JJNY : หมวดเจี๊ยบแนะศึกษาทางแก้ปมถูกตัดจีเอสพี ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออก/แรงงานส่อเลิกจ้างอีก/เซรามิกอ่วมแน่ ตัดGSP/เกลือราคาตก

"หมวดเจี๊ยบ" แนะ รบ.-บิ๊กตู่ศึกษาแนวทางแก้ปมถูกตัด "จีเอสพี" ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออก
https://www.matichon.co.th/politics/news_1730077

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรประเมินความเสียหายจากการที่สหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษีสินค้า หรือจีเอสพี (GSP) ของไทยต่ำเกินไป เพราะการคำนวณความเสียหายเรื่องนี้จะดูแค่ตัวเลขภาษี 1,500 -1,600 ล้านบาท ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเท่านั้น แต่ต้องคำนวณค่าเสียโอกาสจากการที่สินค้าไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้าด้วย ซึ่งรวมๆแล้ว อาจจะมากกว่า 40,000 ล้านบาท และในการเจรจากับสหรัฐเพื่ออุทธรณ์เรื่องนี้

“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรดูโมเดลที่ประเทศอื่นใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเขาใช้วิธีชี้ให้สหรัฐเห็นข้อเสียที่จะเกิดกับผลประโยชน์ของสหรัฐเองจากการตัดจีเอสพีประเทศกำลังพัฒนา เพราะจะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันซื้อของในราคาแพงขึ้น และจะทำให้ต้นทุนการผลิตของสินค้าสหรัฐสูงขึ้นด้วย และจะทำให้ผู้ประกอบการจีนได้ประโยชน์ นอกจากนี้ อินเดียยังเพิ่มกำแพงภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐด้วย ซึ่งถ้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์สามารถชี้ให้สหรัฐเห็นข้อเสียที่จะเกิดขึ้นต่อผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเอง ก็อาจทำให้สหรัฐมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงได้ โดยที่ไทยไม่ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติด้านอื่นๆ ไปแลก ซึ่งนี่คือท่าทีที่ถูกต้องในการเจรจาต่อรองทางการค้าที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ควรดูเป็นตัวอย่าง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินโดยใช้ถ้อยคำรุนแรง เพราะนอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังจะเป็นการสร้างเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคในการเจรจา ทั้งยังอาจลุกลามไปส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ระหว่างไทยและสหรัฐด้วย” ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าว

นอกจากนี้ ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า รัฐบาลควรพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาจีเอสพี และต้องเปิดตลาดการค้ากับประเทศใหม่ๆ บ้าง จะได้ไม่ถูกต่างชาติใช้เรื่องนี้มาบีบหรือข่มเหง เพราะในอนาคตสหรัฐฯอาจล้มเลิกการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านโครงการจีเอสพี เพราะมีแรงกดดันจากการเมืองภายในสหรัฐเช่นกันให้ยุติการให้จีเอสพีต่างชาติ และที่สำคัญ อยากถามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ว่าเตรียมรับมือแล้วหรือยัง กับการถูกตัดจีเอสพีระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น และจะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยติดลบหนักกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของจีดีพี (GDP) ที่เคยคาดการณ์ไว้

“ความผิดพลาดของรัฐบาลประยุทธ์ ได้ส่งผลให้ไทยเสียประโยชน์ทางการค้าไปแล้ว 40,000 ล้านบาท แต่ยังเหลือผลประโยชน์ทางการค้าของไทยที่มีกับสหรัฐอีกราว 900,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลประยุทธ์ต้องใช้สติปัญญาในการปกป้อง หากท่านคิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรลาออกไป แล้วหลีกทางให้แคนดิเดตนายกฯ ท่านอื่นเข้ามาแก้ปีญหาแทนโดยด่วน 

ที่สำคัญ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ควรบอกคนไทยให้ชัดเจนว่า ผลกระทบจากการโดนสหรัฐตัดจีเอสพี จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขจีดีพี และเป้าหมายการส่งออกที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างไร เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนรู้ตัวล่วงหน้าจะได้ปรับตัวและวางแผนชีวิตได้ทัน” ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าว



'แรงงาน'น้ำตาตก! ส่อเลิกจ้างอีกเซ่นพิษ'สงครามการค้า'
https://www.dailynews.co.th/economic/738734

ส.อ.ท.เร่งศึกษาผลกระทบการจ้างงานภาคอุตสาหกรรมรับปี  63 ส่งสัญญาณทุกภาคส่วนปรับตัวหลังสงครามการค้าพ่นพิษ ทำภาคอุตสาหกรรม เริ่มได้รับผลกระทบเลิกจ้าง หยุดผลิตชั่วคราวบ้างแล้ว ชี้ชิ้นส่วนยานยนต์ - อิเล็กทรอนิกส์ส่ออ่วมสุด 

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.อยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมปี 62 และแนวโน้มปี 2563 เพื่อให้ทุกภาคส่วนนำข้อมูลไปปรับทิศทางการดำเนินงาน นโยบาย เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากขณะนี้มีสัญญาณของภาคอุตสาหกรรมที่เป็นห่วงโซ่การผลิต(ซัพพลายเชน)ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัว เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์  ที่เริ่มทยอยปิดโรงงานและบางส่วนเริ่มให้พนักงานหยุดงานชั่วคราวเพื่อรอประเมินสถานการณ์คำสั่งซื้อบ้างแล้ว

  ทั้งนี้ภาคส่งออกของไทยคิดเป็นถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ซึ่งปี 2562 มีแนวโน้มชัดเจนว่าการส่งออกของไทยคาดการณ์ว่าจะติดลบประมาณ 2% ซึ่งมาจากผลกระทบหลักว่าด้วยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจึงทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนีมีอัตราการเติบโตที่ลดต่ำ ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับคู่แข่งทางการค้า เหล่านี้ล้วนมีผลต่อการส่งออกของไทยและสะท้อนมายังภาคการผลิตที่มีคำสั่งซื้อลดต่ำลงและสะท้อนต่อไปยังการลดต้นทุนด้านแรงงานจากมาตรการขนาดเบาก่อนเช่น ลดกะเวลาทำงาน หยุดชั่วคราว ซึ่งหากส่งออกยังคงไม่มีปัจจัยใดๆดีขึ้นก็จะนำไปสู่การปิดโรงงานในที่สุด

“อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกจะได้รับผลกระทบมากสุดแต่จะมากน้อยต่างกันไปดังนั้นภาพรวมการปิดโรงงานนั้นอาจจะมีบ้างแต่ไม่น่าจะเห็นมากในปี 62 นี้และสิ่งที่ต้องติดตามคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะมีการเจรจานำไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นได้หรือไม่ รวมถึงผลกระทบกรณีอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู)หรือ Brexit ซึ่งเหหากไม่มีอะไรมากจะสะท้อนให้เห็นผลทางบวกในปี 2563“ นายเกรียงไกรกล่าว

  นายพินัย ศิรินคร ประธานกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า  ขณะนี้คำสั่งซื้อชิ้นส่วนฯลดลง 5-10% ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่การเกิดวิกฤตซับไพร์มเมื่อปี 2552 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากคำสั่งซื้อและยอดขายในอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลงจากผลกระทบสงครามการค้าซึ่งหากสงครามการค้าคลี่คลายลงก็มั่นใจว่าสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องจะดีขึ้น ก็จะช่วยประคองสถานการณ์ในช่วงนี้ไปได้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่