ความมหัศจรรย์ของหมึก
ในเดือนเมษายน 2017 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหมึกยักษ์ (Octopuses) 8 ตัวพร้อมกับหมึกเล็ก (Squid) และหมึกกระดอง (Cuttlefish) บางสายพันธุ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับ RNA (กรดไรโบนิวคลีอิก) ของพวกมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ นี่เป็นเรื่องแปลกเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการปรับตัวที่มักเกิดขึ้นในสัตว์หลายเซลล์ เพราะสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะพื้นฐาน โดยเริ่มจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม คือการเปลี่ยนแปลงของ DNA
เมื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ DNA จะเป็นผู้สร้างสูตรอาหารขึ้น ในขณะที่ RNA จะทำหน้าที่เป็นเชฟที่จัดการการผลิตอาหารภายในครัว เพื่อสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการทำงานขององค์ประกอบภายในเซลล์ แต่ RNA ไม่เพียงแค่ทำตามสูตรเท่านั้น – ในบางครั้งมันจะปรับปรุงส่วนประกอบบางอย่าง เพื่อเปลี่ยนโปรตีนที่ผลิตขึ้น ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า การเปลี่ยนแปลง RNA
เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น มันสามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของโปรตีนในร่างกาย ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถปรับรูปแบบทางพันธุกรรมได้โดยไม่ต้องผ่านการกลายพันธุ์ของ DNA
แต่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้วิธีการนี้มากนักเนื่องจากมันยุ่งยากและทำให้เกิดปัญหาบ่อยเกินกว่าที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ ในปี 2015 นักวิจัยค้นพบว่าหมึกทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลง RNA มากกว่าร้อยละ 60 ในระบบประสาท ซึ่งทำให้โครงสร้างทางสรีรวิทยาของสมองเปลี่ยนไป โดยสันนิษฐานว่ามันปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ในมหาสมุทร
นอกจากหมึกแล้ว ในปี 2017 นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบสิ่งที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งคือ หอยทากและทากสวนก็มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลง RNA ของพวกมันได้เช่นกัน
นักวิจัยวิเคราะห์ RNA หลายแสนตำแหน่งในสัตว์อันดับย่อย Coleoid และพบว่าการเปลี่ยนแปลง RNA ทำให้พวกมันฉลาดขึ้น แต่ในแง่ของวิวัฒนาการจีโนมิกส์ (Genomics) ทั่วไป หมึกกลับพัฒนาอย่างเชื่องช้า ซึ่งนักวิจัยสันนิษฐานว่านี่ถือเป็นการเสียสละที่จำเป็น หากคุณต้องการการพัฒนาด้านอื่นที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตมากกว่า
Cr.realmetro.com/
หิ่งห้อย (Fire fly) แมลงที่สามารถผลิตแสงแบบชีวภาพ
หิ่งห้อย เป็นแมลงปีกแข็งที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน หิ่งห้อยตัวผู้จะเรืองแสงบริเวณ 2 ปล้องสุดท้าย ส่วนตัวเมียจะเรืองแสงเพียงปล้องเดียว แสงกระพริบของหิ่งห้อยเกิดจากชีวเคมีของสาร Luciferin ที่หิ่งห้อยผลิตขึ้นมา เข้าทำปฏิกิริยากับออกซิเจน โดยมี Adenosine Triphosphate เป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดเป็นแสงเย็นสีเหลืองอมเขียว
