลกแล้ว มันยังสามารถสร้างอุณหภูมิเทียบเท่าพื้นผิวดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย
แม้จะฟังดูเวอร์เกินจริงสุดๆ แต่เพราะการหนีบก้ามที่เหมือนการลั่นไกปืนด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Sonoluminescence’ ซึ่งเป็นการรวมเสียง ความร้อน และแสงสว่าง เพื่อสร้างคลื่นกระแทกที่รุนแรง
ทำให้เกิดการระเบิดของฟองอากาศอย่างรวดเร็วที่ทำให้เกิดเสียงที่ดังถึง 218 เดซิเบล และเปลี่ยนน้ำรอบๆ การระเบิดนั้นให้มีอุณหภูมิสูงกว่า 5,000 เคลวิน (ประมาณ 4,700 องศาเซสเซียส พื้นผิวดวงอาทิตย์ของเรามีอุณหภูมิราวๆ 5,500 องศาเซสเซียส) โดยทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในเวลาเพียง 1 ใน 1,000 ส่วนของวินาที
ถึงจะมีอาวุธที่อันตรายเหลือเชื่อ แต่ความสามารถพิเศษของกุ้งไกปืนนั้น มักจะใช้เพื่อการล่าเหยื่อเท่านั้น ส่วนใหญ่มักมีสายตาที่แย่มากจนเข้าขั้นบอด และต้องต้องพึ่งพาปลาบู่ขนาดเล็กตามพื้นทรายในการพามันคลานกลับบ้าน ทั้งยังต้องจ่ายค่าจ้างเป็นการขุดรูและทำความสะอาดให้ปลาบู่อีกต่างหาก
Cr.wtfintheworld.com
คางคกประหลาด ออกลูกเป็นตัว
หากพูดถึงสัตว์ในตระกูล คางคก พวกมันทั้งหมดออกลูกเป็นไข่ ยกเว้นเพียงสายพันธุ์ Nectophrynoides เท่านั้นที่ออกลูกเป็นตัว
พวกมันเป็นคางคกเฉพาะถิ่นพบได้ที่ เทนซาเนีย(Tanzania) เท่านั้น โดยคางคกบางสายพันธุ์ที่พบในเทนซาเนีย นั้นมีลักษณะเฉพาะที่หาที่ไหนไม่ได้ คือ ออกลูกเป็นตัว คือ คางคกบกสายพันธุ์ Nectophrynoides viviparous ที่อาศัยอยู่ตามป่าไผ่ ทุ่งหญ้าบริเวณชายป่า
เนื่องจากออกลูกเป็นตัว ทำให้พวกมันใช้การสืบพันธุ์ภายใน คือ เกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย แทนที่จะใช้การปฏิสนธิภายนอก(การปฏิสนธิภายนอก คือ ตัวเมียวางไข่ในน้ำ หรือตามพื้นดิน ใบไม้ ใบหญ้า ฯ แล้วผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้ภายนอกร่างกาย เหมือน ดั่งกบ และคางคกทั่วไป)
แต่สำหรับ คางคกNectophrynoides viviparous พ่อคางคกจะผสมพันธุ์กับตัวเมีย ผ่านอวัยวะเพศผู้ผ่านอวัยวะเพศเมีย โดยตัวเมียจะฟักใข่ เลี้ยงลูกอ๊อต ภายในร่างกายของตัวเมีย และถือกำเนิดลูกคางคกออกมาเป็น คางคกน้อย โดยข้ามขั้นตอนการลูกอ๊อตไป มีจุดเด่น และดูแปลกประหลาดที่สุดของพวกมันคือ ปุ่มสีสดใสตามตัว
Cr.wowboom.blogspot.com
กบประหลาด เลี้ยงลูกในกระเพาะ (Gastric Brooding Frog)
กบเลี้ยงลูกในกระเพาะ(gastric-brooding frogs)มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rheobatrachus silus พวกมันมีเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น มีถิ่นที่อยู่อาศัยในรัฐควีนแลนด์ ของ ประเทศออสเตรเลีย เท่านั้น
มันถูกระบุว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากรายงานของ IUCN โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์นั้นไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจาก การคุกคามที่อยู่อาศัยของพวกมันโดยมนุษย์ มลภาวะ โรคพยาธิ และเชื้อรา chytrid
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งของพวกมันคือ การฟักใข่ เลี้ยงลูกอ๊อด ในกระเพาะของแม่กบ โดยเมื่อ ตัวเมียออกไข่ออกมาและผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้(ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันออกไข่ในน้ำ หรือ บนพื้นดิน) แม่กบจะกลืนไข่ที่ปฎิสนธิลงไปในกระเพาะ
พวกมันจะตกไข่ครั้งละประมาณ 40 ฟอง แต่ การค้นพบว่ามีตัวอ่อนกบในกระเพาะเพียงประมาณ 21 - 26 ตัว ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าการที่ตัวอ่อนกบหายไป ประมาณครึ่งหนึ่งนั้นเกิดจาก แม่กบไม่สามารถกลืนไข่ทั้งหมดลงกระเพาะ หรือ จากไข่บางส่วนถูกย่อยในกระเพาะ
และทำไม ไข่ และ ตัวอ่อนจึงไม่ถูกย่อยในกระเพาะของแม่กบนั้น เกิดจากโดยรอบของไข่จะประกอบไปด้วยเมือกที่เรียกว่า prostaglandin E2(PGE2) เมือกนี้มีผลให้กระเพาะอาหารหยุดการผลิต กรดไฮโดรคลอริก
PGE2 ที่รอบๆไข่จะมีปริมาณมากพอในช่วงฟักใข่ เมื่อ ลูกอ๊อดฟักตัวออกมาจะขับสาร PGE2 ออกมาเพิ่มเติม ขบวนการในการพัฒนาจากไข่เป็นลูกอ๊อด และโตเป็นกบที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ลูกกบที่อัดแน่นอยู่ในกระเพาะแม่จะไปดันปอด อวัยวะภายในจนจนก่อความระคายเคืองจนแม่กบต้องอาเจียนขับ ลูกๆของมันออกมาเป็นการจบสิ้น การเลี้ยงดูสุดประหลาดในที่สุด
ในระหว่างที่มีลูกกบในกระเพาะ แม่กบจะไม่กินอาหารเลย
Cr.wowboom.blogspot.com