ศาลาบาตร - จะอยู่ติดกำแพงด้านหลังของวัด หรือจะเรียกว่า กำแพงศาลาบาตร ก็คือกำแพงวัดนั่นเองครับ
ตัวกำแพงวัด หรือ กำแพงศาลาบาตร จะมีซอยเล็กๆ ไว้เดินได้ และข้างซอยอีกด้านหนึ่ง จะเป็นศาสนสถานของชาวซิกซ์ครับ

อันที่จริง ย่านวัดเกตการาม นี้ จะเป็นแหล่งรวมชนทุกศาสนา ไว้ ทั้งซิกซ์ คริสต์ พุทธ
ประตูทางเข้าด้านนี้ จะไม่ได้อนุญาตให้นำรถเข้าไปจอดในวัดนะครับ
แต่สามารถจอดรถได้บ้าง เพราะติดกับ Hostel, วัดไทย, วัดซิกซ์ ครับ
ที่สำคัญ ฝั่งตรงข้ามของประตูด้านหลังนี้ จะมีที่พัก ที่กิน ที่รื่นรมย์ในยามค่ำคืนมากมายครับ
..........ที่เป็นจุดเริ่มต้นของงานอนุรักษ์ในย่านวัดเกต เมื่อ พ.ศ.2542 อาคารหลังนี้มีรูปทรงผสมของสถาปัตยกรรมจีนกับล้านนา
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลวดลายจีนเขียนด้วยสีฝุ่นเป็นรูปไก่ฟ้า ดอกบัว ดอกโบตั๋น ต้นสน และทิวทัศน์แบบจีน
พื้นปูด้วยแผ่นกระเบื้องหกเหลี่ยมใหญ่ แบบเดียวกับพื้นบนอาคารพิพิธภัณฑ์
ปัจจุบันไม่สามารถหาวัสดุที่เหมือนเดิมได้ จึงได้ปรึกษาจากผู้รู้ทั้งหลาย
ทั้งจากชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ นักวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนถึงคุณสหวัฒน์ แน่นหนา ผู้อำนวยการสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 6 เชียงใหม่ และจากนั้นได้ให้ช่างทดลองทำหลาย ๆ วิธี
จนในที่สุดได้ใช้เป็นแผ่นซีเมนต์เสริมเหล็ก ทำผิวหน้าด้วยเทคนิคเดียวกับการทำทรายล้าง แต่เปลี่ยนเป็นผงอิฐโบราณแทน
เพื่อให้ได้สีใกล้เคียงกับของเดิมที่ถูกผู้รับเหมารายแรกรื้อทำลายอย่างไม่ปรานีปราศรัย โดยใช้เหล็กชะแลงงัดเสียหายเกือบหมด
นอกเหนือจากการรื้อดินขอ (กระเบื้องดินเผาอย่างบาง) ที่ใช้มุงหลังคา ซึ่งเป็นปลายมน (กลม) ทิ้งจนแตกเสียหายไปกว่าครึ่ง
เพียงแต่เราโชคดีที่ยังมีของเก่าที่รื้อจาก "โฮงอิเก"
(โรงลิเกอาคารหลังนี้ เดิมตั้งอยู่เหนือศาลาจำศีล กิมสัว จันทร์ดี ตันสุหัช ปัจจุบันคือบริเวณที่เป็นกุฏิของพระสมุห์สุรศักดิ์ สันติกโร เจ้าอาวาสองค์นี้)
เก็บเอาไว้ จึงสามารถมุงหลังคาได้ตามแบบเดิม
นอกจากนั้น ผู้รับเหมารายนี้ยังไม่ได้มุงหลังคาซ้อนเพื่อกันฝน ปล่อยให้ภาพจิตรกรรมเปียกฝน จนเกิดความเสียหายไปบางส่วน
แต่ชาวบ้านวัดเกตยังพอมีมิตรที่ห่วงใย คือ คุณธาตรี มังคละพฤกษ์ และคุณสมโรจน์ จองธรรมกุล ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา
สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์สมัยนั้น ที่ได้ให้ยืมผ้าเต๊นท์มาคลุมกันฝนให้ในภายหลัง นับเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
..........ภายหลังเมื่อผู้รับเหมารายแรกทิ้งงานไป ทางวัดจึงหาผู้รับเหมารายใหม่ได้สล่าพิพัฒน์ เรือนชื้น
โดยความเอื้อเฟื้อจากคุณสุรชัย เลียวสวัสดิพงศ์ ลูกหลานบ้านวัดเกตเข้ามาช่วยด้านโครงสร้าง การก่อกำแพง และปูพื้นศาลา
ส่วนการฉาบได้สล่าพื้นเมืองชาวแม่ร้อยเงิน อำเภอดอยสะเก็ดมาช่วยฉาบด้วยปูนแบบโบราณให้

..........สำหรับผนังด้านตะวันตกที่เป็นกำแพงวัดด้วยนั้น
ได้มีต้นโพธิ์งอกแทรกจนกำแพงแตกร้าว แยกออกจากกัน จนน่ากลัวว่าจะล้มทับคนที่เดินไปมาในซอยเล็กข้างวัด
จึงได้ระดมความคิดเห็นจากชาวบ้านวัดเกตผู้อาวุโส ผู้มีความรู้ด้านช่างก่อสร้างและวิศวกร
โดยมีคุณภักดี คุณารักษ์ คุณเผชิญ ชัยรัต คุณสุรชัย เลียวสวัสดิพงศ์ เป็นผู้ควบคุมดูแลงานซ่อม
ตลอดจนนักวิชาการจากภายนอก คือ อาจารย์สุพล ปวราจารย์ จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ วิทยาเขตล้านนา ปัจจุบัน คุณสมโรจน์ จองธรรมกุล ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนาฯ
อาจารย์ ดร.อาจารย์ ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ เจริญเมือง จากสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศุนย์ศึกษาเมืองเชียงใหม่ (มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมืองปัจจุบัน) อาจารย์บุบผา จิรพงษ์ จากสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปัจจุบัน)
ในที่สุด จึงตัดสินใจรื้อกำแพงเดิม แล้วตั้งเสาใหม่ เทยึดกับเสาประตูวัดและกำแพงส่วนที่เหลือ
จากนั้นใช้อิฐโบราณที่รื้อเรียงเก็บไว้ ก่อกำแพงตามแนวเดิม แล้วใช้ปูนหมักแบบโบราณผสมกับน้ำอ้อยเคี่ยว น้ำหนังต้มและน้ำข้าวเหนียวต้มฉาบ
พร้อมทั้งใส่ตะแกรงรังผึ้งเป็นระยะ ๆ เพื่อระบายความชื้น เป็นการป้องกันภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกทางหนึ่งด้วย
..........ขั้นตอนที่ทำมีดังนี้ นำปูนขาวเมืองดิบที่ยังไม่ได้ "สู่" คือยังไม่ได้เอาน้ำราดให้แตกตัวเป็นผงมาดองกับสารส้ม
ทิ้งไว้นาน 2 เดือน นำปูนนั้นมาทับน้ำให้สะเด็ดน้ำดีแล้ว นำมาผสมกับทรายละเอียดร่อนอย่างดี
นำน้ำหนังวัวควายที่แห้งเป็นแผ่น ๆ มาต้มเคี่ยวในกระทะใบบัว เอาน้ำอ้อยที่เป็นก้อนมาต้มเคี่ยวให้เหนียวพอประมาณ