แสงของหิ่งห้อยเกิดจากปฏิกิริยาเคมีสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ที่อยู่ในอวัยวะทําแสงกับออกซิเจน โดยมีเอนไซม์ลูซิเฟอเรส (Luciferase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นตัวให้พลังงานทําให้เกิดแสง โดยจังหวะของการกะพริบแสงของหิ่งห้อยจะใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน รวมไปถึงเป็นการส่งสัญญาณสื่อ "ภาษารัก" เพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ หิ่งห้อยมีวงจรชีวิตประมาณ 3-18 เดือน แล้วแต่ชนิด โดยทั่วไปแล้ว หิ่งห้อยบกจะมีวงจรชีวิตนานถึง 1 ปี ในขณะที่หิ่งห้อยน้ำส่วนใหญ่มีวงจรชีวิตที่สั้นกว่า
ตอนเด็กๆ เรามักถูกสอนว่าหิ่งห้อยจะอยู่ตามต้นลำพู นั่นเป็นเพราะหิ่งห้อยตัวเต็มวัยจะไม่กินอาหารอื่นนอกจากน้ำค้าง และต้นลำพูก็เป็นพืชใบขน จึงทำให้มีน้ำค้างเกาะอยู่มาก นอกจากนั้นพวกมันยังชอบอยู่ตามต้นแสม ต้นโกงกาง และต้นโพทะเล ใกล้กับแหล่งน้ำสะอาดและมีระบบนิเวศสมบูรณ์ อย่างตามทุ่งนาหรือป่าชายเลน ที่สำคัญต้องเป็นน้ำนิ่งไม่มีมลพิษ ดังนั้นหิ่งห้อยจึงเป็นแมลงที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ และสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ที่มันอยู่
Cr.de-de.facebook.com
Bearded Dragon มังกรเคราหลากสี
มีชื่อเรียกตามคำแปลตรงตัวว่า "มังกรเครา" บ้างเรียก "กิ้งก่าเครางาม" ซึ่งเรียกกันตามลักษณะของผิวหนังใต้คางที่พองขยายขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะอารมณ์ตื่นเต้นในเวลาผสมพันธุ์ หรืออยู่ในภาวะที่ต้องข่มขวัญเมื่อเจอศัตรู ผิวหนังย่นๆ บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ซึ่งมีทั้งในตัวผู้และตัวเมีย มองดูแล้วจึงคล้ายคลึงกับเคราของมนุษย์ ผิวหนังตามลำตัวเต็มไปด้วยตุ่มหนาม โดยเฉพาะสีข้างลำตัวทั้งซ้ายขวาจะเห็นหนามแหลมเรียงตัวอย่างชัดเจน กิ้งก่าชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่แห้งแล้ง แถบทะเลทรายในประเทศออสเตรเลีย มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ตั้งแต่หัวจรดหางราว 1-1.5 ฟุต มีน้ำหนัก 300-500 กรัม และสามารถสังเกตเพศได้ชัดเจนเมื่ออายุ 1 ปี
กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น หนอน, แมลง, กิ้งก่าขนาดเล็ก, ผักชนิดต่าง ๆ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะมีอุปนิสัยไม่ดุร้าย
เบียร์ดดราก้อนเลี้ยงอาจมีความยาวได้ถึง 22 นิ้ว นับว่ามีความใหญ่กว่าขนาดในธรรมชาติ และมีสีต่าง ๆ ผิดไปจากธรรมชาติด้วย เช่น สีแดง, สีเหลืองทั้งตัว หรือหนามบนตัวหายไปหมด หรือแม้แต่ลำตัวโปร่งใสจนมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในได้ลาง ๆ ดวงตามีแต่ส่วนตาดำ ไม่มีตาขาว เป็นต้น
Cr.sites.google.com
"บล็อบ" Blob สิ่งมีชีวิตที่ฆ่าไม่ตาย
เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวสีเหลืองที่ถูกจัดให้อยู่ในตระกูล Myxomycete “ราเมือก” ชนิดหนึ่ง มีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ มันไม่มีตา หรือปาก แต่สามารถย่อยอาหารได้ ไม่มีสมองแต่สามารถเรียนรู้ได้ และยังรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็วใน 2 นาทีเท่านั้น หากมันถูกตัด
