ถอดรหัส 'รักฉุดใจฯ' ทำยังไงถึงอินทั้งประเทศ


บทความจาก คมชัดลึก




ถอดรหัส 'รักฉุดใจฯ' ทำยังไงถึงอินทั้งประเทศ
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 - 06:30 น.



 
 
        ทีมบันเทิง คมชัดลึก - เป็นกระแสถล่มทลาย สำหรับละคร “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ตั้งแต่ต้นจนวันที่ละครอวสาน โดยเฉพาะการแบ่งทีมเชียร์ “หมอเป้ง” ที่รับบทโดย “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” และ “หมอฉลาม” ที่รับบท “สกาย” วงศ์รวี ซึ่งตอนจบของละครเรื่องนี้เกิดกระแสมากมายว่านางเอกอย่าง “ทานตะวัน” ที่รับบท “ใหม่” ดาวิกา โฮร์เน่ เลือก “หมอฉลาม” ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ งานนี้ “บันเทิง คมชัดลึก” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “บอส” นฤเบศ กูโน (ผู้กำกับ) และ “ปิง” เกรียงไกร วชิรธรรมพร (โปรดิวเซอร์) ถึงเรื่องราวละครนี้


        ฟีดแบ็กตอนนี้จบของ “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ที่ดุเดือดรู้สึกอย่างไรบ้าง
        บอส : "โอเค กอย่าง นาดาว ยังปกติอยู่ (หัวเราะ) ฟีดแบ็กกลับมาหลากหลายมาก มีการแบ่งทีมกันสนุกสนาน มีทีมหมอเป้ง ทีมฉลาม ทีมบะหมี่ ทีมทานตะวัน มีทุกทีม ได้อ่านทุกฟีดแบ็คครับ ได้เห็นหลากหลายมุมมองมากขึ้น”

        ฟีดแบ็กน่ากลัว 
        บอส “ไม่ขนาดนั้น แต่ว่าได้เห็นหลากหลายมุมมอง หลายความคิดเห็นมากขึ้น ตอนที่เราเขียนบท เราได้เห็นมุมของหมอเป้ง กับทานตะวัน พอมาอยู่ในโซเชียล มันก็ได้เห็นมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น”
 
 
 

        กับฟีดแบ็กที่บอกว่าจะเผานาดาว ตรงนี้เรารู้สึกยังไง
        ปิง :  “ตอนนั้นก็ส่งไปในกรุ๊ปทุกคนเลยครับ(หัวเราะ) ประสบการณ์เรื่องเผานาดาว มีมาหลายเรื่องแล้วครับ เข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำจริงๆ หรอก เรารู้สึกดีใจที่ทุกคนมีอารมณ์ร่วมกับมันจริงๆ”
 
 

       กับตอนจบทำไมให้ทานตะวันตัดสินใจเลือกหมอฉลาม ไม่เลือกหมอเป้ง
       บอส :  “ตั้งแต่เขียนบท เราได้วางโครงสร้างไว้แบบนี้ เราอยากเล่าเรื่องความสัมพันธ์คู่รักที่เขาใช้ชีวิตแล้วไม่ค่อยเข้ากัน สุดท้ายปลายทางที่เขาต้องแยกจากกันมันด้วยเหตุผลและปัจจัยอะไรบ้าง แล้วก็อินเสิร์ตจากคู่รักต่างๆ ว่ามันจะเกิดจากปัจจัยอะไรได้บ้าง ทั้งที่ทั้งคู่เขาผูกพันธ์กันมาก ซึ่งในเรื่องเราก็ได้เห็นแล้วในมุมของแฟนที่ไม่ใส่ใจ ไม่พูดความรู้สึกตรงๆ ออกไป หรือว่าในมุมของผู้หญิงที่ทุ่มเทให้กับแฟนมาก สุดท้ายแล้าวอยากที่จะเป็นคนเรียกร้อง แต่ก็ไม่กล้าเรียกร้อง จนกระทั้งไปเผลอใจไปชอบเด็กคนนึงขึ้นมา สุดท้ายสถานะการณ์มันก็พาไปเรื่อยๆ จนตัวละครค่อยๆ เรียนรู้ และค้นพบว่าเราเลือกทางที่สบายใจดีกว่า ที่จะไปอึดอัดกับเรื่องเดิมๆของเรา”
 

