พูดถึงหนัง 4 เรื่องที่เกี่ยวกับน้องๆ bnk

กระทู้คำถาม
Spoil นะคะ  ใครยังไม่ได้ดูหนัง อย่ามาอ่านนะคะ

มีเวลาว่างๆ  ก็อยากจะพูดถึงหนัง 4 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับน้องๆ bnk ที่เราได้ดูมาค่ะ
ไม่ถือเป็นการรีวิวอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ ไม่มีข้อมูลอ้างอิงแน่นปึ้กอะไร 55 
เป็นการแบ่งปันความรู้สึกเฉยๆ ค่ะ  เอาเท่าที่จำได้ละกันค่ะ 

1.  Girls Don't Cry 

เราได้ดูหนังคุณเต๋อหลายเรื่องอยู่  ชอบเรื่อง freelance พอสมควรเลยค่ะ เคยเขียนถึงไว้ค่ะ
Freelance (ภาพยนตร์+ชีวิตจริง+สุขภาพ) https://pantip.com/topic/34674305

แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นแฟนคลับคุณเต๋ออะไรนะคะ

เราก็รู้จักน้องๆ อยู่หลายคน  ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ แต่พอจะรู้คาแรคเตอร์ นิสัยส่วนตัวเด่นๆ ของแต่ละคนอยู่บ้างค่ะ

ก็ดูหนังเรื่องนี้ได้เพลินๆ เรื่อยๆ นะคะ  ไม่ได้รู้สึกน่าเบื่ออะไร   แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ
และเนื่องจากไม่ได้โอชิคนใดเป็นพิเศษ  ก็เลยไม่ได้เอาใจไปเชียร์ใครว่าจะมีประเด็นอะไร

ตอนดูจบ ก็รู้สึกว่า ได้เห็นน้องๆ  มากบ้าง น้อยบ้าง  
แต่ละคนก็มีเสน่ห์ ความเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว

การเล่าเรื่อง การชูประเด็น ก็แล้วแต่มุมมองของผกก. เลยค่ะ
เค้าอยากจะจับประเด็นอะไร  ก็คงไม่โดนใจทุกคนไปหมด
สำหรับเรา  เราก็เลยเฉยๆ  ดูไปเพลินๆ 
ไม่มีอะไรที่เป็นความในใจของสมาชิกที่เซอร์ไพรส์มากนัก
เป็นเรื่องที่พอจะรู้ๆ อยู่แล้ว  ขนาดเราไม่ได้ตามติด ก็ยังพอรู้อยู่บ้างค่ะ 

คิดว่า คงเป็นเพราะน้องๆ และวง มีช่องทางในการสื่อสารอยู่หลายทางพอควร 
ผู้คนจึงได้รับรู้เกี่ยวกับตัวน้อง กิจกรรมของวง  ความรู้สึกในใจต่างๆ อยู่แล้ว
หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นประเด็นในแต่ละช่วงของวง  ก็มีช่องทางให้ได้รับรู้กันมากอยู่
การสัมภาษณ์น้องๆ ในหนังนี้ ก็เลยไม่ได้มีเรื่องแปลกตาแปลกใจอะไรมากนักสำหรับเราค่ะ

ภาพเบื้องหลังต่างๆ ก็โอเค  แต่ก็ยังไม่มีอะไรโดนใจมากนัก
แต่ที่เด่นๆ  เท่าที่จำได้   เพราะมันเป็นภาพที่สะกิดใจ กระตุกใจ  หรือโดนอารมณ์อยู่พอควร
ก็เป็นภาพการซ้อมบนเวทีของตัวจริงทั้งหลาย   แล้วก็มีตัวสำรองอย่างน้องจิ๊บเต้นตามไปด้วยอยู่ข้างๆ เวที
อะไรประมาณนั้น    

เรานึกไม่ออกว่ามีอะไรน่าพูดถึงมากนักค่ะ   ฝีมือของคุณเต๋อก็ทำได้ตามมาตรฐาน
ประเด็นเรื่องตัวจริง ตัวสำรอง  คนข้างบน คนข้างล่าง การแข่งขัน ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ