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘Physarum polycephalum’ พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษมาก และอาจจะเก่าแก่กว่าพันล้านปี มันมีเกือบ 720 เพศในตัว โดยไม่ได้แบ่งแยกเป็นเพศชาย หรือหญิง และสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องใช้ขา หรือปีกเลยด้วย ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของบล็อบ คือบล็อบไม่มีสมองหรือระบบประสาท แต่กลับมีความสามารถเรียนรู้ขั้นสูง สามารถจดจำและแก้ปัญหาได้
บล็อบ เป็นชื่อเรียกที่ถูกตั้งตามภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง B-movie ในปี 1958 ที่นำแสดงโดย Steve McQueen ซึ่งเป็นชีวิตมนุษย์ต่างดาว ที่ถูกเรียกว่า ‘The Blob’ ซึ่งกินทุกอย่างในเส้นทางในเมืองเพนซิลเวเนียขนาดเล็ก ในขณะที่บล็อบตัวจริง กินอาหารประเภทซีเรียล หรือธัญญาหาร บล็อบสามารถคืบคลาน เคลื่อนที่ไปหาอาหารได้ด้วยความเร็ว 4 เซนติเมตรต่อชั่วโมง
Cr.thematter.co
ตุ่นหนูไร้ขน (Naked mole rat)
ในโลกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นไม่ว่าจะเป็นคน สุนัข แมว ลิง ช้าง สิงโต ยีราฟ หรือแม้แต่วาฬก็มีโอกาสป่วยเป็นมะเร็งได้ (วาฬป่วยเป็นมะเร็งเต้านมได้) แต่ตุ่นหนูไร้ขนจัดว่าโชคดีที่ไม่ป่วยเป็นมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์พบว่า ตุ่นหนูไร้ขนมีเนื้อเยื่อพิเศษที่ทำให้มันพัฒนาคุณลักษณะต่อต้านมะเร็งได้ มีสารพิเศษชนิดหนึ่ง เรียกว่า "ไฮยาลูโรนัน" ทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้มะเร็งพัฒนาขึ้นในร่างกายของมันได้ ไฮยาลูโรนัน เป็นองค์ประกอบหนึ่งของเนื่อเยื่อในส่วนที่ไม่ได้เป็นเซลล์ (เอ็กซ์ตราเซลลูลาร์ แมทริกซ์) และเป็นที่รู้กันก่อนหน้านี้ว่า มันทำหน้าที่ยึดเซลล์และเนื้อเยื่อเข้าไว้ด้วยกัน
ไฮยาลูโรนัน ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญานเพื่อควบคุมการเติบโตขยายตัวของเซลล์บางชนิดได้ สารพิเศษดังกล่าวนี้พบในคนเราเช่นเดียวกัน แต่ที่พิเศษในกรณีของตัวตุ่นไร้ขนก็คือ มันสามารถผลิตสารไฮยาลูโรนันในระดับโมเลกุลขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากมายนั่นเอง ไฮยาลูโรนันในตัวตุ่นหนูไร้ขนจึงถูกเรียกต่างหากออกไปว่า"เอชเอ็มดับเบิลยู-เอชเอ" ที่เชื่อว่าช่วยให้ตัวตุ่นหนูไร้ขนนี้ปลอดจากโรคมะเร็งชั่วอายุขัย
Cr.facebook.com/soanimalcafecnx
ผีเสื้อหางติ่งลายเสือถิ่นตะวันออก ครึ่งหญิงครึ่งชาย
จุดสังเกตที่สะดุดตาและบอกได้ทันทีว่ารวมสองเพศไว้ในตัวเดียวก็คือลักษณะลวดลายบนปีกสองข้างที่แตกต่างกัน โดยปีกข้างหนึ่งมีจุดสีเหลืองบนพื้นปีกสีน้ำตาลซึ่งเป็นลักษณะของผีเสื้อตัวเมีย ในขณะที่อีกข้างเป็นสีดำเข้มพาดด้วยขอบสีฟ้าซึ่งเป็นลักษณะของตัวผู้ แถมที่ลวดลายที่ลำตัวของมันก็แบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งที่แตกต่างกันตามปีกด้วย
