สวัสดีค่ะ
เรามีเรื่องอยากจะคำปรึกษา และขอแชร์ประาบการณ์เรื่องการใช้ชีวิตและวางแผนการเงิน
เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวเราพ่อแม่เป็นข้าราชการบำนาญ เราเป้นลูกคนกลาง อายุห่างจากพี่ชายสองปี และห่างจากน้องชายเราเจ็ดปี สมัยที่เราเรียน ม. ปลาย พ่อและแม่ส่งได้ส่งพี่ชายเราเรียนวิศวะ ม.เอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งแถวหมู่บ้านเมืองเอก พ่อแม่ส่งเงินให้ใช้รายเดือน ค่าลงทะเบียน ค่าจิปาถะอื่น ๆ มากมาย พี่เราไปเรียนตั้งแต่เราเข้าเรียนชั้น ม. 4 จนเราเรียนจบ ป.โท เขาเรียนไม่ไหวกลับมาอยู่บ้าน ระยะเวลาที่ผ่านมาพ่อและแม่หมดที่ดินไปหลายแปลง เข้า ๆ ออก ๆ สหกรณืออมทรับพ์ครูเป็นว่าเล่น เพื่อผันเป็นเงินค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกๆ โดยเฉพาะพี่ชายเรา วันหนึ่งเขากลับมาบ้านและบอกความจริงว่ารียนไม่ไหวขอกลับมาอยู่บ้าน พ่อเราก็บากหน้าไปขอคุยกับเพื่อนที่เป้นอธิการบดีราชภัฏแถวบ้านเราเพื่อขอให้ลูกตัวและแฟนสาวได้เข้าเรียนกลางเทอมโดยไม่ต้องรอสมัครสอบเหมือนคนอื่น ๆ เขา ในช่วงที่พี่เรากลับมาอยู่บ้านกับเรา แฟนเขาก็จะเทียวไป ๆ มา ๆ หากัน มาค้างบ้านเราบ้าง บ้านเขาบ้าง เราเองก็ทำงาน พร้อมทั้งเริ่มเรียนต่อ ป.โท ที่ ม.ราชภัฏ ที่เดียวกับกับพี่ชาย พอพี่ชายกลับมาอยู่บ้านเราถึงได้เห้นวิถึการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งต่างจากเรามาก อาจจะเป้นเพราะเราเป้นลูกผู้หญิง ที่พ่อแม่สอนให้รับผิดชอบดูแลคนในครอบครัวแทนพ่อและแม่ (จริง ๆ แล้วครอบครัวเราอยู่ต่างอำเภฮ พ่อและแม่ส่งลูก ๆ เข้ามาเรียนในตัวจังหวัด และสร้างบ้านพักให้ลูก ๆ อยู่ด้วยกัน โดยมีตาและยาย และหลัง ๆ มาพอน้องชายคนเล็กสุดย้ายมาเรียนในตัวอำเภอตอนอนุบาลสาม พี่เลี้ยงได้ย้ายมาอยู่กับพวกเรา ) ตั้งแต่เล็กจนโตบ้านเราจะมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือเลี้ยงดูพวกเรา เราลูกผู้หญิงจะโดนสอนให้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระพี่เลี้ยง ล้างจาน ซักเสื้อผ้า งานจิปาถะเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้าน ส่วนพี่ชายในสมัยนั้น ค่อนข้างถูกเลี้ยงแบบเอาใจ และสปอยด์พอสมควร เพราะตอนย้ายมาเรียนหนังสือในตัวเมืองพ่อแม่ก็ส่งเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีหอพักแม่บ้านดูแลเสร็จสรรพ จนกระทั่งย้ายออกมาอยู่บ้านตัวเองโดยมีตาและยายช่วยดูแลเราสองคน
พอพี่เรียนจบม.หก ก็ได้ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ น้องชายคนเล็กถูกส่งเข้ามาเรียนที่ตัวอำเภอ โดยมีพี่เลี้ยงติดตามมาช่วยดูแล ตาและยายย้ายกลับบ้านตัวเอง
