เห็นบ่อยๆแล้วอยากจะรวบรวมความคิดในมุมมอง ผู้ใหญ่คนนึง
สิ่งที่ได้จากการเรียนปริญญาตรี
คือ การฝึกความอดทน ฝึกความพยายาม ฝึกการเฝ้ารอ
คือ การขัดเกลาจิตใจ
คือ การได้เจอสังคมอุดมปัญญา
คือ การฝึกปฎิบัติ และลงมือทำ
มันเป็นการฝึกทีละเล็กละน้อยแล้วค่อยเห็นผลช้าๆในตอนท้าย
สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาสะสม คนไม่ได้เรียนอาจจะได้ฝึกบ้าง แต่โอกาสจะมีกรอบความคิดที่ดีมีน้อย
เดี๋ยวนี้คนมัวแต่หาสูตรสำเร็จตาม internet ดูวิธีลัดเลย ดู youtube แบบเร็ว แล้วคิดว่าตัวเองรู้แล้ว
แต่ถ้าคิดว่ารู้แล้วไม่ลงมือทำก็ไม่มีประโยชน์
ลองคิดดูว่าถ้าในอนาคตใครๆก็ดู youtube ได้ คนเราจะต่างกันตรงไหน
ผมอยากตอบว่า ต่างกันตรงที่ คนจบปริญญาได้ฝึกฝนอะไรมากกว่า และมันหาฝึกไม่ได้ง่ายๆเมื่อแก่ตัวลงไป
คนเราพอยิ่งแก่ยิ่งจะอยากเอาเวลาไปหาเงิน แล้วเริ่มเรียนน้อยลง เพราะมัวแต่หาเงิน
ตามหลัง Demand-Supply ถ้าคนคิดจะไม่เรียนหนังสือเยอะขึ้นเรื่อยๆ
คนก็จะพากันแห่ไปดู youtube แล้ว ไปเป็นนักแคสเกม นักขายของออนไลน์ หรือทำอาชีพที่ไม่ต้องมีใบประกอบมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลคือเราจะได้แรงงานราคาถูก ถูกแบบสุดๆ ถูกกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก เพราะสุดท้ายทุกคนตัดราคาเพื่ออยู่รอดกันเอง
ส่วนคนที่ได้เรียนหนังสือ จะมีค่าดั่งทองคำ เพราะความรู้เขาได้มายากลำบากมาก แล้วงานยากๆ ไม่มีคนกล้าทำ ก็เลยเป็นที่ต้องการสูงอยู่แล้ว กลายเป็นสูงจนหาตัวจับยาก
คำว่ายากลำบากมันคือการฝึกฝนอย่างนึง ซึ่งยิ่งไม่ฝึกเวลาทำอะไรก็จะไม่เคยชินและคิดว่ายากๆๆ ตลอดเวลา จนกลายเป็นคนอดทนอะไรไม่ได้เหมือนที่เด็กสมัยนี้เป็นกันเยอะแยะมากมาย จนตัวเด็กเองก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยลองเจอสิ่งที่ลำบาก
ประวัติศาสตร์ มันซ้ำรอยมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว trend ที่แห่ๆกันไป มีแต่พากันไปเจ๊ง ยกตัวอย่างเช่น
การปลูกยาง
การขายตรง mlm
การเล่นบิตคอย
การออกมาขายสบู่
การออกมาขายกาแฟ
การออกมาขายชา
การออกมาขายของออนไลน์
การออกมา live สดขายของ
การออกมาเป็น you-tuber
การออกมาเป็น gamer, cast game
การออกมาขับ uber
การออกมาขับ grab bike
มีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จ
อะไรที่แห่ๆกันไปทำ ขอให้ดูแลจำเป็นตัวอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่เคยมีใครจำได้สักที
เบื่อกระทู้ประเภท เรียนปริญญาดีไหม หรือไม่ต้องเรียนดีครับ อยากฝากเตือนน้องๆ
สิ่งที่ได้จากการเรียนปริญญาตรี
คือ การฝึกความอดทน ฝึกความพยายาม ฝึกการเฝ้ารอ
คือ การขัดเกลาจิตใจ
คือ การได้เจอสังคมอุดมปัญญา
คือ การฝึกปฎิบัติ และลงมือทำ
มันเป็นการฝึกทีละเล็กละน้อยแล้วค่อยเห็นผลช้าๆในตอนท้าย
สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาสะสม คนไม่ได้เรียนอาจจะได้ฝึกบ้าง แต่โอกาสจะมีกรอบความคิดที่ดีมีน้อย
เดี๋ยวนี้คนมัวแต่หาสูตรสำเร็จตาม internet ดูวิธีลัดเลย ดู youtube แบบเร็ว แล้วคิดว่าตัวเองรู้แล้ว
แต่ถ้าคิดว่ารู้แล้วไม่ลงมือทำก็ไม่มีประโยชน์
ลองคิดดูว่าถ้าในอนาคตใครๆก็ดู youtube ได้ คนเราจะต่างกันตรงไหน
ผมอยากตอบว่า ต่างกันตรงที่ คนจบปริญญาได้ฝึกฝนอะไรมากกว่า และมันหาฝึกไม่ได้ง่ายๆเมื่อแก่ตัวลงไป
คนเราพอยิ่งแก่ยิ่งจะอยากเอาเวลาไปหาเงิน แล้วเริ่มเรียนน้อยลง เพราะมัวแต่หาเงิน
ตามหลัง Demand-Supply ถ้าคนคิดจะไม่เรียนหนังสือเยอะขึ้นเรื่อยๆ
คนก็จะพากันแห่ไปดู youtube แล้ว ไปเป็นนักแคสเกม นักขายของออนไลน์ หรือทำอาชีพที่ไม่ต้องมีใบประกอบมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลคือเราจะได้แรงงานราคาถูก ถูกแบบสุดๆ ถูกกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก เพราะสุดท้ายทุกคนตัดราคาเพื่ออยู่รอดกันเอง
ส่วนคนที่ได้เรียนหนังสือ จะมีค่าดั่งทองคำ เพราะความรู้เขาได้มายากลำบากมาก แล้วงานยากๆ ไม่มีคนกล้าทำ ก็เลยเป็นที่ต้องการสูงอยู่แล้ว กลายเป็นสูงจนหาตัวจับยาก
คำว่ายากลำบากมันคือการฝึกฝนอย่างนึง ซึ่งยิ่งไม่ฝึกเวลาทำอะไรก็จะไม่เคยชินและคิดว่ายากๆๆ ตลอดเวลา จนกลายเป็นคนอดทนอะไรไม่ได้เหมือนที่เด็กสมัยนี้เป็นกันเยอะแยะมากมาย จนตัวเด็กเองก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยลองเจอสิ่งที่ลำบาก
ประวัติศาสตร์ มันซ้ำรอยมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว trend ที่แห่ๆกันไป มีแต่พากันไปเจ๊ง ยกตัวอย่างเช่น
การปลูกยาง
การขายตรง mlm
การเล่นบิตคอย
การออกมาขายสบู่
การออกมาขายกาแฟ
การออกมาขายชา
การออกมาขายของออนไลน์
การออกมา live สดขายของ
การออกมาเป็น you-tuber
การออกมาเป็น gamer, cast game
การออกมาขับ uber
การออกมาขับ grab bike
มีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จ
อะไรที่แห่ๆกันไปทำ ขอให้ดูแลจำเป็นตัวอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่เคยมีใครจำได้สักที