Gynandromorphism คือการมีสองเพศที่แบ่งกันอย่างชัดเจนในสิ่งมีชีวิตตัวเดียว มักสังเกตเห็นได้ในนกและผีเสื้อบางชนิด ที่ตัวผู้และตัวเมียมีสีสันแตกต่างกันอย่างชัดเจนเท่านั้น ซึ่งสำหรับการพบเห็นในผีเสื้อชนิดนี้ถือว่าหาดูได้ยากมาก ส่วนสาเหตุเกิดจากการที่โครโมโซมเพศไม่แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ในช่วงเริ่มแรก ซึ่งแตกต่างจากภาวะกะเทยแบบ Hermaphroditism ที่จะส่งผลให้สิ่งมีชีวิตนั้นมีอวัยวะเพศที่ก้ำกึ่งระหว่างเพศผู้และเมีย ทว่าพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตจะไม่ก้ำกึ่ง คือค่อนไปในทางเพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ
ผีเสื้อหางติ่งลายเสือถิ่นตะวันออกตัวนี้ มีขนาดราว 1.5 เท่าของตัวจริง ด้านสีเหลืองเป็นลักษณะของเพศผู้และด้านสีมอๆ เป็นลักษณะของเพศเมีย
Cr.ngthai.com/
Anableps anableps ความรักต้องเลือกข้าง
ปลาสี่ตาอาศัยอยู่ใน น่านนํ้าจืดและนํ้ากร่อยตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มีเพียงสามชนิดพันธุ์ในวงศ์ A. anableps ที่มีตาสองส่วน ปลาสี่ตาเพศผู้ (ล่างซ้าย) และเพศเมียถ่ายภาพที่สวนสัตว์โอคลาโฮมาซิตี
Anableps anableps มีชื่อสามัญว่า ปลาสี่ตา จริง ๆ แล้วมันมีแค่สองตา ที่ดูเหมือนมีสี่ตาเพราะแถบเนื้อเยื่อในแนวนอนที่แบ่งตาออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนมีรูม่านตาของตัวเองและการมองเห็นแยกกัน เวลาว่ายนํ้าใกล้ผิวนํ้า ปลาชนิดนี้สามารถมองเห็นในนํ้าและบนผิวนํ้าได้พร้อมกัน
ลักษณะเฉพาะดังกล่าวไม่ใช่ความแปลกประหลาดทางกายวิภาคเพียงอย่างเดียวของปลาสี่ตา ช่องเพศของเพศเมียและอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศผู้ซึ่งเป็นครีบดัดแปรรูปร่างคล้ายท่อเรียกว่า โกโน-โพเดียม (gono-podium) ในปลาบางตัวจะหันไปทางขวา และในบางตัวจะหันไปทางซ้าย นี่หมายความว่า ปลาเพศผู้ที่ถนัดขวาถูกสร้างขึ้นมาให้ผสมพันธุ์กับปลาเพศเมียที่ถนัดซ้าย
Cr.ngthai.com/
ตั้นแตนใบไม้สายพันธุ์ใหม่ ปลอมตัวเปลี่ยนสี
ไม่นานมานี้มีการค้นพบตั๊กแตนใบไม้ที่มีสีชมพูกุหลาบ ซึ่งสีชมพูนี้จะมีแค่ในตัวเมียเท่านั้น ในขณะที่ตัวผู้จะมีสีเขียว ซึ่งทั้ง 2 เพศยังมีรูปร่างหน้าตารวมไปถึงเส้นเลือดที่คล้ายกับใบไม้ใบหนึ่ง
Sigfrid Ingrisch ผู้เชี่ยวชาญแมลงสายพันธุ์ Katydid ของเอเชีย ได้ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Eulophophyllum kirki ด้วยลักษณะปีกที่เป็นรูปใบไม้อย่างชัดเจนและสีที่แยกเพศของพวกมัน ทำให้พวกมันกลายเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความโดดเด่นมากที่สุด
ทั้งสองสายพันธุ์ที่ค้นพบใหม่มีโดยรูปแบบของหลอดเลือดที่ปรากฏบนปีก ตัว และขาหลัง ทำให้ดูเหมือนใบไม้ และสีชมพูที่มีเฉพาะในเพศเมีย
จากข้อมูลนี้เป็นไปได้ว่าแมลง Katydids สายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบทั้งสองเพศ ไม่ได้เป็นสีเดียวกันเนื่องจากมีเหตุผลที่แตกต่างกันสำหรับการปลอมตัว
กล่าวได้ว่า “ตัวเมียของสายพันธุ์ใหม่นี้อาจจะซ่อนตัวอยู่และอาจกินอาหารที่มีใบอ่อนสีแดง เป็นไปได้ว่าเพศชายมีวิวัฒนาการการปลอมตัวเป็นสีเขียวเพื่อให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวในสถานที่อื่นๆ ขณะที่กำลังสัญจรไปมาเพื่อหาเพศหญิง”
Cr.catdumb.com
ภาพยนตร์สารคดี ที่หลุดออกจากกรอบของสารคดีสัตว์โลกทั่วไป
Cr.thainews7.com