พี่ชายเรียนที่กรุงเทพหลายปีจนกระทั่งเขากลับมาบ้านพร้อมแฟนและสารภาพว่าเขาเรียนไม่ไหวแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาพักการเรียนไปหลายปีแต่ทางบ้านไม่เคยรับรู้ พ่อและแม่ยังคิดว่าเขายังเรียนอยู่ส่งเงินรายเดือนและเงินลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง จนเรื่องมาแดงเพราะใบเกรดไม่ส่งมาบ้านหลายปี ไม่มีใบสร็จชำระค่าลงทะเบียนมาบ้านเหมือนเมื่อก่อนและที่สำคัญพี่เราเลือกที่จะกลับมาอยู่ที่บ้านเอง เพราะรายได้จากการเล่นดนตรีกลางคืนไม่พอใช้ เขาเคยขอเงินพ่อแม่ไปหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านก๋วยเยวแฟรนไชน์หน้ามหาลัย แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด พอกลับมาบ้านพี่เราเลือกเรียนเอกดนตรี ปีแรกผ่านไปด้วยดี ปีสองมาเริ่มขอเล่นดนตรีกลางคืน โดยอ้างเหตุผลว่าจะขอทำงานเลี้ยงตัวเอง แต่แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม เขาขอเปลี่ยนคณะ อ้างว่าอาจารย์ที่สอนเขาชอบหาเรื่องเขา เพราะเชาซิ่วมาจากที่อื่น เขาขอเรียนคณะอิเลคทรอนิคส์คอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เรียนไม่จบ เรียนปีสุดท้ายหรือแค่ทำโครงงานจบเท่านั้น แต่พี่เราไม่เอา อ้างเหตุผลโน้มน้าวจนพ่อแม่ไม่ว่า เพราะเขาจะขอทำงานเลี้ยงตัวเองด้วยการเป้นนักดนตรีกลางคืน การอยู่กับพี่และแฟนเขาที่ไป ๆ มา ๆ หากันและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างกันทำให้เรามีปัญหาและเครียด เราเลยหาทางออกด้วยการหางานทำที่อื่นที่เราสามารถย้ายออกจากบ้านได้ พอได้งานเราตัดสินใจย้ายออกมา ส่วนบ้านหลังนั้นพี่และแฟนเขาอยู่กันตามลำพัง น้องชายคนสุดท้องที่เรียนป.ตรี มหาวิทยาลับแถวบ้านก็เทียวไป ๆ มา ๆ โดยส่วนมากเขาจะนอนหอพัก กลับมาบ้านเฉพาะเวลาพ่อกับแม่มาเยี่ยมในเย็นวันศุกร์
ณ.ปัจจุบัน เราแต่งงานอาศัยและทำงานอยู่ต่างประเทศ พี่ชายแต่งงานกับแฟนเขาแล้วเปิดร้านขายของชำตรงหน้าบ้านที่พ่อเอาเงินหลังเกีษยณมาทำห้องแถวสองลอค แบ่งให้ลูกชายคนโตและคนเล็กคนละห้อง พี่ชายเปิดร้านขายของชำ หลังแต่งงาน และเล่นดนตรีไปด้วย แต่หลัง ๆ มา เขาเลิกเง่นเพราะเด็กรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ และหันมาขายของเต็มเวลา น้องชายคนเล็กเพิ่งแต่งงานและได้งานประจำทำเป็นอ.มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนจบ เทียวไปกลับบ้านทุกวัน หลังแม่เกีษยณ พ่อกับแม่ก็ย้ายมาอยู่ในตัวจังหวัดด้วยกันกับพี่และน้องโดยอาศัยอยู่ในบ้านเดิมหลังใหญ่ ส่วนพี่ชายคนโตพอพ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ใกล้กันได้สักพักก็เกิดปัญหากระทบกระทั่งคารมกัน จนทำให้เขาและเมียตัดสินใจกดบัครเครติดมาวิ่งบ.ช เพื่อกู้เงินซื้ออาคารพานิชย์ 2,8 ล้านบาท เพื่อย้ายไปอยู่กันตามลำพังและเปิดร้านค้าตรงนั้นอีกแห่ง บ้านใหม่เขาถัดไปจากบ้านเดิมไม่ไกล มากนัก หลังจากพี่และแฟนย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ไม่นานเขาก็เลิกกับ และได้แฟนใหม่มีลูกสาวอายุสองขวบด้วยกันหนึ่งคน และกำลังจะมีคนที่สอง ซึ่งปู่และย่าเป้นคนเลี้ยง พี่เราหันมาทำอาชีพปิ้งย่าง และขายส้มตำหน้าร้านขายของชำตัวเอง เขาเลยบอกว่าเขาและเมียเขาไม่มีเวลาที่จะสามารถดูแลลูกได้เพราะกว่าจะปิดร้านก็ตีหนึ่งตีสอง ปู่และย่าเลยอาสาดูแลหลานให้ โดยเอาหลานมาเลี้ยงที่บ้านตัวเอง
