ปัญหาที่เด็กจบใหม่เจอและวัฒนธรรมบางอย่างที่บริษัทไทยควรเปลี่ยน

หลังจากอ่านกระทู้เกี่ยวกับเด็กว่างงานและมีบางความเห็นมองว่า "เด็กเลือกงาน" นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี อีกทั้ง "เด็กใหม่เปราะบางไม่อดทน"

เลยอยากให้ลองมองในมุมของเด็กจบใหม่และเด็กที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ กันดูครับ ที่จะเล่าคือจากประสบการณ์ส่วนตัวและเพื่อนๆ นะครับ ใครอยากเพิ่มเติมก็เชิญนะครับผม

บริษัทเลือกเด็ก เด็กก็เลือกบริษัทได้เหมือนกันครับ..."ทุกคนมีสิทธิ์เลือกให้สิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองครับ"

1. บริษัทกดเงินเดือนจนไม่ดูความเป็นจริง : ผมเคยไปสัมภาษณ์งานที่อโศก รีเควสใบ Certificate ภาษาที่ 3, TOEIC 750+, มีช่วงที่ต้องทำงานนอกเวลาและนอกสถานที่กลับดึก แต่ไม่มี OT ไม่มีค่าเดินทางให้ ไม่ยอมบอกเงินเดือนก่อนสัมภาษณ์ บอกว่าต่อรองได้ มาบอกตอนรับเข้าว่า 15,000 ก็บายสิครับ (บอกมาแต่แรกก็ไม่ต้องเสียเวลาทั้งคู่) ยิ่งเด็กต่างจังหวัดที่ต้องเช่าห้องเองยิ่งแล้วใหญ่ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ มันก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ถ้าต้องส่งให้ที่บ้านด้วยก็อย่าหวังเลยครับ ลองไปดูเว็บหางาน ป.ตรี 10,000-12,000 ก็มี  

สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเอาเปรียบของ HR บางที คือการลักไก่บอกเงินเดือนไม่ตรงกับที่ได้จริง ทั้งที่เขียนไว้ชัดเจนว่า สตาร์ทเท่านี้ในประกาศ...สักแต่ว่าประกาศไปให้คนสนใจมาสมัครเยอะๆ จะได้มีตัวเลือกให้เลือกหลายคน แล้วค่อยรับคนที่ยอมรับเงินเดือนต่ำสุดเอาไว้ บางบริษัทเขียนบอกว่าตามโครงสร้างของบริษัทนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตกลงกัน แต่การที่คุณประกาศมันลงไปแล้ว คุณก็ต้องจริงใจกับผู้สมัครเหมือนกัน ให้โอกาสผู้สมัครได้เลือกได้ตัดสินใจคำนวณว่ามันคุ้มกับอะไรหลายๆ อย่างไหม เพราะเวลาไปสัมภาษณ์ของผู้สมัครก็มีค่าเสียโอกาสค่าใช้จ่ายนู้นนี้นั้นเหมือนกัน คุณไปหลอกให้มาสัมภาษณ์แล้วผู้สมัครไม่เอา มันก็เสียเวลาทั้งคู่ไหม คุณอาจจะไม่ค่อยเสียอะไรเพราะเรียกมาทีหลายคนแล้วเลือกคนที่เหมาะสุดได้ แต่ผู้สมัครที่ไม่โอเคกับการโดนหลอกมาตั้งแต่แรกละ?

สุดท้ายบางคนหางานที่เงินเดือนเหมาะสมไม่ได้ ก็ผลันตัวมาค้าขาย, ช่วยธุรกิจที่บ้านหรือเรียนต่อแทน 

2. ไม่ควรอดทนกับอะไรที่ไม่จำเป็นและไม่มีเหตุผลครับ : วัฒนธรรมหลายบริษัทไทยชอบให้เคารพผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ไม่เคย "เคารพในความเป็นคน" ของคนอื่นเลย อดทนกับงานทุกคนต้องเรียนรู้อยู่แล้ว แต่อดทนรองรับอารมณ์ให้มีพฤติกรรม Aggressive/Abusive นี่คือรับไม่ได้เลยครับ (อย่ามาบอกผมนะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการอดทนต่องาน ไม่งั้นประเทศที่เจริญแล้วเขาคงไม่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรอกครับ) ถ้าพูดด้วยเหตุผลไม่ได้ ใช้แต่อารมณ์คือจบสำหรับผมครับ หัวหน้าหรือผู้ใหญ่บางคนบ้าอำนาจคิดว่าจะพูดอะไรกับเด็กกว่าก็ได้ โกรธใครก็ไม่รู้มาหรือโดนหัวหน้าใหญ่กว่าระเบิดมา ก็มาลงกับลูกน้อง เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ความผิดของเด็กเลย เป็นความผิดของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ขอให้ระบายอารมณ์ก่อนเถอะ "พอเราพูดด้วยเหตุผล ก็กลายเป็นเถียง/แก้ตัว ให้เหตุผลเท่าไรก็ไม่เคยพอใจ มองเป็นข้ออ้าง" เรื่องบางเรื่องไม่เกี่ยวกับงานเลย เป็นเรื่องส่วนตัวด้วยซ้ำ แต่ยกมาพูดสนองตัวเอง เช่น วิจารณ์รสนิยมทางเพศ วิจารณ์หน้าตาแฟนคนอื่น