       โจทย์แรกเราอยากนำเสนออะไรให้กับคนดู
       ปิง  :  “เราตั้งต้นจากสิ่งที่สนุกที่สุด ตอนนั้นบอสตั้งต้นเรื่องมาที่แอมบูแลนซ์ก่อน เริ่มต้นมาจากทีมหมอ อยากเห็นเรื่องของความฉุกเฉิน อยากเห็นนาทีชีวิต แต่ก็อยากให้มันเป็นหนังรัก มากกว่าเป็นหนังหมอจริงจัง เลยมาหาเส้นเรื่องรักกันว่า เรื่องอะไรที่มันซับพอร์ตไปกับเรื่องหมอไปได้ บอสก็ไปหาข้อมูลด้วยการไปคุยกับคุณหมอ และคุยกับแฟนคุณหมอจริงๆ แล้วมันก็เจอเรื่องความรัก กับการใช้เวลากับแฟน มันจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเราต้องเล่าเรื่องหมอ เพราะว่าส่วนหนึ่ง พอตัวละครเป็นหมอมันก็จะมีเรื่องของการแบ่งเวลาว่า เราจะแบ่งเวลางานกับ คนในชีวิตของเราอย่างไร มันเป้ฯเรื่องความรักที่ดี เราตั้งต้นจากตรงนั้นก่อน มันไม่ใช่ว่าเราจะเล่าเรื่องความรักแบบนี้เท่านั้น แล้วเราค่อยๆมาปรับบท มันรันไปตามไอเดียเลย ก็เลยสรุปออกมาเป็นแบบนี้”
 
 

 
“ปิง” เกรียงไกร (โปรดิวเซอร์) และ “บอส” นฤเบศ กูโน (ผู้กำกับ)
 
 

        พอกระแสออกมาแบบนี้มันตอบโจทย์ที่เราตั้งไว้ไหม
        บอส  :  “สำหรับบอสมันตอบโจทย์ตรงที่ว่า แฟนๆเขาดูแล้วแบ่งทีมกัน และเห็นทัศนะคติที่หลากหลายมาก และเห็นมุมมองความรักที่หลายรูปแบบมาก มันเป็นความตั้งใจของเราไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
        ปิง  :  “จริงๆ มันเหมือนกับที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่เขียนบทว่า มันต้องมีคนแบ่งทีมกันแน่ๆ ว่าคนนี้ทีมหมอเป้ง ทีมฉลาม ทีมบะหมี่ ทั้งในนาดาวเองก็แบ่งทีมกันหลากหลายมา”
        บอส :  “ผมมองว่ามันเป็นเรื่องทัศนคติมากกว่า พอทีมงานอ่านปุ๊บก็เชื่อว่าทีมนั้นถูก ทีมนี้ถูก และเราก็รู้สึกว่าคนดูก็จะรู้สึกแบบนี้”
 
 

       แสดงว่าเราตั้งใจไว้แล้วว่าอยากให้คนดูเรื่องนี้แล้วแสดงความคิดเห็นของแต่ละคน
       บอส : “มันเป็นอย่างที่พี่ปิงบอกเมื่อสักครู่ว่า พอเราจะเริ่มจากความสัมพันธ์แบบนั้น เราก็เริ่มต่อพล็อตไปเรื่อยๆ จนเราเห็นว่ามันมีความรักหลากหลายรูปแบบมาก ที่จะขยายให้เรื่องดูสนุกมากขึ้น พอมันมีหลากหลายความสัมพันธ์เข้ามา ทั้งตัวบะหมี่ ตัวฉลาดเข้ามา ท้ายที่สุดระหว่างที่เราเขียนบท เขาคิดว่ามันต้องเกิดการแบ่งทีมแน่ๆ เหมือนระหว่างการทำงานมันเห็นภาพมากขึ้น”
 