ปัญหาของพี่ชายเราคือเป้นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ทั้งการใช้ชีวิตและด้านการเงิน ซึ่งเป็นหนี้ผูกพันธ์มาจนถึงทุกวันนี้ ที่ดินมรดกที่พ่อแม่แบ่งให้ เขาก็ขายโดยให้เหตุผลว่าเอามาโป๊ะหนี้ ก้อนแรกจำนวน 350,000 หลังจากนั้นไปปีกว่าเขาก้มาติดต่อขายเซ้งร้านชำตรงห้องแถวร้านแรกที่พ่อกับแม่รับช่วงดูแลช่วยเขาให้กะเราต่อ เราจ่ายเงินสดเขาไป 80,000 ผ่านไปอีกปีเขาก็ขอเอาที่นาที่มรดกที่พ่อกับแม่สัญญาว่าจะยกให้เขาและน้องชายไปเข้าจำนองธนาคาร 200,000 กว่าบาท หนี้สินเขาก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ผ่านไปอีกไม่นานแม่กับพ่อก็มาปรึกษาลูก ๆ ที่เหลือว่าจะช่วยเหลือเขาโดยการกู้เงินฉุกเฉินของออมทรับพ์มาให้เขาราว ๆ 200,000 ดูเหมือนหนี้จะเบาไปได้สักพัก และไม่นานหนี้ก็บานปลายอีกครั้ง คราวนี้ทั้งรถยนต์ที่พ่อยกให้และปืนหนึ่งกระบอกเขาก็เอาไปจำนำ ดูเหมือนอะไรก็ยังไม่ดีขึ้น เมื่อเกือบสองปีที่แล้วเรากลับไทยเพื่อพักผ่อนและคุมการก่อสร้างบ้านของเรา มีวันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินสามคนมาติดต่อพ่อเราเพื่อติดตามทวงหนี้ที่พี่เราขาดชำระ ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาขาดชำระหนี้ที่จดจำนองที่นาไปหลายงวด จนเขาต้องออกมาตาม และเขายื่นคำขาดว่าหากวันนี้ไม่ได้เงินกลับไปด้วยเขาจะไม่ยอม พี่เข้ามาขอยืมเงินสดจากเราเพื่อชำระเขาไปก้อนหนึ่ง และหลังจากเขาเดินทางจากไปแล้ว พี่เราเข้ามาคุยเพื่อขอยืมเพิ่มให้มียอดครบ 30,000 บาท เราพยายามสอบถามเขาว่าจริง ๆ แล้วเขาเป้นหนี้เท่าไหร่ เพื่อช่วยดูว่าเขาเป้นหนี้อะไรบ้าง อันไหนเราควรจะจ่ายก่อนหรือหลัง เราคิดเสมอว่าการเป้นหนี้ก็คือรายได้ไม่สมดุลรายจ่าย เราขอร้องให้เขาเขียนลิสต์ออกมา พี่เราเลี่ยงที่จะบอกความจริง และการที่เราสอบถามกลับกลายเป้นที่มาให้เรากับแม่ต้องกระทบกระทั่งกัน เพราะในช่วงนั้นเราเองก็สร้างบ้านโดยสำรองเงินเก้บตัวเองไปก่อน ที่ธนาคารจะประเมินและเบิกจ่ายตามงวดก่อสร้าง เราเลยบอกแม่และพี่ไปว่า เดี่ยวต้องปรึกษาสามีก่อน อย่าพึ่งหวังจากเรามากแล้วกันพราะเราต้องมีเงินสำรองให้ช่าง แม่กลับพูดเหมือนประชดเราว่า สรุปว่าจะให้พี่ยืมได้หรือไม่ หากไม่ได้จะได้ให้มันไปกู้นอกระบบมา และมันเรื่องอะไรที่เธอต้องจี้ถามพี่ว่าเขาเป็นหนี้อะไรบ้าง เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาไม่ได้ไปทำผิดคอขาดบาดตาย เราเสียใจแต่ก็ต้องทำใจที่คนในบ้านกลับสงสารพี่เรามากกว่า เพราะเขามีภาระหนัก หนี้สินเยอะ สรุปเราก็ให้เขายืมไป ช่วงบ้านใกล้จะเสร็จเราขอซื้อที่ดินต่อจากน้องชายซึ่งเป้นลอคที่อยู่ติดกันกับที่เราสร้างบ้าน