ข้อ 2 สำคัญมากๆ แต่หลายๆที่มองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย มองว่าเป็นเรื่องที่เจอและต้องทนอยู่แล้ว ใครจะมาหาข้ออ้างแบบนี้ให้ ผมขอจัดไว้รวมกับคนประเภทนั้นนะครับ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรระลึกว่าต้องเคารพกัน ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งจะมีสิทธิละเมิดอีกฝ่ายได้ ไม่ใช่ว่ามันมีอยู่แล้วจำเป็นต้องทน สิ่งที่เราควรทำคือหยุดมัน เพราะไม่มีใครสมควรที่จะต้องทนครับ...สังคมไทยบางคนมองว่า ความรุนแรงทางคำพูดและอารมณ์เป็นเรื่องไม่ใหญ่เท่าความรุนแรงทางร่างกาย แต่จริงๆ แล้วสุขภาพจิตมันก็สำคัญมากเท่ากับสุขภาพร่างกายนั้นแหละครับ ไม่มีใครสมควรต้องมารองรับอารมณ์ความงี่เง่าของใคร

"เราควรจะตั้งคำถามกับคนกระทำ ไม่ใช่มาตั้งคำถามกับเหยื่อว่าทำไมไม่อดทน" แล้วมาบอกว่าเด็กใหม่เปราะบางไม่อดทน เราไม่จำเป็นต้องอดทนอะไรกับสิ่งที่บั่นทอนชีวิต "สังคมไม่ได้ดีขึ้นได้เพราะเราอดทนครับ มันดีขึ้นได้เพราะเราต้องแก้ไขสิ่งที่ผิด"

3. ไม่เคารพเวลาส่วนตัว เรียกร้องให้เสียสละ : ไลน์นี้ตัวดีเลย คิดจะสั่งอะไรก็สั่งทางไลน์นอกเวลางานได้ ไม่ตอบไลน์โดนเรียกไปกินหัว (ต่างประเทศมีกฎหมายพิจารณาว่ามันเป็นการละเมิดแล้วนะครับ) งานด่วนช่วยรีบให้หน่อยนะ พอช่วยนอกเวลาก็จะโดนต่อมาอีกหลายงาน เพราะคิดว่ายอมแล้วต้องยอมตลอด ไม่มี OT ให้อีก ส่งงานช้าก็โดนด่าทั้งที่มาเร่งเอานอกเวลาในนาทีสุดท้าย...พูดคำพูดสวยหรูว่าอยากเห็นเราทุ่มเท่ อยากเห็นรับได้รับประสบการณ์ แต่ไม่ได้ตระหนักเลยว่ากำลังละเมิดเวลาส่วนตัวของคนอื่นอยู่ ถ้าตัวเองโดนบ้างก็คงไม่ชอบเหมือนกันหรอก ถึงได้ผลักมาให้เด็กทำแทนนี้ไง ความดีความชอบจากงานก็ไม่รู้จะไปถึงเด็กรึเปล่า

ลองนึกดูนะครับว่า คุณโดนกดเงินเดือนเหมือนในข้อ 1 และเจอกระทำแบบข้อ 2 และ 3 มันจะรู้สึกยังไง
  
4. เด็กบางคนอาจมีความสามารถ แต่ไม่ถูกจ้างเพราะ "ไม่ถูกใจรูปร่างหน้าตาบุคลิกภายนอก" : อันนี้จริงยิ่งกว่าจริง ลองไปอ่านกระทู้ในพันทิพกับกระทู้ในทวิตที่ผู้หญิงไม่ถูกรับเข้าทำงาน Receptionist เพราะ "ขาวไม่พอ" ดูนะครับ หรือไอ้ประโยคว่า "งานสอนกันได้ แต่หน้าตาต้องไปตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น" หรือ "ถ้าความสามารถเท่ากัน ทำไมจะเลือกคนที่หน้าตาดีกว่าไม่ได้ละ" บริษัทข้ามชาติจีนแห่งหนึ่งติดประกาศว่ารับเฉพาะชายจริงหญิงแท้ก็มี

ที่ผมกำลังพูดมันคือ "ความเคารพในความเป็นปัจเจกบุคล Individual" ว่าทุกคนมีศักศรี สิทธิเสรีภาพและความเป็นคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใคร่สมควรที่จะถูกเลือกปฎิบัติ Discrimination จากความแตกต่า่งนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่