ในอดีตคงใช้น้ำอ้อยแคว่ง (อ่านว่า แกว้ง) คือ น้ำอ้อยที่เคี่ยวไม่ให้ข้นเป็นก้อน
แต่ปัจจุบันนับเป็นของที่หาซื้อได้ยาก ส่วนผสมอีกอย่างคือน้ำข้าวเหนียวต้ม ผสมสีฝุ่นให้ได้สีใกล้เคียงกับของเดิม
ผสมเข้าด้วยกันจนเหนียวพอใช้ฉาบได้ การฉาบทำการฉาบ 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นการฉาบหยาบพอหมาดแล้ว
จึงฉาบละเอียดเพื่อให้ผิวหน้าเรียบมันใกล้เคียงกับของเดิม
อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถทำได้ทัดเทียมกับของเดิม
อาจกล่าวได้ว่าเทคนิคการก่อสร้างอาคารหลังนี้และบ้านเหลี่ยวย่งง้วน ซึ่งก็คือร้านเดอะแกลลอรี่นั้น เป็นการก่อสร้างชั้นครู
เนื่องด้วยเป็นผิวที่เรียบลื่นคล้ายเคลือบด้วยสารอะไรอย่างหนึ่งแน่นได้ดี
จนสีหรือน้ำยาเคลือบในปัจจุบันไม่สามารถติดได้เป็นเนื้อเดียวกันเมื่อทาหรือเคลือบลงไปแล้วไม่นานก็จะหลุดร่อนออก
คุณสุรชัย เลียวสวัสดิพงศ์ ยังพบว่าที่เสาด้านหน้าของร้านเดอะแกลลอรี่
เมื่อมีการล้างสีน้ำมันออกได้พบร่องรอยลวดลายคล้ายกับลายที่เสาของอาคารศาลาบาตรที่วัดเกตด้วย เพียงแต่ขนาดของลายเล็กกว่าเท่านั้น
ร้านเดอะแกลลอรี่ อยู่ใกล้ๆ วัดเกตการาม จะมีลวดลายเขียนที่คล้ายกันมาก
..........กรณีภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นได้รับการแนะนำจากอาจารย์ ดร.ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ ถึงช่างฝีมือดี
จึงได้ขอความร่วมมือไปทางกรมศิลปากรผ่านคุณสหวัฒน์ แน่นหนา
ผู้อำนวยการสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 6 เชียงใหม่ ขอเชิญอาจารย์ ภัทรุตม์ สายะเสวี และคณะ
เข้ามาช่วยทำความสะอาดและซ่อมปูนที่กระเทาะจนสำเร็จเรียบร้อย
โดยใช้เงินจากกองทุนอนุรักษ์และพัฒนาวัดเกตที่ได้มาจากการทอดกฐินและผ้าป่าสามัคคี เมื่อปี พ.ศ.2542
ซึ่งมีตระกูลคุณารักษ์ เป็นเก๊า (ประธาน) ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลบ้านเด็ก ตระกูลกาญจนากร ชัยรัต เผ่าชัย ตระการกมล
พร้อมด้วยคณะศรัทธาชาวบ้านวัดเกตโดยคุณบูรพา เรี่ยวเธียรชัย เจ้าของบริษัท ธารา จำกัด สะใภ้ของเหลี่ยวย่งง้วน สมทบให้อีกสองแสนบาทเท่ากับของตระกูลคุณารักษ์ ที่มอบให้เป็นทุนตั้งต้น
..........อนึ่ง ที่ต้องบันทึกไว้คือ ไม้ขื่อที่มีปลายด้านที่อยู่ฟากกำแพงวัดมีการผุกร่อนหลุดออกจากกำแพงจะเปลี่ยนใหม่ก็ไม่ได้
เพราะปลายอีกด้านหนึ่งฝังอยู่ในกำแพงที่มีรูปจิตรกรรม ถ้าดึงออกภาพเหล่านั้นก็จะเสียหายหมด