ในมุมมองเรา จริงๆ มันก็มี dark side หรือเรื่องที่สะท้อนความขัดแย้งในตัวเอง ของทั้งสมาชิกเอง
และจุดยืนของวงเองที่เอาต้นแบบมาจากญี่ปุ่น  ภาพลักษณ์ของวงต้นฉบับและสมาชิกของญึ่ปุ่น
ก็จะมีเรื่องปนเป เทาๆ ดำๆ ในธุรกิจบันเทิงของญี่ปุ่น  
แต่พอรูปแบบนี้ มาอยู่ในวงของไทย  ก็มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสภาพสังคมไทย
เราก็มองว่า มันมีทั้งข้อดี ข้อด้อย และความขัดแย้งอยู่ในตัวเองของมัน

แต่ไม่ว่ายังไง  bnk48 กลายเป็นปรากฏการณ์ไปแล้วในเมืองไทย
แล้วก็ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวให้เดินตามแล้วจะมั่นใจได้ว่า จะประสบความสำเร็จเหมือนปรากฏการณ์นี้
เพราะมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ 

แม้แต่ตัวผู้สร้างงานเอง บริษัทเอง ก็คงไม่คาดคิดว่า
"ทำไม ตอนนู้น ทำแบบนั้น..แล้วมันไม่โดน  แต่ทำไม ตอนนี้ ทำแบบนี้..แล้วมันโดนเข้าเต็มเปา" 

สำหรับเรา  เสน่ห์ของคนธรรมดา ที่มาอยู่ร่วมกัน มีกิจกรรมร่วมกัน  ผ่านอะไรต่างๆ ร่วมกัน
มีความฝันร่วมกัน  มีช่วยเหลือกัน  มีแข่งขันกัน มีผิดหวัง มีสมหวัง ฯลฯ
มันจะมีอะไรน่าสนใจอยู่เยอะในรูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้  เห็นได้จากรายการทีวีที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย
ประเภท reality ที่จับคนมาอยู่ร่วมกันในบ้าน  มาแข่งเกม หรือมาประกวดต่างๆ  ไม่ว่าจะ big brothers  / af /  the star ฯลฯ
แฟนคลับก็จะรู้สึกผูกพัน เอาใจช่วยศิลปินฝึกหัด หรือผู้เข้าแข่งขัน  มากกว่าศิลปินทั่วไปในรูปแบบอื่นๆ

สำหรับ bnk 
เพลงคุกกี้ คือ การเปิดประตูสู่ประเทศไทยอย่างแท้จริง
ตอนเราได้ฟังเพลงครั้งแรก  ทำนองติดหู สนุกสนาน เนื้อเพลงก็โอเค
ภาคดนตรีไม่ไก่กา แน่นปึ้ก มีลวดลาย สีสันล้ำลึกไม่น้อยเลย
เรียกว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่โดนและลงตัวมากๆ  ติดหูง่าย  
อันนี้ต้องชมเพลงต้นฉบับจากญี่ปุ่น และเนื้อร้องไทยก็โอเคมากๆ  
ส่วนท่าเต้น ก็น่ารักดี ไม่ซับซ้อน มีลูกน่ารักๆ  มีท่าจำ   
มันคือ องค์ประกอบทั้งหมดที่ลงตัวมากๆ  ของเพลงนี้

เพราะฉะนั้น หลายคนจะเห็นตรงกันว่า ยุคของ bnk มันมาเฉิดฉายตอนคุกกี้นั่นเอง
ซึ่งในหนังก็มีพูดถึงประเด็นนี้อยู่เป็นส่วนนึง เป็นภาพรวมของการเติบโตของวง  ไม่ได้ชูขึ้นมาเป็นจุดพีคอะไรมากนัก

หนังเรื่องนี้ เป็นการแสดงภาพรวม กว้างๆ  ของวง  และความรู้สึกของสมาชิกในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งในอนาคตอีกแค่ 2-3 เดือน  ความรู้สึกของน้องๆ ก็อาจเปลี่ยนไป
เพราะวงโตเร็วมาก เผชิญเรื่องราว  กิจกรรมอะไรหลายอย่างเยอะมาก 555 ในแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ 
เพราะฉะนั้น  การรวบรวม ร้อยเรียง เรื่องราวของสารพัดสมาชิกให้ออกมาในเวลาจำกัด  
ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก  ก็ให้ความเห็นใจผกก.อยู่ค่ะ 