ความมหัศจรรย์ของสัตว์โลกในธรรมชาติ
ในเดือนเมษายน 2017 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหมึกยักษ์ (Octopuses) 8 ตัวพร้อมกับหมึกเล็ก (Squid) และหมึกกระดอง (Cuttlefish) บางสายพันธุ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับ RNA (กรดไรโบนิวคลีอิก) ของพวกมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ นี่เป็นเรื่องแปลกเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการปรับตัวที่มักเกิดขึ้นในสัตว์หลายเซลล์ เพราะสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะพื้นฐาน โดยเริ่มจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม คือการเปลี่ยนแปลงของ DNA
เมื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ DNA จะเป็นผู้สร้างสูตรอาหารขึ้น ในขณะที่ RNA จะทำหน้าที่เป็นเชฟที่จัดการการผลิตอาหารภายในครัว เพื่อสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการทำงานขององค์ประกอบภายในเซลล์ แต่ RNA ไม่เพียงแค่ทำตามสูตรเท่านั้น – ในบางครั้งมันจะปรับปรุงส่วนประกอบบางอย่าง เพื่อเปลี่ยนโปรตีนที่ผลิตขึ้น ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า การเปลี่ยนแปลง RNA
เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น มันสามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของโปรตีนในร่างกาย ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถปรับรูปแบบทางพันธุกรรมได้โดยไม่ต้องผ่านการกลายพันธุ์ของ DNA
แต่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้วิธีการนี้มากนักเนื่องจากมันยุ่งยากและทำให้เกิดปัญหาบ่อยเกินกว่าที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ ในปี 2015 นักวิจัยค้นพบว่าหมึกทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลง RNA มากกว่าร้อยละ 60 ในระบบประสาท ซึ่งทำให้โครงสร้างทางสรีรวิทยาของสมองเปลี่ยนไป โดยสันนิษฐานว่ามันปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ในมหาสมุทร
นอกจากหมึกแล้ว ในปี 2017 นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบสิ่งที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งคือ หอยทากและทากสวนก็มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลง RNA ของพวกมันได้เช่นกัน
นักวิจัยวิเคราะห์ RNA หลายแสนตำแหน่งในสัตว์อันดับย่อย Coleoid และพบว่าการเปลี่ยนแปลง RNA ทำให้พวกมันฉลาดขึ้น แต่ในแง่ของวิวัฒนาการจีโนมิกส์ (Genomics) ทั่วไป หมึกกลับพัฒนาอย่างเชื่องช้า ซึ่งนักวิจัยสันนิษฐานว่านี่ถือเป็นการเสียสละที่จำเป็น หากคุณต้องการการพัฒนาด้านอื่นที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตมากกว่า
Cr.realmetro.com/
หิ่งห้อย (Fire fly) แมลงที่สามารถผลิตแสงแบบชีวภาพ
หิ่งห้อย เป็นแมลงปีกแข็งที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน หิ่งห้อยตัวผู้จะเรืองแสงบริเวณ 2 ปล้องสุดท้าย ส่วนตัวเมียจะเรืองแสงเพียงปล้องเดียว แสงกระพริบของหิ่งห้อยเกิดจากชีวเคมีของสาร Luciferin ที่หิ่งห้อยผลิตขึ้นมา เข้าทำปฏิกิริยากับออกซิเจน โดยมี Adenosine Triphosphate เป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดเป็นแสงเย็นสีเหลืองอมเขียว
