'หญิงหน่อย'ขย่มรัฐ เร่งเจรจาสหรัฐฯหาสาเหตุตัดจีเอสพี
https://www.dailynews.co.th/politics/738641
'สุดารัตน์' จี้รัฐบาลเร่งถกสหรัฐฯแจงสาเหตุตัดจีเอสพีไทย แนะให้พูดคุยในฐานะคู่ค้ามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
เมื่อวันที่27 ต.ค.เวลา16.00น.ที่ห้องราชดำเนิน โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯมีคำสั่งให้ระงับข้อตกลงตามมาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) กับสินค้าบางชนิดที่นำเข้าจากประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องประสานพูดคุยเพื่อเร่งหาคำตอบถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าการตัดสิทธิจีเอสพีของไทยมาจากเรื่องใดเรื่องดังกล่าวถือว่าสำคัญ และรัฐบาลควรเจรจาได้ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.เป็นต้นไป ไม่ต้องรอเวลา และควรทำในฐานะคู่ค้าบนบทบาทที่ทัดเทียม เราจะต้องไม่เป็นลูกไล่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะเรามีศักดิ์ศรีดังนั้นรัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหาโดยหาสาเหตุว่าถูกตัดในเรื่องใดจากนั้นจึงยกเหตุผลขึ้นมาต่อสู้โดยเร็ว เพราะถือว่าเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบเป็นวงกว้างเนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจมีมูลค่าสูงเกือบ4 หมื่นล้านบาท และส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากในทุกภาคส่วน และคาดว่าในปี 2563 อาจทำให้เกิดผู้ที่ถูกเลิกจ้างและตกงาน5 แสนคน
คุณหญิง
สุดารัตน์ กล่าวว่า ส่วนที่มีข้อสังเกตว่าสาเหตุอาจมาจากแบน3สารเคมีอันตรายในภาคเกษตรเรื่องดังกล่าว ตนไม่อยากไปวิจารณ์เพราะจะเป็นการไปกล่าวหาได้ต้องแยกเรื่องนี้ออกจากกัน ตนยืนยันมาโดยตลอดสนับสนุนการแบนสารพิษ แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่กำลังจะทำของรัฐบาลที่เป็นมาตรการล้มเหลวปัดความรับผิดชอบจากเกษตรกรเป็นการแบนสารพิษที่ไม่มีมาตรการรองรับให้กับเกษตรกร และอาจมีสารพิษตัวใหม่เข้ามาทดแทนแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลต้องมีทางออกให้กับเกษตรกร
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาพูดถึงความสำเร็จของการแก้ปัญหาแรงงาน และได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯแต่สหรัฐฯกลับใช้เหตุผลดังกล่าวตัดสิทธิไทย คุณหญิง
สุดารัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทำให้เกิดความชัดเจนเพราะการแก้ปัญหาประมงของรัฐบาล คือการทำลายระบบประมงทำให้คนเป็นแสนเป็นล้านตายสนิท แต่เมื่อรัฐบาลบอกว่าสำเร็จแล้วท้ายที่สุดถูกใช้เป็นเหตุผลแต่ถูกใช้เป็นเหตุผลของการถูกตัดสิทธิก็ต้องมาดูว่าเป็นข้อบกพร่องในส่วนใดที่รัฐบาลต้องแก้ไข.