คุณเผชิญ ชัยรัต จึงเสนอให้แก้ปัญหาด้วยการทำแบบยื่นออกมาจากคานบนกำแพง
แล้วเทคอนกรีตเป็นทับหลังยื่นออกมารับกับปลายขื่อที่ขาดออกจากกำแพงเสร็จแล้วฉาบด้วยปูนแบบโบราณ เป็นการแก้ปัญหาที่แยบยลทีเดียว

..........ในอดีต อาคารหลังนี้ เคยเป็นโรงเรียนชั้นมูล (ช่วงประมาณ พ.ศ.2470 - 2475) ตลอดจนเป็นศาลาเอนกประสงค์
จากการบอกเล่าของอาจารย์มาดี เดชคำรณ บอกว่า
แม่เจ้าจามรี ธิดาของเจ้าราชภาคินัย (แผ่นฟ้า) ชายาของเจ้าแก้วนวรัฐฯ เจ้าหลวงเชียงใหม่
ยังเคยมาใช้เป็นที่ถืออุโบสถศีลในวันพระช่วงเข้าพรรษาในสมัยก่อน
เวลาพ่อออกแม่ออกจะมานอนวัดเพื่อถืออุโบสถศีลนั้นท่านจะมีการรับศีล 8 เวลามานอน และเมื่อจะกลับบ้านท่านก็จะมาลาอุโบสถเสียก่อน
..........ก่อนหน้านี้ ศาลาบาตรถูกใช้เป็นที่อ่านหนังสือ ที่แสดงภาพเชียงใหม่ในอดีตนับร้อยภาพ
ซึ่งได้จากการเก็บรวบรวมของคุณวุฒิพงศ์ สิทธิกุล เป็นส่วนใหญ่ เป็นการอนุรักษ์ของเก่าอย่างรู้คุณค่า และนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ในปัจจุบัน
หมายเหตุ ... โดยปกติ ศาลาบาตรนี้ ไม่ได้เปิดให้เข้าชมทั่วไปนะครับ
หากต้องการเข้าชม ต้องแจ้งให้ผู้ดูแลทราบเพื่อเปิดประตูเข้าไป ซึ่งภายในค่อนข้างรกและแน่นไปหมดครับ
เชียงใหม่ - นำชมศาลาบาตร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์วัดเกตการาม
ตัวกำแพงวัด หรือ กำแพงศาลาบาตร จะมีซอยเล็กๆ ไว้เดินได้ และข้างซอยอีกด้านหนึ่ง จะเป็นศาสนสถานของชาวซิกซ์ครับ
อันที่จริง ย่านวัดเกตการาม นี้ จะเป็นแหล่งรวมชนทุกศาสนา ไว้ ทั้งซิกซ์ คริสต์ พุทธ
ประตูทางเข้าด้านนี้ จะไม่ได้อนุญาตให้นำรถเข้าไปจอดในวัดนะครับ
แต่สามารถจอดรถได้บ้าง เพราะติดกับ Hostel, วัดไทย, วัดซิกซ์ ครับ
ที่สำคัญ ฝั่งตรงข้ามของประตูด้านหลังนี้ จะมีที่พัก ที่กิน ที่รื่นรมย์ในยามค่ำคืนมากมายครับ
..........ที่เป็นจุดเริ่มต้นของงานอนุรักษ์ในย่านวัดเกต เมื่อ พ.ศ.2542 อาคารหลังนี้มีรูปทรงผสมของสถาปัตยกรรมจีนกับล้านนา
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลวดลายจีนเขียนด้วยสีฝุ่นเป็นรูปไก่ฟ้า ดอกบัว ดอกโบตั๋น ต้นสน และทิวทัศน์แบบจีน
พื้นปูด้วยแผ่นกระเบื้องหกเหลี่ยมใหญ่ แบบเดียวกับพื้นบนอาคารพิพิธภัณฑ์
ปัจจุบันไม่สามารถหาวัสดุที่เหมือนเดิมได้ จึงได้ปรึกษาจากผู้รู้ทั้งหลาย