 
        คิดไหมว่าความอินของคนดูมันจะรุนแรงขนาดนี้
        ปิง :  “เรื่องเลเวลความอินเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าคนดูอยู่ในจุดไหน แต่เรารู้สึกว่าการถกเถียงจะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เลเวลความรุนแรงมันเป็นสิ่งที่เรามาเจอระหว่างทางว่าคนดูอินอยู่ระดับนี้ แล้าวเราก็ค่อยๆศึกษาฟีดแบ็กไปเรื่อยๆ”
        บอส :  “ซึ่งมีหลายๆ อันที่มันไม่เป็นอย่างที่เราคิด พอมาถึงอีพี 6-7 เราคิดว่าคนต้องมาอยู่ทีมนี้แน่ๆ แต่คนไปเทอีกทีมนึง มันทำให้เรียนรู้เหมือนกันระหว่างที่ฉายไป พอเราเช็คเราก็จะฟีดแบ็ก เราอยากทำละครให้คนดูเข้าถึงตัวละคร ไม่ว่าคนไหนเขาก็จะมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แต่ปรากฎว่าเราเพิ่งเจอคนดูที่ไม่เคยเปลี่ยนทีมเลย เราก็มาคุยกันว่ามันเป็นเพราะอะไร มันก็น่าจะเป็นเพราะว่าละครเรื่องนี้มันไปตรงตามทัศนะคติของการใช้ชีวิต และประสบการณ์ความรักของคนดูแบบไหนบ้าง แล้วเราเชื่อความรักแบบไหน เราก็จะไปเชียร์แบบนั้น ซึ่งประสบการณ์การณ์ความรักของหมอเป้ง กับฉลามไม่เหมือนกัน”

 
       ในแง่ของคนทำ เรามีมุมมองอย่างไร เพราะว่าบางคนก็มองว่าถ้านางเอกเลือกแบบนี้คือผิด
       บอส :  “เราไม่ได้มองว่าอันไหนผิด มันเป็นสถานการณ์ของตัวละคร ณ ตอนนั้น อย่างเราเป็นคนดู เรามีมุมมองเหมือนเป็นพระเจ้า เพราะเราเห็นมุมมองในความคิดของบะหมี่ ของเป้ง ซึ่งคนก็จะสงสารเป้ง แต่ในตัวละคร ณ ตอนนั้นเขาไม่ได้เห็นทุกมุมมองเขาก็ตัดสินใจ กับเหตุการณ์ตอนนั้นที่เขาไม่เห็นมุมทั้งหมด”
 
       ปิง :  “อันนี้เราต้องยอมรับเราทำให้คนดูไปไม่ถึงจุดหนึ่ง คือปกติคนดูต้องมีส่วนร่วมว่าตัวละครไปเจออะไรมา แต่ละครเรื่องนี้สิ่งนึงคือเราไม่ได้ทำให้เห็นประสบการณ์ความรักอันยาวนานของทานตะวันกับหมอเป้ง 15 ปี เราอยากให้คนดูสนุกที่สุด เราเลยสตาร์จุดที่เกิดปัญหา แต่กลายเป็นว่าการที่เราไปเริ่มตอน 1 ที่ว่า เราเห็นคู่รักที่รักกันมา 15 ปีแล้ว แต่ได้เห็นน้อยไปหน่อยว่า 15 ปีที่ผ่านมาประสบการณ์รักของทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง มันก็มีให้เห็นบ้างว่า ทานตะวัน เห็นเป้งรักษาคนไข้ได้
 
       เราก็ไม่อยากที่จะไปรบกวนเวลาหมอ มันทำให้เขารู้สึกแบบนี้ มันมีอธิบายมานิดหน่อย แต่เราไม่ได้นำเสนอให้เห็นรายละเอียดก่อนหน้านั้นใน 15 ปีมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งจริงๆ มันเกิดเรื่องขึ้นมาก มันก็เป็นประสบการณ์ของเราว่าเราให้คนดูเห็นประสบการณ์ของตัวละครน้อยไปหน่อย ในมุมของคนเขียนบทเรารู้เรื่องราวของตัวละครว่าถ้าเราเจอเรื่องราวแบบนี้ 15 ปีมาเราจะรู้สึกอย่างไร การตัดสินใจตั้วละครต้องเป็นแบบนี้ เรายอมรับข้อผิดพาดตรงนี้”
 
 
 
 
 
