เซ็นสัญญากันไปหมาด ๆ กับโครงการที่จะพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของรถไฟไทย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และ กลุ่มกิจการร่วมค้า เจริฐโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด (ซีพีเอช CPH) ซึ่งเป็นโครงการที่คนส่วนใหญ่อยากให้เกิดโดยเร็ว และเป็นโครงการแห่งความหวัง ที่คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จ จะทำให้เกิดการพัฒนาเมืองโดยรอบสถานี นำความเจริญสู่ชุมชน เกิดการกระจายรายได้ โดยจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 650,000 ล้านบาท ถือเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทย ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
สำหรับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการนี้ที่จะมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไร มีมุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการสองท่าน
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์ มองว่า ตัวแปรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยคือการพัฒนาเมือง ที่ทำให้ไม่เกิดการกระจุกตัวอีกต่อไป หรือที่เรียกว่า urbanization ซึ่งมีปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นตัวช่วย เช่น รถไฟความเร็วสูง ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่มีความอัจฉริยะหรือ smart ใน 4 ด้าน ได้แก่
1. Smart Industry หรือการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะที่อยู่ใน S-Curve และ New S-Curve หรือกลุ่มเทคโนโลยี 4.0
2. Smart Food & Agriculture การพัฒนาด้านอาหารและเกษตร ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วย ซึ่งภาคตะวันออกมีองค์ประกอบด้านนี้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หรืออาหารทะเล
3. Smart Service การพัฒนาบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการท่องเที่ยว (healthcare and wellness)
4. Smart City การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือระบบอัตโนมัติในบ้าน (smart home, smart office)
นอกจากนี้ รศ.ดร.สมภพ ยังมองว่า สงครามการค้าจะทำให้ประเทศต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิต ประเทศไทยจึงควรเตรียมพร้อมรองรับเรื่องนี้ โดยยกระดับภาคบริการ โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ เช่น การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ โดยเฉพาะการพัฒนาเบญจภาคีโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม ได้แก่
1. ระบบขนส่งทางราง เช่น รถไฟ รถไฟความเร็วสูง
2. ระบบขนส่งทางบก เช่น ถนน มอเตอร์เวย์
3. ระบบขนส่งทางอากาศ เช่น เครืองบิน ท่าอากาศยาน
4. ระบบขนส่งทางน้ำ เช่น ท่าเรือ
5. ระบบไซเบอร์
โดยต้องให้ทั้งหมดเกิดการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อจะผลักดันให้เกิดความเจริญในด้านต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย
ด้าน รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มองว่า รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะเป็นตัวช่วยดึงนักลงทุนจีนได้แน่นอน แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขหรือระยะเวลา เพราะจะเป็นตัวเชื่อมโยงสู่คลัสเตอร์หลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น คลัสเตอร์เรื่องการท่องเที่ยว ด้านการเงิน หรือการเรียนรู้ และในกรณีนี้ ‘อีอีซี’ ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงอีกด้วย หากโครงการนี้ทำสำเร็จ ไทยจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ฉะนั้น โครงการนี้จะเป็นการขยายตัวทางด้านการท่องเที่ยว การลงทุน และโลจิสติกส์ ฯลฯ
โครงการนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ‘จุดที่รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน วิ่งผ่าน’ จะมีการขยายตัวของชุมชนในหลาย ๆ จุด นำไปสู่การขยายตัวชุมชนเมือง เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะไปช่วยดึงการลงทุน การพัฒนา
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมชาย ฝากข้อกังวลไว้ 3 เรื่อง
ข้อแรก ที่น่าห่วงมากที่สุด คือ จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายได้หรือไม่ ที่เห็นได้ชัดเลยตอนนี้ คือ การเวนคืน ซึ่งรัฐบาลจะทำได้ตามเป้าหมายขนาดไหน
ข้อ 2 คือ ประเด็นปัญหาเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ที่อยู่ในลักษณะหมิ่นเหม่ ขาลง ซึ่งจีนเองก็เป็นนักลงทุนที่สำคัญ เศรษฐกิจจีนตอนนี้ลงมาต่ำสุดในรอบ 30 ปี ที่น่าเป็นห่วง คือ ถ้าเศรษฐกิจจีนขยายตัวลดลง ถึงจุดหนึ่งอาจส่งผลกระทบในเรื่องการลงทุนกับจีน กระทบกับโครงการได้เหมือนกัน
ข้อ 3 คือ ยกตัวอย่าง ‘สเปน’ สร้างทางรถไฟโดยหวังว่าสองข้างทางจะมีการพัฒนาชุมชนเมือง แต่สุดท้าย ณ บางแห่ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันผ่านไป แรงดึงดูดที่จะสร้างชุมชนเมืองจะต้องมีแม่เหล็กที่จะทำ อันนี้ก็จะเกิดประเด็นปัญหาการพัฒนาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชุมชนเมืองในหลายๆ จุด
"การบานปลายที่ลงทุนไปแล้ว หมายถึงว่า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่างๆ บานปลายหรือไม่"