อ้อ เท่าที่นึกออกคือ ได้เห็นปูเป้เยอะกว่าที่คิด 55  ปูเป้คงบอกเล่าอะไรบางอย่างที่ผกก. ต้องการสื่อมั้งคะ
ก็เลยได้แอร์ไทม์มากหน่อย 

ส่วนเฌอและจิ๊บ  ถูกตัดสลับนำมาต่อกันในความเห็นที่เป็นด้านที่มองจากคนละมุมกัน
ของคนข้างบนและคนข้างล่าง
เหมือนเป็นการจับประเด็นอะไรสักอย่างตรงนี้  แต่ก็ไม่ได้ขยี้อะไรมากกว่านั้น 
แค่ให้เห็นต่างคนต่างใจต่างความคิด  ซึ่งก็เข้าใจและน่าเห็นใจทั้งคนข้างบนและคนข้างล่างค่ะ

ส่วนคนอื่นๆ  ก็คงเป็นผกก. เลือกตัดมาในประเด็นที่ผกก. อยากจะบอกเล่า  
เพื่อจะดำเนินเรื่องให้เห็นทั้งความรู้สึกของสมาชิก และภาพรวมของวง  การเติบโตของวง
ไม่มีการจับประเด็นอะไรเป็นพิเศษเหมือนคู่เฌอ VS จิ๊บ  มั้งคะ เท่าที่จำได้

ส่วนคนที่เห็นน้อยกว่าที่คิด  น่าจะเป็นน้ำหนึ่งมั้ง 
รวมทั้งสมาชิกชาวญี่ปุ่นทั้งสองด้วยค่ะ
(ซึ่งไม่แปลกค่ะสำหรับชาวต่างชาติ แอร์ไทม์น้อยหน่อย เพราะประเด็นที่จะสื่อคงยังไม่มีอะไรโดนใจผกก.มั้ง)

จำได้แค่นี้ค่ะ  ดูได้เพลินๆ  
เรื่องนี้ ได้ดูแค่รอบเดียวค่ะ  ถ้าดูสองรอบหรือมากกว่านี้ ความรู้สึกอาจเปลี่ยนไปค่ะ

----------------------------------------------------------------------------------------

2.  Homestay

การแสดงโดยรวมก็โอเคนะคะ  เฌอเล่นหนังเรื่องแรก ก็ทำได้ดีนะคะ
เจมส์ก็โอเคค่ะ  บทของเฌอดูมีส่วนใกล้เคียงกับชีวิตจริงอยู่เหมือนกัน
เป็นคนรักการเรียน 

เรื่องราวนี้  มีให้แง่คิดบางอย่าง ถ้าจะอ้างอิงก็ตรงกับหลักธรรมทางพุทธ
คือ ชีวิตนี้ เป็นของชั่วคราว  พวกเราทุกคนมีเวลาจำกัด แล้วก็ต้องตายลงในวันนึง 
แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง!!

หลักคิดเรื่องอนัตตา
(การมีอยู่ของตัวตน แต่ไม่ใช่ตัวตนของเราอย่างแท้จริง ที่เราจะไปบังคับร่างกายให้ได้ดั่งใจเสมอไป 
เราไม่สามารถห้ามร่างกายไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย
ร่างกายเป็นแค่องค์ประกอบของหลายสิ่งมารวมกัน... ฯลฯ
แนวคิดนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับหลายคน เถียงกันวุ่นวายค่ะ ว่า
ก็เห็นว่ามันจับต้องได้ แล้วเราสั่งการร่างกายได้
แล้วร่างกายไม่ใช่ของเราได้ยังไง 55
เอาเป็นว่า ละไว้ก่อนละกันเนอะ)