 
        ฟีดแบ็กที่รุนแรง ติดทวิตเตอร์โลก พอใจแค่ไหน
        บอส :  “พอบอสทำงานนี้เสร็จออกมา สุดท้ายแล้วงานนี้มันกลายเป็นของคนดูไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฟีดแบ็กอะไรมา เราก็ต้องคัดกรอก อันไหนที่ติ เราก็ยอมรับและพัฒนาขึ้นในงานหน้า เราพยายามดูฟีดแบ็กต่างๆ ว่าอันไหนนำมาปรับใช้ได้บ้างในงานหน้า”
        ปิง :  “ตั้งแต่เราทำงาน เราชอบอ่านฟีดแบ็กมากๆ มันคือของจริงของคนดู เราคนทำงาน เราคิดกับมันอีกแบบนึง พอมันฉายไปถึงคนดูแล้วมันก็มีบางอย่างที่เราคิดไม่ถึง พอเราย้ายสนามมาสนามที่กว้างขึ้น เรายังไม่คุ้นเคยมาก ตั้งแต่เราทำเรื่อง เลือดข้นฯ เราได้เรียนรู้ว่ากลุ่มคนดูกว้างขึ้นเขารับกับการเล่าเรื่องแบบนี้นะ ต้องเล่าประมาณไหนถึงจะพอ แล้วเราก็เอาประสบการณ์จากเรื่องนั้นมาทำเรื่องนี้ แต่ว่าละครเรื่อง เลือดข้นฯ ก็ไม่เหมือนเรื่องนี้ เพราะว่าในชีวิตจริงเราไม่มีพี่น้องที่ฆ่ากัน เราอยู่ในฐานะคนดู เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรัก มันจะไปเฉียดกับชีวิตจริงมากขึ้น เราจะรู้สึกว่าตัวละครควรทำแบบนี้ซิ มันเลยเกิดฟีดแบ็กไปกับมัน ทั้งหมดคือคนดูอินกับมัน ถือว่าเราประสบความสำเร็จที่สามารถทำให้คนดูอินได้”
 
 
        ทำไมถึงทำเป็น 2 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นที่ฉายต่างประเทศ กับเวอร์ชั่นที่ฉายในไทย
        ปิง :  “เวอร์ชั่นต่างประเทศ มันเป็นเวอร์ชั่นที่เราต้องส่งก่อนล่วงหน้าเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ช่วงที่เราส่งเวอร์ชั่นนั้นไป พอในช่วงที่จะฉายในไทย เหมือนตัวเราเองได้มีเวลากลับไปกับมัน เราก็มีดูว่ามันมีบางอย่างไหมที่ทำให้คนดูเข้าใจตัวละครผิด มันมีการดึงบางฉากออกเล็กๆน้อยๆ ไม่มีเจตนาทำ 2 เวอร์ชั่น มันเป็นเรื่องระบบมากกว่า ที่เราต้องส่งตรงนั้นไปก่อน”
        บอส “จริงๆ พอมันมีสิ่งที่ต่างเล็กๆ น้อยๆ อารมณืคนดูก็เปลี่ยนแล้ว มันอาจจะมีคนบางกลุ่มที่ชอบอันนั้นจริงๆ หรือบางกลุ่มที่ชอบอันนี้จริงๆ เพราะว่ามันก็มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ มีส่วนกับอารมณ์ของคนดู”

       จะมีภาค 2 ไหม
       บอส :  “บอสทำเรื่องนี้มาปีครึ่ง ขอพักแปบหนึ่ง ในระหว่างที่ตัดสินใจว่าจะยังไง ขอให้ไปซบอกพี่ซันนี่แทน (หัวเราะ)”
    มาพูดถึงกระแสความแรงที่สุดของเรื่องนี้ คือการเลือกที่ให้ "หมอเต่า" ที่รับบท "บิวกิ้น" ตาย
       บอส : “ซีนนี้มันถูกวางไว้ตั้งแต่เขียนโครงสร้างบทแล้ว เพราะว่ามันมีตัวละครอยู่ตัวนึงที่เราคิดไม่ออก เราต้องหาทางลงให้มัน เริ่มจากตัวละครที่เต็มไปด้วยความแค้น ผู้หญิงคนนึงขับรถมาชนน้องสาวเราตาย มันก็เต็มไปด้วยความแค้น อยากที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นเสียชีวิต มันมีอะไรได้บ้างที่จะทำให้ตัวละครนี้เขาเรียนรู้ถึงการกระทำของเขา เราก็ต้องหาภาพให้คนดูมีอารมณ์ร่วมด้วยกัน ถ้าเราสร้างเหตุการณ์ให้ตัวละครตัวหนึ่งได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามันคืออุบัติเหตุไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ เลยถูกวางไว้ตั้งแต่ตอนเขียบทว่าต้องมีความสัมพันธ์ของตัวละครคู่หนึ่ง ที่ปลายทางจะเจอกับเหตุการณ์นี้ แล้วส่งผลให้ตัวละครมันกลมขึ้น และส่งสารว่าเราควรที่จะใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าที่สุด ใส่ใจกันให้มากที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป ซึ่งมันตรงตามที่เราต้องการ เราก็เลยต้องจัดสักหน่อย”

 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่