แสงของหิ่งห้อยเกิดจากปฏิกิริยาเคมีสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ที่อยู่ในอวัยวะทําแสงกับออกซิเจน โดยมีเอนไซม์ลูซิเฟอเรส (Luciferase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นตัวให้พลังงานทําให้เกิดแสง โดยจังหวะของการกะพริบแสงของหิ่งห้อยจะใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน รวมไปถึงเป็นการส่งสัญญาณสื่อ "ภาษารัก" เพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ หิ่งห้อยมีวงจรชีวิตประมาณ 3-18 เดือน แล้วแต่ชนิด โดยทั่วไปแล้ว หิ่งห้อยบกจะมีวงจรชีวิตนานถึง 1 ปี ในขณะที่หิ่งห้อยน้ำส่วนใหญ่มีวงจรชีวิตที่สั้นกว่า
ตอนเด็กๆ เรามักถูกสอนว่าหิ่งห้อยจะอยู่ตามต้นลำพู นั่นเป็นเพราะหิ่งห้อยตัวเต็มวัยจะไม่กินอาหารอื่นนอกจากน้ำค้าง และต้นลำพูก็เป็นพืชใบขน จึงทำให้มีน้ำค้างเกาะอยู่มาก นอกจากนั้นพวกมันยังชอบอยู่ตามต้นแสม ต้นโกงกาง และต้นโพทะเล ใกล้กับแหล่งน้ำสะอาดและมีระบบนิเวศสมบูรณ์ อย่างตามทุ่งนาหรือป่าชายเลน ที่สำคัญต้องเป็นน้ำนิ่งไม่มีมลพิษ ดังนั้นหิ่งห้อยจึงเป็นแมลงที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ และสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ที่มันอยู่
Cr.de-de.facebook.com
Bearded Dragon มังกรเคราหลากสี
มีชื่อเรียกตามคำแปลตรงตัวว่า "มังกรเครา" บ้างเรียก "กิ้งก่าเครางาม" ซึ่งเรียกกันตามลักษณะของผิวหนังใต้คางที่พองขยายขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะอารมณ์ตื่นเต้นในเวลาผสมพันธุ์ หรืออยู่ในภาวะที่ต้องข่มขวัญเมื่อเจอศัตรู ผิวหนังย่นๆ บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ซึ่งมีทั้งในตัวผู้และตัวเมีย มองดูแล้วจึงคล้ายคลึงกับเคราของมนุษย์ ผิวหนังตามลำตัวเต็มไปด้วยตุ่มหนาม โดยเฉพาะสีข้างลำตัวทั้งซ้ายขวาจะเห็นหนามแหลมเรียงตัวอย่างชัดเจน กิ้งก่าชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่แห้งแล้ง แถบทะเลทรายในประเทศออสเตรเลีย มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ตั้งแต่หัวจรดหางราว 1-1.5 ฟุต มีน้ำหนัก 300-500 กรัม และสามารถสังเกตเพศได้ชัดเจนเมื่ออายุ 1 ปี
กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น หนอน, แมลง, กิ้งก่าขนาดเล็ก, ผักชนิดต่าง ๆ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะมีอุปนิสัยไม่ดุร้าย
เบียร์ดดราก้อนเลี้ยงอาจมีความยาวได้ถึง 22 นิ้ว นับว่ามีความใหญ่กว่าขนาดในธรรมชาติ และมีสีต่าง ๆ ผิดไปจากธรรมชาติด้วย เช่น สีแดง, สีเหลืองทั้งตัว หรือหนามบนตัวหายไปหมด หรือแม้แต่ลำตัวโปร่งใสจนมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในได้ลาง ๆ ดวงตามีแต่ส่วนตาดำ ไม่มีตาขาว เป็นต้น
Cr.sites.google.com
"บล็อบ" Blob สิ่งมีชีวิตที่ฆ่าไม่ตาย
เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวสีเหลืองที่ถูกจัดให้อยู่ในตระกูล Myxomycete “ราเมือก” ชนิดหนึ่ง มีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ มันไม่มีตา หรือปาก แต่สามารถย่อยอาหารได้ ไม่มีสมองแต่สามารถเรียนรู้ได้ และยังรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็วใน 2 นาทีเท่านั้น หากมันถูกตัด