พวกเราทุกคนมีเวลาเหลืออยู่ในชีวิตนี้จำกัด  สั้นบ้าง ยาวบ้าง 
และส่วนใหญ่ เราก็ไม่รู้ว่า เรามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ ?
ควรเอาเวลาที่มีเหลือจำกัดไปทำอะไรดีที่มันเกิดประโยชน์  ?
หรือรวมทั้ง บางคนที่โดนความกดดันต่างๆ ก็ไม่อยากใช้เวลาที่มีเหลืออยู่
แต่เลือกที่จะทำลายชีวิต ทำลายเวลาของชีวิตให้หมดไป

หนังของค่ายนี้ เค้ามีมาตรฐานของเค้าอยู่ประมาณนึงค่ะ
จะเรียกว่า เป็นค่าเฉลี่ยโดยรวม  เป็น average โดยรวม อะไรประมาณนั้น
คือดูแล้ว ก็เพลิดเพลิน มีคุณภาพพอตัว  ในการกำกับ การเขียนบท โปรดักชั่นต่างๆ
ส่วนเรื่องดนตรีประกอบ (สกอร์)  เรารู้สึกว่า มันให้อารมณ์คล้ายกับเพลงประกอบหนังจีนเรื่องนึง
ชื่อเรื่อง secret ที่ jay chou เล่นและกำกับ  พี่สาวเรามีแผ่น ost นี้อยู่ที่บ้าน เราก็ได้ฟังอยู่บ่อยๆ
อารมณ์เพลง ลักษณะการใช้เครื่องดนตรี ใกล้เคียงกัน  อาจจะโดยบังเอิญค่ะ

เราเองดูแล้ว ก็ไม่ได้สงสัยว่า วิญญาณที่อยู่ในร่างเจมส์ คือ ใคร  
เพราะเราก็เดาว่า ร่างกายกับวิญญาณ ก็คือคนเดียวกันนั่นแหละ
เพียงแต่ว่า การจะไปสืบค้นว่าอะไรกดดันให้ตายนั้น เป็นเรื่องที่จุดชนวนให้ติดตาม
แต่หนังก็พยายามแทรกบางจุด เพื่อชี้นำให้สับสนว่า  เจมส์น่าจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนสักอย่าง
เช่น การไปกินน้ำที่เค้าวางถวายศาลเจ้า

หนังให้แง่คิด  เรื่องการเปิดใจกว้างมองให้เห็นถึงความรู้สึกของคนอื่น
ไม่ใช่มองแต่ความรู้สึกของตัวเอง   

ปัจจัยภายนอกทำร้ายเราได้อยู่ค่ะ
แต่บ่อยครั้ง จิตใจเราที่คิดลบคิดร้ายนี่แหละ ที่ทำร้ายตัวเราได้มากกว่า บ่อยกว่าโดนคนอื่นทำร้าย
เราทำร้ายตัวเองซ้ำๆ ย้ำๆ ด้วยความคิดของเราเองนี่แหละค่ะ

จริงๆ แล้ว  เป็นเรื่องน่าเห็นใจกับความทุกข์ใจ ความผิดหวัง ที่ประดังเข้ามาพร้อมกัน
ทั้งเรื่องคนรัก เรื่องพ่อแม่ ครอบครัว 
แต่ถ้ามองให้กว้างกว่านั้น  ชีวิตก็ยังไม่แห้งแล้งเกินไป  
ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใยของครอบครัว (ถึงแม้เค้าจะทะเลาะกัน)
ความรัก ความห่วงใยจากคนรัก จากเพื่อน

ฉากที่เราชอบ ก็เป็นฉากแรกที่เฌอเจอเจมส์ในห้องสมุด
มันก็ดูกิ๊งๆ เขินๆ งอนๆ  น่ารักดี

ก็เป็นหนังที่ดูแบบบันเทิง แฝงแง่คิด  ว่า
ถ้าเรามีเวลาเหลืออยู่จำกัดแบบนี้  เราจะทำอะไรให้มันเกิดประโยชน์ที่สุด คุ้มค่าเวลาของชีวิตมากที่สุด
ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น

เรื่องนี้ดูรอบเดียวค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่