ทั้งจากชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ นักวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนถึงคุณสหวัฒน์ แน่นหนา ผู้อำนวยการสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 6 เชียงใหม่ และจากนั้นได้ให้ช่างทดลองทำหลาย ๆ วิธี
จนในที่สุดได้ใช้เป็นแผ่นซีเมนต์เสริมเหล็ก ทำผิวหน้าด้วยเทคนิคเดียวกับการทำทรายล้าง แต่เปลี่ยนเป็นผงอิฐโบราณแทน
เพื่อให้ได้สีใกล้เคียงกับของเดิมที่ถูกผู้รับเหมารายแรกรื้อทำลายอย่างไม่ปรานีปราศรัย โดยใช้เหล็กชะแลงงัดเสียหายเกือบหมด
นอกเหนือจากการรื้อดินขอ (กระเบื้องดินเผาอย่างบาง) ที่ใช้มุงหลังคา ซึ่งเป็นปลายมน (กลม) ทิ้งจนแตกเสียหายไปกว่าครึ่ง
เพียงแต่เราโชคดีที่ยังมีของเก่าที่รื้อจาก "โฮงอิเก"
(โรงลิเกอาคารหลังนี้ เดิมตั้งอยู่เหนือศาลาจำศีล กิมสัว จันทร์ดี ตันสุหัช ปัจจุบันคือบริเวณที่เป็นกุฏิของพระสมุห์สุรศักดิ์ สันติกโร เจ้าอาวาสองค์นี้)
เก็บเอาไว้ จึงสามารถมุงหลังคาได้ตามแบบเดิม
นอกจากนั้น ผู้รับเหมารายนี้ยังไม่ได้มุงหลังคาซ้อนเพื่อกันฝน ปล่อยให้ภาพจิตรกรรมเปียกฝน จนเกิดความเสียหายไปบางส่วน
แต่ชาวบ้านวัดเกตยังพอมีมิตรที่ห่วงใย คือ คุณธาตรี มังคละพฤกษ์ และคุณสมโรจน์ จองธรรมกุล ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา
สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์สมัยนั้น ที่ได้ให้ยืมผ้าเต๊นท์มาคลุมกันฝนให้ในภายหลัง นับเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
..........ภายหลังเมื่อผู้รับเหมารายแรกทิ้งงานไป ทางวัดจึงหาผู้รับเหมารายใหม่ได้สล่าพิพัฒน์ เรือนชื้น
โดยความเอื้อเฟื้อจากคุณสุรชัย เลียวสวัสดิพงศ์ ลูกหลานบ้านวัดเกตเข้ามาช่วยด้านโครงสร้าง การก่อกำแพง และปูพื้นศาลา
ส่วนการฉาบได้สล่าพื้นเมืองชาวแม่ร้อยเงิน อำเภอดอยสะเก็ดมาช่วยฉาบด้วยปูนแบบโบราณให้
..........สำหรับผนังด้านตะวันตกที่เป็นกำแพงวัดด้วยนั้น
ได้มีต้นโพธิ์งอกแทรกจนกำแพงแตกร้าว แยกออกจากกัน จนน่ากลัวว่าจะล้มทับคนที่เดินไปมาในซอยเล็กข้างวัด
จึงได้ระดมความคิดเห็นจากชาวบ้านวัดเกตผู้อาวุโส ผู้มีความรู้ด้านช่างก่อสร้างและวิศวกร
โดยมีคุณภักดี คุณารักษ์ คุณเผชิญ ชัยรัต คุณสุรชัย เลียวสวัสดิพงศ์ เป็นผู้ควบคุมดูแลงานซ่อม
ตลอดจนนักวิชาการจากภายนอก คือ อาจารย์สุพล ปวราจารย์ จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ วิทยาเขตล้านนา ปัจจุบัน คุณสมโรจน์ จองธรรมกุล ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนาฯ
อาจารย์ ดร.อาจารย์ ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ เจริญเมือง จากสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศุนย์ศึกษาเมืองเชียงใหม่ (มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมืองปัจจุบัน) อาจารย์บุบผา จิรพงษ์ จากสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปัจจุบัน)
ในที่สุด จึงตัดสินใจรื้อกำแพงเดิม แล้วตั้งเสาใหม่ เทยึดกับเสาประตูวัดและกำแพงส่วนที่เหลือ
จากนั้นใช้อิฐโบราณที่รื้อเรียงเก็บไว้ ก่อกำแพงตามแนวเดิม แล้วใช้ปูนหมักแบบโบราณผสมกับน้ำอ้อยเคี่ยว น้ำหนังต้มและน้ำข้าวเหนียวต้มฉาบ
พร้อมทั้งใส่ตะแกรงรังผึ้งเป็นระยะ ๆ เพื่อระบายความชื้น เป็นการป้องกันภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกทางหนึ่งด้วย
..........ขั้นตอนที่ทำมีดังนี้ นำปูนขาวเมืองดิบที่ยังไม่ได้ "สู่" คือยังไม่ได้เอาน้ำราดให้แตกตัวเป็นผงมาดองกับสารส้ม
ทิ้งไว้นาน 2 เดือน นำปูนนั้นมาทับน้ำให้สะเด็ดน้ำดีแล้ว นำมาผสมกับทรายละเอียดร่อนอย่างดี
นำน้ำหนังวัวควายที่แห้งเป็นแผ่น ๆ มาต้มเคี่ยวในกระทะใบบัว เอาน้ำอ้อยที่เป็นก้อนมาต้มเคี่ยวให้เหนียวพอประมาณ
ในอดีตคงใช้น้ำอ้อยแคว่ง (อ่านว่า แกว้ง) คือ น้ำอ้อยที่เคี่ยวไม่ให้ข้นเป็นก้อน
แต่ปัจจุบันนับเป็นของที่หาซื้อได้ยาก ส่วนผสมอีกอย่างคือน้ำข้าวเหนียวต้ม ผสมสีฝุ่นให้ได้สีใกล้เคียงกับของเดิม
ผสมเข้าด้วยกันจนเหนียวพอใช้ฉาบได้ การฉาบทำการฉาบ 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นการฉาบหยาบพอหมาดแล้ว
จึงฉาบละเอียดเพื่อให้ผิวหน้าเรียบมันใกล้เคียงกับของเดิม
อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถทำได้ทัดเทียมกับของเดิม
อาจกล่าวได้ว่าเทคนิคการก่อสร้างอาคารหลังนี้และบ้านเหลี่ยวย่งง้วน ซึ่งก็คือร้านเดอะแกลลอรี่นั้น เป็นการก่อสร้างชั้นครู
เนื่องด้วยเป็นผิวที่เรียบลื่นคล้ายเคลือบด้วยสารอะไรอย่างหนึ่งแน่นได้ดี
จนสีหรือน้ำยาเคลือบในปัจจุบันไม่สามารถติดได้เป็นเนื้อเดียวกันเมื่อทาหรือเคลือบลงไปแล้วไม่นานก็จะหลุดร่อนออก
คุณสุรชัย เลียวสวัสดิพงศ์ ยังพบว่าที่เสาด้านหน้าของร้านเดอะแกลลอรี่
เมื่อมีการล้างสีน้ำมันออกได้พบร่องรอยลวดลายคล้ายกับลายที่เสาของอาคารศาลาบาตรที่วัดเกตด้วย เพียงแต่ขนาดของลายเล็กกว่าเท่านั้น
ร้านเดอะแกลลอรี่ อยู่ใกล้ๆ วัดเกตการาม จะมีลวดลายเขียนที่คล้ายกันมาก