นักวิชาการสองท่านมองสอดคล้องกันว่า โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างรถไฟความเร็วสูงจะเป็นตัวนำมาซึ่งความเจริญด้านอื่น ๆ ตอนนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับ ร.ฟ.ท. ให้ส่งมอบพื้นที่ทันตามสัญญา และกลุ่มซีพีเอช ให้สร้างเสร็จตามกำหนด และพัฒนาพื้นที่โดยรอบได้ตามแผน เพื่อให้รถไฟความเร็วสูงสายนี้เป็นตัวนำความเจริญด้านต่าง ๆ สู่ประเทศได้จริง ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ข้อมูลจาก https://www.thairath.co.th/scoop/1692035
ขอบคุณรูปจาก realist, ไทยรัฐ
นักวิชาการประสานเสียงเตรียมพร้อมรับความเจริญจากไฮสปีดเชื่อมสนามบิน
สำหรับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการนี้ที่จะมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไร มีมุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการสองท่าน
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์ มองว่า ตัวแปรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยคือการพัฒนาเมือง ที่ทำให้ไม่เกิดการกระจุกตัวอีกต่อไป หรือที่เรียกว่า urbanization ซึ่งมีปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นตัวช่วย เช่น รถไฟความเร็วสูง ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่มีความอัจฉริยะหรือ smart ใน 4 ด้าน ได้แก่
1. Smart Industry หรือการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะที่อยู่ใน S-Curve และ New S-Curve หรือกลุ่มเทคโนโลยี 4.0
2. Smart Food & Agriculture การพัฒนาด้านอาหารและเกษตร ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วย ซึ่งภาคตะวันออกมีองค์ประกอบด้านนี้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หรืออาหารทะเล
3. Smart Service การพัฒนาบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการท่องเที่ยว (healthcare and wellness)
4. Smart City การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือระบบอัตโนมัติในบ้าน (smart home, smart office)
นอกจากนี้ รศ.ดร.สมภพ ยังมองว่า สงครามการค้าจะทำให้ประเทศต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิต ประเทศไทยจึงควรเตรียมพร้อมรองรับเรื่องนี้ โดยยกระดับภาคบริการ โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ เช่น การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ โดยเฉพาะการพัฒนาเบญจภาคีโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม ได้แก่
1. ระบบขนส่งทางราง เช่น รถไฟ รถไฟความเร็วสูง
2. ระบบขนส่งทางบก เช่น ถนน มอเตอร์เวย์
3. ระบบขนส่งทางอากาศ เช่น เครืองบิน ท่าอากาศยาน
4. ระบบขนส่งทางน้ำ เช่น ท่าเรือ
5. ระบบไซเบอร์
โดยต้องให้ทั้งหมดเกิดการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อจะผลักดันให้เกิดความเจริญในด้านต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย
ด้าน รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มองว่า รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะเป็นตัวช่วยดึงนักลงทุนจีนได้แน่นอน แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขหรือระยะเวลา เพราะจะเป็นตัวเชื่อมโยงสู่คลัสเตอร์หลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น คลัสเตอร์เรื่องการท่องเที่ยว ด้านการเงิน หรือการเรียนรู้ และในกรณีนี้ ‘อีอีซี’ ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงอีกด้วย หากโครงการนี้ทำสำเร็จ ไทยจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ฉะนั้น โครงการนี้จะเป็นการขยายตัวทางด้านการท่องเที่ยว การลงทุน และโลจิสติกส์ ฯลฯ
โครงการนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ‘จุดที่รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน วิ่งผ่าน’ จะมีการขยายตัวของชุมชนในหลาย ๆ จุด นำไปสู่การขยายตัวชุมชนเมือง เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะไปช่วยดึงการลงทุน การพัฒนา
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมชาย ฝากข้อกังวลไว้ 3 เรื่อง
ข้อแรก ที่น่าห่วงมากที่สุด คือ จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายได้หรือไม่ ที่เห็นได้ชัดเลยตอนนี้ คือ การเวนคืน ซึ่งรัฐบาลจะทำได้ตามเป้าหมายขนาดไหน
ข้อ 2 คือ ประเด็นปัญหาเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ที่อยู่ในลักษณะหมิ่นเหม่ ขาลง ซึ่งจีนเองก็เป็นนักลงทุนที่สำคัญ เศรษฐกิจจีนตอนนี้ลงมาต่ำสุดในรอบ 30 ปี ที่น่าเป็นห่วง คือ ถ้าเศรษฐกิจจีนขยายตัวลดลง ถึงจุดหนึ่งอาจส่งผลกระทบในเรื่องการลงทุนกับจีน กระทบกับโครงการได้เหมือนกัน
ข้อ 3 คือ ยกตัวอย่าง ‘สเปน’ สร้างทางรถไฟโดยหวังว่าสองข้างทางจะมีการพัฒนาชุมชนเมือง แต่สุดท้าย ณ บางแห่ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันผ่านไป แรงดึงดูดที่จะสร้างชุมชนเมืองจะต้องมีแม่เหล็กที่จะทำ อันนี้ก็จะเกิดประเด็นปัญหาการพัฒนาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชุมชนเมืองในหลายๆ จุด
"การบานปลายที่ลงทุนไปแล้ว หมายถึงว่า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่างๆ บานปลายหรือไม่"
นักวิชาการสองท่านมองสอดคล้องกันว่า โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างรถไฟความเร็วสูงจะเป็นตัวนำมาซึ่งความเจริญด้านอื่น ๆ ตอนนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับ ร.ฟ.ท. ให้ส่งมอบพื้นที่ทันตามสัญญา และกลุ่มซีพีเอช ให้สร้างเสร็จตามกำหนด และพัฒนาพื้นที่โดยรอบได้ตามแผน เพื่อให้รถไฟความเร็วสูงสายนี้เป็นตัวนำความเจริญด้านต่าง ๆ สู่ประเทศได้จริง ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้