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘Physarum polycephalum’ พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษมาก และอาจจะเก่าแก่กว่าพันล้านปี มันมีเกือบ 720 เพศในตัว โดยไม่ได้แบ่งแยกเป็นเพศชาย หรือหญิง และสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องใช้ขา หรือปีกเลยด้วย ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของบล็อบ คือบล็อบไม่มีสมองหรือระบบประสาท แต่กลับมีความสามารถเรียนรู้ขั้นสูง สามารถจดจำและแก้ปัญหาได้
บล็อบ เป็นชื่อเรียกที่ถูกตั้งตามภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง B-movie ในปี 1958 ที่นำแสดงโดย Steve McQueen ซึ่งเป็นชีวิตมนุษย์ต่างดาว ที่ถูกเรียกว่า ‘The Blob’ ซึ่งกินทุกอย่างในเส้นทางในเมืองเพนซิลเวเนียขนาดเล็ก ในขณะที่บล็อบตัวจริง กินอาหารประเภทซีเรียล หรือธัญญาหาร บล็อบสามารถคืบคลาน เคลื่อนที่ไปหาอาหารได้ด้วยความเร็ว 4 เซนติเมตรต่อชั่วโมง
Cr.thematter.co
ตุ่นหนูไร้ขน (Naked mole rat)
ในโลกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นไม่ว่าจะเป็นคน สุนัข แมว ลิง ช้าง สิงโต ยีราฟ หรือแม้แต่วาฬก็มีโอกาสป่วยเป็นมะเร็งได้ (วาฬป่วยเป็นมะเร็งเต้านมได้) แต่ตุ่นหนูไร้ขนจัดว่าโชคดีที่ไม่ป่วยเป็นมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์พบว่า ตุ่นหนูไร้ขนมีเนื้อเยื่อพิเศษที่ทำให้มันพัฒนาคุณลักษณะต่อต้านมะเร็งได้ มีสารพิเศษชนิดหนึ่ง เรียกว่า "ไฮยาลูโรนัน" ทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้มะเร็งพัฒนาขึ้นในร่างกายของมันได้ ไฮยาลูโรนัน เป็นองค์ประกอบหนึ่งของเนื่อเยื่อในส่วนที่ไม่ได้เป็นเซลล์ (เอ็กซ์ตราเซลลูลาร์ แมทริกซ์) และเป็นที่รู้กันก่อนหน้านี้ว่า มันทำหน้าที่ยึดเซลล์และเนื้อเยื่อเข้าไว้ด้วยกัน
ไฮยาลูโรนัน ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญานเพื่อควบคุมการเติบโตขยายตัวของเซลล์บางชนิดได้ สารพิเศษดังกล่าวนี้พบในคนเราเช่นเดียวกัน แต่ที่พิเศษในกรณีของตัวตุ่นไร้ขนก็คือ มันสามารถผลิตสารไฮยาลูโรนันในระดับโมเลกุลขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากมายนั่นเอง ไฮยาลูโรนันในตัวตุ่นหนูไร้ขนจึงถูกเรียกต่างหากออกไปว่า"เอชเอ็มดับเบิลยู-เอชเอ" ที่เชื่อว่าช่วยให้ตัวตุ่นหนูไร้ขนนี้ปลอดจากโรคมะเร็งชั่วอายุขัย
Cr.facebook.com/soanimalcafecnx
ผีเสื้อหางติ่งลายเสือถิ่นตะวันออก ครึ่งหญิงครึ่งชาย
จุดสังเกตที่สะดุดตาและบอกได้ทันทีว่ารวมสองเพศไว้ในตัวเดียวก็คือลักษณะลวดลายบนปีกสองข้างที่แตกต่างกัน โดยปีกข้างหนึ่งมีจุดสีเหลืองบนพื้นปีกสีน้ำตาลซึ่งเป็นลักษณะของผีเสื้อตัวเมีย ในขณะที่อีกข้างเป็นสีดำเข้มพาดด้วยขอบสีฟ้าซึ่งเป็นลักษณะของตัวผู้ แถมที่ลวดลายที่ลำตัวของมันก็แบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งที่แตกต่างกันตามปีกด้วย