‘อนาคตใหม่’ ชี้ สหรัฐตัดสิทธิ ‘จีเอสพี’ ไม่ใช่เรื่องเกินคาด จี้ ‘พาณิชย์’ แจง ปชช.แผนรับมือ – มาตรการเยียวยาด่วน
https://www.matichon.co.th/politics/news_1728822
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวถึงกรณี สหรัฐอเมริกามีคำสั่งระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสินค้าจากประเทศไทย จำนวน 573 รายการ จาก 1,300 รายการ เป็นมูลค่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 39,650 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าทางการไทยไม่สามารถยกระดับสิทธิแรงงานให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยการตัดจีเอสพีจะเริ่มบังคับใช้ใน 6 เดือนข้างหน้า หรือในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2563 ทั้งนี้ แม้การตัดสิทธิจีเอสพีของประเทศสหรัฐอเมริกา จะถูกเชื่อกันว่า มีความเกี่ยวโยงกับกรณีที่รัฐบาลไทยเตรียมห้ามใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าประมาณ 51,000 ล้านบาทต่อปี ก็ตาม
แต่การถูกตัดสิทธิจีเอสพีในครั้งนี้ อันที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดคาดหมายแต่อย่างใด และก็ควรเป็นประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์ต้องเฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 21 ประเทศ ที่ถูกสหรัฐอเมริการตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากมีมูลค่าการค้ากับสหรัฐอเมริกาสูงกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศคู่ค้าที่เข้าข่ายบิดเบือนอัตราแลเปลี่ยน (Currency Manipulator Watchlist) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่สหรัฐอเมริกาเชื่อว่า มีการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศที่ไม่เป็นธรรม โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอยู่ 3 ข้อ ด้วยกัน คือ
1. เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าร้อยละ 2 ของจีดีพี
2. เกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
และ 3. มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าร้อยละ 2 ของจีดีพี
“แต่การที่ประเทศไทยเข้าหลักเกณฑ์ 1 ข้อ คือ เกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 7 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สหรัฐอเมริกากำหนดไว้มาก แม้ว่าการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ 1.93 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จะไม่ถึงเกณฑ์ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ก็ถือว่าปริ่มน้ำเต็มที ดังนั้น การที่ไทยจะถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิจีเอสพี จึงเป็นสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว และเป็นสถานการณ์ที่กระทรวงพาณิชย์ต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าบ้างอยู่แล้ว” นาย
วิโรจน์ กล่าว
นาย
วิโรจน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ควรต้องตอบคำถามกับประชาชน ในกรณีนี้ คือ
1. ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ว่าประเทศไทยอาจจะถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิจีเอสพี และประเมินผลกระทบไว้มากน้อยเพียงไร
2. ได้เตรียมมาตรการรองรับเพื่อแก้ปัญหา หรือบรรเทาผลกระทบจากการถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิ จีเอสพี ไว้ล่วงหน้าหรือไม่ อย่างไร
3. ในระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้ ก่อนถึงวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563 ที่การถูกตัดสิทธิจีเอสพี จะมีผลบังคับใช้ มีแผนที่จะดำเนินการอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ รัฐบาลควรจะต้องประเมินว่าการถูกตัดสิทธิจีเอสพี ในกรณีนี้ จะส่งผลให้เกิดการหดตัวของภาคการส่งออกมากน้อยเพียงไร และการหดตัวของการส่งออกนั้น จะส่งผลต่อแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานผู้มีรายได้น้อย (ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) มากแค่ไหน เพราะในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ จำนวนแรงงานที่ทำงานล่วงเวลาในภาคอุตสาหกรรม เฉลี่ยแล้วลดลงถึง 8.8 เปอร์เซ็นต์ จากระยะเดียวกันของปีก่อน สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบคำถามของประชาชนก็คือ ผลของการตัดสิทธิจีเอสพีในกรณีนี้ จะซ้ำเติมการแรงงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ ขนาดไหน และรัฐบาลได้เตรียมมาตรการเยียวยาอะไรไว้รองรับแล้วบ้าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีเวลาอีกตั้ง 6 เดือน ในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา เพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน และยังพอมีเวลาในการดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิแรงงานประมงให้มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะทำให้สหรัฐอเมริกายกเลิกคำสั่งการตัดสิทธิจีเอสพีได้ ซึ่งรัฐบาลควรจะรายงานความคืบหน้าถึงการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ ให้กับประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะๆ
นาย
วิโรจน์ กล่าวด้วยว่า กรณีสำหรับภาคประมงไทย คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะปัจจุบันการส่งออกปลาที่จับจากเรือประมงของไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีน้อยมากๆ แล้ว สำหรับการส่งออกทูน่ากระป๋อง และซาร์ดีนกระป๋องไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงครึ่งปีแรก ก็มีมูลค่าเพียง 236.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อความถูกต้องแม่นยำ คงต้องรอฟังการประเมินผลกระทบของสินค้าแต่ละรายการจากกระทรวงพาณิชย์เสียก่อน
JJNY : 4in1 หญิงหน่อยขย่มรัฐเร่งเจรจาสหรัฐฯ/อนค.ชี้ตัดจีเอสพีไม่เกินคาด/ภาคีเพื่อปชต.ลงนาม/ส่อไร้เงาทรัมป์ร่วมประชุม
https://www.dailynews.co.th/politics/738641
เมื่อวันที่27 ต.ค.เวลา16.00น.ที่ห้องราชดำเนิน โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯมีคำสั่งให้ระงับข้อตกลงตามมาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) กับสินค้าบางชนิดที่นำเข้าจากประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องประสานพูดคุยเพื่อเร่งหาคำตอบถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าการตัดสิทธิจีเอสพีของไทยมาจากเรื่องใดเรื่องดังกล่าวถือว่าสำคัญ และรัฐบาลควรเจรจาได้ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.เป็นต้นไป ไม่ต้องรอเวลา และควรทำในฐานะคู่ค้าบนบทบาทที่ทัดเทียม เราจะต้องไม่เป็นลูกไล่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะเรามีศักดิ์ศรีดังนั้นรัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหาโดยหาสาเหตุว่าถูกตัดในเรื่องใดจากนั้นจึงยกเหตุผลขึ้นมาต่อสู้โดยเร็ว เพราะถือว่าเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบเป็นวงกว้างเนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจมีมูลค่าสูงเกือบ4 หมื่นล้านบาท และส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากในทุกภาคส่วน และคาดว่าในปี 2563 อาจทำให้เกิดผู้ที่ถูกเลิกจ้างและตกงาน5 แสนคน
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ส่วนที่มีข้อสังเกตว่าสาเหตุอาจมาจากแบน3สารเคมีอันตรายในภาคเกษตรเรื่องดังกล่าว ตนไม่อยากไปวิจารณ์เพราะจะเป็นการไปกล่าวหาได้ต้องแยกเรื่องนี้ออกจากกัน ตนยืนยันมาโดยตลอดสนับสนุนการแบนสารพิษ แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่กำลังจะทำของรัฐบาลที่เป็นมาตรการล้มเหลวปัดความรับผิดชอบจากเกษตรกรเป็นการแบนสารพิษที่ไม่มีมาตรการรองรับให้กับเกษตรกร และอาจมีสารพิษตัวใหม่เข้ามาทดแทนแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลต้องมีทางออกให้กับเกษตรกร
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาพูดถึงความสำเร็จของการแก้ปัญหาแรงงาน และได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯแต่สหรัฐฯกลับใช้เหตุผลดังกล่าวตัดสิทธิไทย คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทำให้เกิดความชัดเจนเพราะการแก้ปัญหาประมงของรัฐบาล คือการทำลายระบบประมงทำให้คนเป็นแสนเป็นล้านตายสนิท แต่เมื่อรัฐบาลบอกว่าสำเร็จแล้วท้ายที่สุดถูกใช้เป็นเหตุผลแต่ถูกใช้เป็นเหตุผลของการถูกตัดสิทธิก็ต้องมาดูว่าเป็นข้อบกพร่องในส่วนใดที่รัฐบาลต้องแก้ไข.