ประสบกับช่วงนั้นน้องชายเองก้บ่นว่าเที่ยวขับรถไปกลับบ้านและที่ทำงานสิ้นเปลืองน้ำมันและไม่คุ้ม เขาเลยอยากไปหาซื้อที่ใหม่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน ในช่วงนั้นเขาพึ่งจะคบหากับแฟนเขาใหม่ ๆ เราเลยเสนอขอซื้อต่อจากเขามาในราคา 750,000 บาท ก่อนเดินทางกลับต่างประเทศ เรากลับมาได้ไม่นานพี่ชายก็เริ่มมีปัญหาอีก เงินที่เขายืมไป 30,000 ว่าจะคืนเราสรุปเขาก้บอกเราว่าขอผ่อนให้กับน้องแทน เพราะเขารู้ว่าเรายังจ่ายค่าที่น้องไม่หมด พี่ชายยื่นข้อเสนอโอนที่ดินมรดกที่เขาได้จำนวนหนึ่งไร่ให้น้องไปเลยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจแลกกับการขอยืมเงินน้องชายมาอีกก้อน 330,000 บาท เพื่อมาแก้ไขปัญหาหนี้สินเขา เขามักจะบ่นเสมอว่าหนี้รายวันเขาเยอะ เงินก้อนสุดท้ายก็ไม่สามารถผ่อนหนักเป้นเบาได้นาน ที่ดินก็ตกเป้นของน้องโดยปริยายเพราะเขาไม่สามารถหาเงินมาคืนหรือผ่อนรายเดือนให้น้องได้ แต่ในทางกลับกันพี่ชายเรากลับพยายามขายที่ดินผืนนั้นให้คนอื่น ทั้ง ๆ ที่เขาโอนกรรมสิทธิ์ให้น้องชายไปแล้ว โดยหวังว่าน่าจะขายได้ตามราคาท้องตลาด และหวังจะเอาเงินมาจ่ายน้องเพื่อเหลือส่วนต่างไว้ใช้หนี้อื่น ๆ
เมื่อวันก่อน แม่บอกกับเราว่าพี่ชายขาดส่งงวดบ้านมาสามสี่งวดแล้ว ตอนนี้โดนค่าปรับและหนี้นอกระบบอื่น ๆ หนักมาก แม่จะพูดเสมอว่าพี่ค้าขายได้วันละหลายพันบาท หากหนี้มันไม่เยอะมันหน่ะสบายเงินทองเหลือกินเหลือใช้ เราได้ฟังก็มีแต่เวทนาใจ พ่อกับแม่มองไม่ออกเลยว่าปัญหาคืออะไร พี่บอกอะไรมาเขาคล้อยตามหมด
เรามองว่าปัญหาที่แท้จริงคือพี่เราน่าจะมาจากการที่เขาไม่ยอมรับความจริง ไม่รู้จักตัวเขาเอง ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองมีรายได้จริง ๆ เท่าไหร่ และบ้านคือปัญหาหลัก เรามองว่าเขาขาดวินัยในการบริหารจัดการเงิน หนี้ผูกพันธ์ทั้งหลายน่าจะมาจากการใช้เงินขาดวินัย และไม่สำรองเงินไว้จ่ายค่าบ้าน พอจะจ่ายกลับไม่มีเงินจ่ายเลยต้องกุ้เงินนอกระบบมาจ่าย แบกภาระดอกเบี้ยหลายทาง เราตัดสินใจคุยกับพี่เรื่องบ้าน ว่าเขาติดต่อขอประนอมหนี้หรือลดดอกกับธนาคารเจ้าหนี้หรือยัง เขาตอบว่าทำมาแล้ว ขอลดค่าปรับ สำหรับเขาผ่อนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ทุกวันนี้เขาผ่อนบ้านเดือนละ 17,600 ไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือจ่ายนอกระบบหมด แต่ก่อนเขาจ่ายถึงเดือนละ 80,000-90,000 บาท มากว่าสามสี่ปีแล้ว ตอนนี้เหลือเดือนละ 27,000
ขอคำแนะนำได้ไหมคะว่าเราจะแนะนำหรือให้ข้อคิดพี่เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเงินของเขายังไงดี เพราะตอนนี้พ่อกับแม่เราห่วงพี่มากกว่าสุขภาพตัวเองเราห้นแล้วก็สงสาร เราควรจะให้กำลังใจและแนะนำพ่อกับแม่ยังไงดีคะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลามานั่งอ่านกระทู้นี้ล่วงหน้าอย่างสูงมาก ๆ ค่ะ