..........กรณีภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นได้รับการแนะนำจากอาจารย์ ดร.ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ ถึงช่างฝีมือดี
จึงได้ขอความร่วมมือไปทางกรมศิลปากรผ่านคุณสหวัฒน์ แน่นหนา
ผู้อำนวยการสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 6 เชียงใหม่ ขอเชิญอาจารย์ ภัทรุตม์ สายะเสวี และคณะ
เข้ามาช่วยทำความสะอาดและซ่อมปูนที่กระเทาะจนสำเร็จเรียบร้อย
โดยใช้เงินจากกองทุนอนุรักษ์และพัฒนาวัดเกตที่ได้มาจากการทอดกฐินและผ้าป่าสามัคคี เมื่อปี พ.ศ.2542
ซึ่งมีตระกูลคุณารักษ์ เป็นเก๊า (ประธาน) ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลบ้านเด็ก ตระกูลกาญจนากร ชัยรัต เผ่าชัย ตระการกมล
พร้อมด้วยคณะศรัทธาชาวบ้านวัดเกตโดยคุณบูรพา เรี่ยวเธียรชัย เจ้าของบริษัท ธารา จำกัด สะใภ้ของเหลี่ยวย่งง้วน สมทบให้อีกสองแสนบาทเท่ากับของตระกูลคุณารักษ์ ที่มอบให้เป็นทุนตั้งต้น
..........อนึ่ง ที่ต้องบันทึกไว้คือ ไม้ขื่อที่มีปลายด้านที่อยู่ฟากกำแพงวัดมีการผุกร่อนหลุดออกจากกำแพงจะเปลี่ยนใหม่ก็ไม่ได้
เพราะปลายอีกด้านหนึ่งฝังอยู่ในกำแพงที่มีรูปจิตรกรรม ถ้าดึงออกภาพเหล่านั้นก็จะเสียหายหมด
คุณเผชิญ ชัยรัต จึงเสนอให้แก้ปัญหาด้วยการทำแบบยื่นออกมาจากคานบนกำแพง
แล้วเทคอนกรีตเป็นทับหลังยื่นออกมารับกับปลายขื่อที่ขาดออกจากกำแพงเสร็จแล้วฉาบด้วยปูนแบบโบราณ เป็นการแก้ปัญหาที่แยบยลทีเดียว
..........ในอดีต อาคารหลังนี้ เคยเป็นโรงเรียนชั้นมูล (ช่วงประมาณ พ.ศ.2470 - 2475) ตลอดจนเป็นศาลาเอนกประสงค์
จากการบอกเล่าของอาจารย์มาดี เดชคำรณ บอกว่า
แม่เจ้าจามรี ธิดาของเจ้าราชภาคินัย (แผ่นฟ้า) ชายาของเจ้าแก้วนวรัฐฯ เจ้าหลวงเชียงใหม่
ยังเคยมาใช้เป็นที่ถืออุโบสถศีลในวันพระช่วงเข้าพรรษาในสมัยก่อน
เวลาพ่อออกแม่ออกจะมานอนวัดเพื่อถืออุโบสถศีลนั้นท่านจะมีการรับศีล 8 เวลามานอน และเมื่อจะกลับบ้านท่านก็จะมาลาอุโบสถเสียก่อน
..........ก่อนหน้านี้ ศาลาบาตรถูกใช้เป็นที่อ่านหนังสือ ที่แสดงภาพเชียงใหม่ในอดีตนับร้อยภาพ
ซึ่งได้จากการเก็บรวบรวมของคุณวุฒิพงศ์ สิทธิกุล เป็นส่วนใหญ่ เป็นการอนุรักษ์ของเก่าอย่างรู้คุณค่า และนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ในปัจจุบัน
หมายเหตุ ... โดยปกติ ศาลาบาตรนี้ ไม่ได้เปิดให้เข้าชมทั่วไปนะครับ
หากต้องการเข้าชม ต้องแจ้งให้ผู้ดูแลทราบเพื่อเปิดประตูเข้าไป ซึ่งภายในค่อนข้างรกและแน่นไปหมดครับ