‘อนาคตใหม่’ ชี้ สหรัฐตัดสิทธิ ‘จีเอสพี’ ไม่ใช่เรื่องเกินคาด จี้ ‘พาณิชย์’ แจง ปชช.แผนรับมือ – มาตรการเยียวยาด่วน
https://www.matichon.co.th/politics/news_1728822
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวถึงกรณี สหรัฐอเมริกามีคำสั่งระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสินค้าจากประเทศไทย จำนวน 573 รายการ จาก 1,300 รายการ เป็นมูลค่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 39,650 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าทางการไทยไม่สามารถยกระดับสิทธิแรงงานให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยการตัดจีเอสพีจะเริ่มบังคับใช้ใน 6 เดือนข้างหน้า หรือในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2563 ทั้งนี้ แม้การตัดสิทธิจีเอสพีของประเทศสหรัฐอเมริกา จะถูกเชื่อกันว่า มีความเกี่ยวโยงกับกรณีที่รัฐบาลไทยเตรียมห้ามใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าประมาณ 51,000 ล้านบาทต่อปี ก็ตาม
แต่การถูกตัดสิทธิจีเอสพีในครั้งนี้ อันที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดคาดหมายแต่อย่างใด และก็ควรเป็นประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์ต้องเฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 21 ประเทศ ที่ถูกสหรัฐอเมริการตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากมีมูลค่าการค้ากับสหรัฐอเมริกาสูงกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศคู่ค้าที่เข้าข่ายบิดเบือนอัตราแลเปลี่ยน (Currency Manipulator Watchlist) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่สหรัฐอเมริกาเชื่อว่า มีการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศที่ไม่เป็นธรรม โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอยู่ 3 ข้อ ด้วยกัน คือ
1. เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าร้อยละ 2 ของจีดีพี
2. เกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
และ 3. มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าร้อยละ 2 ของจีดีพี
“แต่การที่ประเทศไทยเข้าหลักเกณฑ์ 1 ข้อ คือ เกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 7 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สหรัฐอเมริกากำหนดไว้มาก แม้ว่าการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ 1.93 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จะไม่ถึงเกณฑ์ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ก็ถือว่าปริ่มน้ำเต็มที ดังนั้น การที่ไทยจะถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิจีเอสพี จึงเป็นสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว และเป็นสถานการณ์ที่กระทรวงพาณิชย์ต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าบ้างอยู่แล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ควรต้องตอบคำถามกับประชาชน ในกรณีนี้ คือ
1. ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ว่าประเทศไทยอาจจะถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิจีเอสพี และประเมินผลกระทบไว้มากน้อยเพียงไร
2. ได้เตรียมมาตรการรองรับเพื่อแก้ปัญหา หรือบรรเทาผลกระทบจากการถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิ จีเอสพี ไว้ล่วงหน้าหรือไม่ อย่างไร
3. ในระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้ ก่อนถึงวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563 ที่การถูกตัดสิทธิจีเอสพี จะมีผลบังคับใช้ มีแผนที่จะดำเนินการอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ รัฐบาลควรจะต้องประเมินว่าการถูกตัดสิทธิจีเอสพี ในกรณีนี้ จะส่งผลให้เกิดการหดตัวของภาคการส่งออกมากน้อยเพียงไร และการหดตัวของการส่งออกนั้น จะส่งผลต่อแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานผู้มีรายได้น้อย (ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) มากแค่ไหน เพราะในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ จำนวนแรงงานที่ทำงานล่วงเวลาในภาคอุตสาหกรรม เฉลี่ยแล้วลดลงถึง 8.8 เปอร์เซ็นต์ จากระยะเดียวกันของปีก่อน สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบคำถามของประชาชนก็คือ ผลของการตัดสิทธิจีเอสพีในกรณีนี้ จะซ้ำเติมการแรงงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ ขนาดไหน และรัฐบาลได้เตรียมมาตรการเยียวยาอะไรไว้รองรับแล้วบ้าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีเวลาอีกตั้ง 6 เดือน ในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา เพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน และยังพอมีเวลาในการดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิแรงงานประมงให้มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะทำให้สหรัฐอเมริกายกเลิกคำสั่งการตัดสิทธิจีเอสพีได้ ซึ่งรัฐบาลควรจะรายงานความคืบหน้าถึงการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ ให้กับประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะๆ
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า กรณีสำหรับภาคประมงไทย คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะปัจจุบันการส่งออกปลาที่จับจากเรือประมงของไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีน้อยมากๆ แล้ว สำหรับการส่งออกทูน่ากระป๋อง และซาร์ดีนกระป๋องไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงครึ่งปีแรก ก็มีมูลค่าเพียง 236.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อความถูกต้องแม่นยำ คงต้องรอฟังการประเมินผลกระทบของสินค้าแต่ละรายการจากกระทรวงพาณิชย์เสียก่อน