ขอคำแนะนำปัญหาหนี้สินค่ะ
เรามีเรื่องอยากจะคำปรึกษา และขอแชร์ประาบการณ์เรื่องการใช้ชีวิตและวางแผนการเงิน
เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวเราพ่อแม่เป็นข้าราชการบำนาญ เราเป้นลูกคนกลาง อายุห่างจากพี่ชายสองปี และห่างจากน้องชายเราเจ็ดปี สมัยที่เราเรียน ม. ปลาย พ่อและแม่ส่งได้ส่งพี่ชายเราเรียนวิศวะ ม.เอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งแถวหมู่บ้านเมืองเอก พ่อแม่ส่งเงินให้ใช้รายเดือน ค่าลงทะเบียน ค่าจิปาถะอื่น ๆ มากมาย พี่เราไปเรียนตั้งแต่เราเข้าเรียนชั้น ม. 4 จนเราเรียนจบ ป.โท เขาเรียนไม่ไหวกลับมาอยู่บ้าน ระยะเวลาที่ผ่านมาพ่อและแม่หมดที่ดินไปหลายแปลง เข้า ๆ ออก ๆ สหกรณืออมทรับพ์ครูเป็นว่าเล่น เพื่อผันเป็นเงินค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกๆ โดยเฉพาะพี่ชายเรา วันหนึ่งเขากลับมาบ้านและบอกความจริงว่ารียนไม่ไหวขอกลับมาอยู่บ้าน พ่อเราก็บากหน้าไปขอคุยกับเพื่อนที่เป้นอธิการบดีราชภัฏแถวบ้านเราเพื่อขอให้ลูกตัวและแฟนสาวได้เข้าเรียนกลางเทอมโดยไม่ต้องรอสมัครสอบเหมือนคนอื่น ๆ เขา ในช่วงที่พี่เรากลับมาอยู่บ้านกับเรา แฟนเขาก็จะเทียวไป ๆ มา ๆ หากัน มาค้างบ้านเราบ้าง บ้านเขาบ้าง เราเองก็ทำงาน พร้อมทั้งเริ่มเรียนต่อ ป.โท ที่ ม.ราชภัฏ ที่เดียวกับกับพี่ชาย พอพี่ชายกลับมาอยู่บ้านเราถึงได้เห้นวิถึการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งต่างจากเรามาก อาจจะเป้นเพราะเราเป้นลูกผู้หญิง ที่พ่อแม่สอนให้รับผิดชอบดูแลคนในครอบครัวแทนพ่อและแม่ (จริง ๆ แล้วครอบครัวเราอยู่ต่างอำเภฮ พ่อและแม่ส่งลูก ๆ เข้ามาเรียนในตัวจังหวัด และสร้างบ้านพักให้ลูก ๆ อยู่ด้วยกัน โดยมีตาและยาย และหลัง ๆ มาพอน้องชายคนเล็กสุดย้ายมาเรียนในตัวอำเภอตอนอนุบาลสาม พี่เลี้ยงได้ย้ายมาอยู่กับพวกเรา ) ตั้งแต่เล็กจนโตบ้านเราจะมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือเลี้ยงดูพวกเรา เราลูกผู้หญิงจะโดนสอนให้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระพี่เลี้ยง ล้างจาน ซักเสื้อผ้า งานจิปาถะเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้าน ส่วนพี่ชายในสมัยนั้น ค่อนข้างถูกเลี้ยงแบบเอาใจ และสปอยด์พอสมควร เพราะตอนย้ายมาเรียนหนังสือในตัวเมืองพ่อแม่ก็ส่งเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีหอพักแม่บ้านดูแลเสร็จสรรพ จนกระทั่งย้ายออกมาอยู่บ้านตัวเองโดยมีตาและยายช่วยดูแลเราสองคน
พอพี่เรียนจบม.หก ก็ได้ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ น้องชายคนเล็กถูกส่งเข้ามาเรียนที่ตัวอำเภอ โดยมีพี่เลี้ยงติดตามมาช่วยดูแล ตาและยายย้ายกลับบ้านตัวเอง