Gynandromorphism คือการมีสองเพศที่แบ่งกันอย่างชัดเจนในสิ่งมีชีวิตตัวเดียว มักสังเกตเห็นได้ในนกและผีเสื้อบางชนิด ที่ตัวผู้และตัวเมียมีสีสันแตกต่างกันอย่างชัดเจนเท่านั้น ซึ่งสำหรับการพบเห็นในผีเสื้อชนิดนี้ถือว่าหาดูได้ยากมาก ส่วนสาเหตุเกิดจากการที่โครโมโซมเพศไม่แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ในช่วงเริ่มแรก ซึ่งแตกต่างจากภาวะกะเทยแบบ Hermaphroditism ที่จะส่งผลให้สิ่งมีชีวิตนั้นมีอวัยวะเพศที่ก้ำกึ่งระหว่างเพศผู้และเมีย ทว่าพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตจะไม่ก้ำกึ่ง คือค่อนไปในทางเพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ
ผีเสื้อหางติ่งลายเสือถิ่นตะวันออกตัวนี้ มีขนาดราว 1.5 เท่าของตัวจริง ด้านสีเหลืองเป็นลักษณะของเพศผู้และด้านสีมอๆ เป็นลักษณะของเพศเมีย
Cr.ngthai.com/
Anableps anableps ความรักต้องเลือกข้าง
ปลาสี่ตาอาศัยอยู่ใน น่านนํ้าจืดและนํ้ากร่อยตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มีเพียงสามชนิดพันธุ์ในวงศ์ A. anableps ที่มีตาสองส่วน ปลาสี่ตาเพศผู้ (ล่างซ้าย) และเพศเมียถ่ายภาพที่สวนสัตว์โอคลาโฮมาซิตี
Anableps anableps มีชื่อสามัญว่า ปลาสี่ตา จริง ๆ แล้วมันมีแค่สองตา ที่ดูเหมือนมีสี่ตาเพราะแถบเนื้อเยื่อในแนวนอนที่แบ่งตาออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนมีรูม่านตาของตัวเองและการมองเห็นแยกกัน เวลาว่ายนํ้าใกล้ผิวนํ้า ปลาชนิดนี้สามารถมองเห็นในนํ้าและบนผิวนํ้าได้พร้อมกัน
ลักษณะเฉพาะดังกล่าวไม่ใช่ความแปลกประหลาดทางกายวิภาคเพียงอย่างเดียวของปลาสี่ตา ช่องเพศของเพศเมียและอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศผู้ซึ่งเป็นครีบดัดแปรรูปร่างคล้ายท่อเรียกว่า โกโน-โพเดียม (gono-podium) ในปลาบางตัวจะหันไปทางขวา และในบางตัวจะหันไปทางซ้าย นี่หมายความว่า ปลาเพศผู้ที่ถนัดขวาถูกสร้างขึ้นมาให้ผสมพันธุ์กับปลาเพศเมียที่ถนัดซ้าย
Cr.ngthai.com/
ตั้นแตนใบไม้สายพันธุ์ใหม่ ปลอมตัวเปลี่ยนสี
ไม่นานมานี้มีการค้นพบตั๊กแตนใบไม้ที่มีสีชมพูกุหลาบ ซึ่งสีชมพูนี้จะมีแค่ในตัวเมียเท่านั้น ในขณะที่ตัวผู้จะมีสีเขียว ซึ่งทั้ง 2 เพศยังมีรูปร่างหน้าตารวมไปถึงเส้นเลือดที่คล้ายกับใบไม้ใบหนึ่ง
Sigfrid Ingrisch ผู้เชี่ยวชาญแมลงสายพันธุ์ Katydid ของเอเชีย ได้ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Eulophophyllum kirki ด้วยลักษณะปีกที่เป็นรูปใบไม้อย่างชัดเจนและสีที่แยกเพศของพวกมัน ทำให้พวกมันกลายเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความโดดเด่นมากที่สุด
ทั้งสองสายพันธุ์ที่ค้นพบใหม่มีโดยรูปแบบของหลอดเลือดที่ปรากฏบนปีก ตัว และขาหลัง ทำให้ดูเหมือนใบไม้ และสีชมพูที่มีเฉพาะในเพศเมีย
จากข้อมูลนี้เป็นไปได้ว่าแมลง Katydids สายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบทั้งสองเพศ ไม่ได้เป็นสีเดียวกันเนื่องจากมีเหตุผลที่แตกต่างกันสำหรับการปลอมตัว
กล่าวได้ว่า “ตัวเมียของสายพันธุ์ใหม่นี้อาจจะซ่อนตัวอยู่และอาจกินอาหารที่มีใบอ่อนสีแดง เป็นไปได้ว่าเพศชายมีวิวัฒนาการการปลอมตัวเป็นสีเขียวเพื่อให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวในสถานที่อื่นๆ ขณะที่กำลังสัญจรไปมาเพื่อหาเพศหญิง”
Cr.catdumb.com
ภาพยนตร์สารคดี ที่หลุดออกจากกรอบของสารคดีสัตว์โลกทั่วไป
Cr.thainews7.com