พี่ชายเรียนที่กรุงเทพหลายปีจนกระทั่งเขากลับมาบ้านพร้อมแฟนและสารภาพว่าเขาเรียนไม่ไหวแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาพักการเรียนไปหลายปีแต่ทางบ้านไม่เคยรับรู้ พ่อและแม่ยังคิดว่าเขายังเรียนอยู่ส่งเงินรายเดือนและเงินลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง จนเรื่องมาแดงเพราะใบเกรดไม่ส่งมาบ้านหลายปี ไม่มีใบสร็จชำระค่าลงทะเบียนมาบ้านเหมือนเมื่อก่อนและที่สำคัญพี่เราเลือกที่จะกลับมาอยู่ที่บ้านเอง เพราะรายได้จากการเล่นดนตรีกลางคืนไม่พอใช้ เขาเคยขอเงินพ่อแม่ไปหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านก๋วยเยวแฟรนไชน์หน้ามหาลัย แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด พอกลับมาบ้านพี่เราเลือกเรียนเอกดนตรี ปีแรกผ่านไปด้วยดี ปีสองมาเริ่มขอเล่นดนตรีกลางคืน โดยอ้างเหตุผลว่าจะขอทำงานเลี้ยงตัวเอง แต่แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม เขาขอเปลี่ยนคณะ อ้างว่าอาจารย์ที่สอนเขาชอบหาเรื่องเขา เพราะเชาซิ่วมาจากที่อื่น เขาขอเรียนคณะอิเลคทรอนิคส์คอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เรียนไม่จบ เรียนปีสุดท้ายหรือแค่ทำโครงงานจบเท่านั้น แต่พี่เราไม่เอา อ้างเหตุผลโน้มน้าวจนพ่อแม่ไม่ว่า เพราะเขาจะขอทำงานเลี้ยงตัวเองด้วยการเป้นนักดนตรีกลางคืน การอยู่กับพี่และแฟนเขาที่ไป ๆ มา ๆ หากันและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างกันทำให้เรามีปัญหาและเครียด เราเลยหาทางออกด้วยการหางานทำที่อื่นที่เราสามารถย้ายออกจากบ้านได้ พอได้งานเราตัดสินใจย้ายออกมา ส่วนบ้านหลังนั้นพี่และแฟนเขาอยู่กันตามลำพัง น้องชายคนสุดท้องที่เรียนป.ตรี มหาวิทยาลับแถวบ้านก็เทียวไป ๆ มา ๆ โดยส่วนมากเขาจะนอนหอพัก กลับมาบ้านเฉพาะเวลาพ่อกับแม่มาเยี่ยมในเย็นวันศุกร์
ณ.ปัจจุบัน เราแต่งงานอาศัยและทำงานอยู่ต่างประเทศ พี่ชายแต่งงานกับแฟนเขาแล้วเปิดร้านขายของชำตรงหน้าบ้านที่พ่อเอาเงินหลังเกีษยณมาทำห้องแถวสองลอค แบ่งให้ลูกชายคนโตและคนเล็กคนละห้อง พี่ชายเปิดร้านขายของชำ หลังแต่งงาน และเล่นดนตรีไปด้วย แต่หลัง ๆ มา เขาเลิกเง่นเพราะเด็กรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ และหันมาขายของเต็มเวลา น้องชายคนเล็กเพิ่งแต่งงานและได้งานประจำทำเป็นอ.มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนจบ เทียวไปกลับบ้านทุกวัน หลังแม่เกีษยณ พ่อกับแม่ก็ย้ายมาอยู่ในตัวจังหวัดด้วยกันกับพี่และน้องโดยอาศัยอยู่ในบ้านเดิมหลังใหญ่ ส่วนพี่ชายคนโตพอพ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ใกล้กันได้สักพักก็เกิดปัญหากระทบกระทั่งคารมกัน จนทำให้เขาและเมียตัดสินใจกดบัครเครติดมาวิ่งบ.ช เพื่อกู้เงินซื้ออาคารพานิชย์ 2,8 ล้านบาท เพื่อย้ายไปอยู่กันตามลำพังและเปิดร้านค้าตรงนั้นอีกแห่ง บ้านใหม่เขาถัดไปจากบ้านเดิมไม่ไกล มากนัก หลังจากพี่และแฟนย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ไม่นานเขาก็เลิกกับ และได้แฟนใหม่มีลูกสาวอายุสองขวบด้วยกันหนึ่งคน และกำลังจะมีคนที่สอง ซึ่งปู่และย่าเป้นคนเลี้ยง พี่เราหันมาทำอาชีพปิ้งย่าง และขายส้มตำหน้าร้านขายของชำตัวเอง เขาเลยบอกว่าเขาและเมียเขาไม่มีเวลาที่จะสามารถดูแลลูกได้เพราะกว่าจะปิดร้านก็ตีหนึ่งตีสอง ปู่และย่าเลยอาสาดูแลหลานให้ โดยเอาหลานมาเลี้ยงที่บ้านตัวเอง
ปัญหาของพี่ชายเราคือเป้นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ทั้งการใช้ชีวิตและด้านการเงิน ซึ่งเป็นหนี้ผูกพันธ์มาจนถึงทุกวันนี้ ที่ดินมรดกที่พ่อแม่แบ่งให้ เขาก็ขายโดยให้เหตุผลว่าเอามาโป๊ะหนี้ ก้อนแรกจำนวน 350,000 หลังจากนั้นไปปีกว่าเขาก้มาติดต่อขายเซ้งร้านชำตรงห้องแถวร้านแรกที่พ่อกับแม่รับช่วงดูแลช่วยเขาให้กะเราต่อ เราจ่ายเงินสดเขาไป 80,000 ผ่านไปอีกปีเขาก็ขอเอาที่นาที่มรดกที่พ่อกับแม่สัญญาว่าจะยกให้เขาและน้องชายไปเข้าจำนองธนาคาร 200,000 กว่าบาท หนี้สินเขาก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ผ่านไปอีกไม่นานแม่กับพ่อก็มาปรึกษาลูก ๆ ที่เหลือว่าจะช่วยเหลือเขาโดยการกู้เงินฉุกเฉินของออมทรับพ์มาให้เขาราว ๆ 200,000 ดูเหมือนหนี้จะเบาไปได้สักพัก และไม่นานหนี้ก็บานปลายอีกครั้ง คราวนี้ทั้งรถยนต์ที่พ่อยกให้และปืนหนึ่งกระบอกเขาก็เอาไปจำนำ ดูเหมือนอะไรก็ยังไม่ดีขึ้น เมื่อเกือบสองปีที่แล้วเรากลับไทยเพื่อพักผ่อนและคุมการก่อสร้างบ้านของเรา มีวันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินสามคนมาติดต่อพ่อเราเพื่อติดตามทวงหนี้ที่พี่เราขาดชำระ ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาขาดชำระหนี้ที่จดจำนองที่นาไปหลายงวด จนเขาต้องออกมาตาม และเขายื่นคำขาดว่าหากวันนี้ไม่ได้เงินกลับไปด้วยเขาจะไม่ยอม พี่เข้ามาขอยืมเงินสดจากเราเพื่อชำระเขาไปก้อนหนึ่ง และหลังจากเขาเดินทางจากไปแล้ว พี่เราเข้ามาคุยเพื่อขอยืมเพิ่มให้มียอดครบ 30,000 บาท เราพยายามสอบถามเขาว่าจริง ๆ แล้วเขาเป้นหนี้เท่าไหร่ เพื่อช่วยดูว่าเขาเป้นหนี้อะไรบ้าง อันไหนเราควรจะจ่ายก่อนหรือหลัง เราคิดเสมอว่าการเป้นหนี้ก็คือรายได้ไม่สมดุลรายจ่าย เราขอร้องให้เขาเขียนลิสต์ออกมา พี่เราเลี่ยงที่จะบอกความจริง และการที่เราสอบถามกลับกลายเป้นที่มาให้เรากับแม่ต้องกระทบกระทั่งกัน เพราะในช่วงนั้นเราเองก็สร้างบ้านโดยสำรองเงินเก้บตัวเองไปก่อน ที่ธนาคารจะประเมินและเบิกจ่ายตามงวดก่อสร้าง เราเลยบอกแม่และพี่ไปว่า เดี่ยวต้องปรึกษาสามีก่อน อย่าพึ่งหวังจากเรามากแล้วกันพราะเราต้องมีเงินสำรองให้ช่าง แม่กลับพูดเหมือนประชดเราว่า สรุปว่าจะให้พี่ยืมได้หรือไม่ หากไม่ได้จะได้ให้มันไปกู้นอกระบบมา และมันเรื่องอะไรที่เธอต้องจี้ถามพี่ว่าเขาเป็นหนี้อะไรบ้าง เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาไม่ได้ไปทำผิดคอขาดบาดตาย เราเสียใจแต่ก็ต้องทำใจที่คนในบ้านกลับสงสารพี่เรามากกว่า เพราะเขามีภาระหนัก หนี้สินเยอะ สรุปเราก็ให้เขายืมไป ช่วงบ้านใกล้จะเสร็จเราขอซื้อที่ดินต่อจากน้องชายซึ่งเป้นลอคที่อยู่ติดกันกับที่เราสร้างบ้าน ประสบกับช่วงนั้นน้องชายเองก้บ่นว่าเที่ยวขับรถไปกลับบ้านและที่ทำงานสิ้นเปลืองน้ำมันและไม่คุ้ม เขาเลยอยากไปหาซื้อที่ใหม่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน ในช่วงนั้นเขาพึ่งจะคบหากับแฟนเขาใหม่ ๆ เราเลยเสนอขอซื้อต่อจากเขามาในราคา 750,000 บาท ก่อนเดินทางกลับต่างประเทศ เรากลับมาได้ไม่นานพี่ชายก็เริ่มมีปัญหาอีก เงินที่เขายืมไป 30,000 ว่าจะคืนเราสรุปเขาก้บอกเราว่าขอผ่อนให้กับน้องแทน เพราะเขารู้ว่าเรายังจ่ายค่าที่น้องไม่หมด พี่ชายยื่นข้อเสนอโอนที่ดินมรดกที่เขาได้จำนวนหนึ่งไร่ให้น้องไปเลยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจแลกกับการขอยืมเงินน้องชายมาอีกก้อน 330,000 บาท เพื่อมาแก้ไขปัญหาหนี้สินเขา เขามักจะบ่นเสมอว่าหนี้รายวันเขาเยอะ เงินก้อนสุดท้ายก็ไม่สามารถผ่อนหนักเป้นเบาได้นาน ที่ดินก็ตกเป้นของน้องโดยปริยายเพราะเขาไม่สามารถหาเงินมาคืนหรือผ่อนรายเดือนให้น้องได้ แต่ในทางกลับกันพี่ชายเรากลับพยายามขายที่ดินผืนนั้นให้คนอื่น ทั้ง ๆ ที่เขาโอนกรรมสิทธิ์ให้น้องชายไปแล้ว โดยหวังว่าน่าจะขายได้ตามราคาท้องตลาด และหวังจะเอาเงินมาจ่ายน้องเพื่อเหลือส่วนต่างไว้ใช้หนี้อื่น ๆ
เมื่อวันก่อน แม่บอกกับเราว่าพี่ชายขาดส่งงวดบ้านมาสามสี่งวดแล้ว ตอนนี้โดนค่าปรับและหนี้นอกระบบอื่น ๆ หนักมาก แม่จะพูดเสมอว่าพี่ค้าขายได้วันละหลายพันบาท หากหนี้มันไม่เยอะมันหน่ะสบายเงินทองเหลือกินเหลือใช้ เราได้ฟังก็มีแต่เวทนาใจ พ่อกับแม่มองไม่ออกเลยว่าปัญหาคืออะไร พี่บอกอะไรมาเขาคล้อยตามหมด
เรามองว่าปัญหาที่แท้จริงคือพี่เราน่าจะมาจากการที่เขาไม่ยอมรับความจริง ไม่รู้จักตัวเขาเอง ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองมีรายได้จริง ๆ เท่าไหร่ และบ้านคือปัญหาหลัก เรามองว่าเขาขาดวินัยในการบริหารจัดการเงิน หนี้ผูกพันธ์ทั้งหลายน่าจะมาจากการใช้เงินขาดวินัย และไม่สำรองเงินไว้จ่ายค่าบ้าน พอจะจ่ายกลับไม่มีเงินจ่ายเลยต้องกุ้เงินนอกระบบมาจ่าย แบกภาระดอกเบี้ยหลายทาง เราตัดสินใจคุยกับพี่เรื่องบ้าน ว่าเขาติดต่อขอประนอมหนี้หรือลดดอกกับธนาคารเจ้าหนี้หรือยัง เขาตอบว่าทำมาแล้ว ขอลดค่าปรับ สำหรับเขาผ่อนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ทุกวันนี้เขาผ่อนบ้านเดือนละ 17,600 ไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือจ่ายนอกระบบหมด แต่ก่อนเขาจ่ายถึงเดือนละ 80,000-90,000 บาท มากว่าสามสี่ปีแล้ว ตอนนี้เหลือเดือนละ 27,000
ขอคำแนะนำได้ไหมคะว่าเราจะแนะนำหรือให้ข้อคิดพี่เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเงินของเขายังไงดี เพราะตอนนี้พ่อกับแม่เราห่วงพี่มากกว่าสุขภาพตัวเองเราห้นแล้วก็สงสาร เราควรจะให้กำลังใจและแนะนำพ่อกับแม่ยังไงดีคะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลามานั่งอ่านกระทู้นี้ล่วงหน้าอย่างสูงมาก ๆ ค่ะ