หอยทากทะเลม่วง
เป็นสัตว์ทะเลมีเปลือกชนิดหนึ่ง พบได้ตามน่านน้ำในพื้นที่เขตร้อน ความลับที่ทำให้มันต่างจากหอยทากทั่วไปคือ มันจะไม่ใช้ชีวิตแบบหอยทากชนิดอื่น หอยทากทะเลม่วงจะไม่ใช้ชีวิตแบบหอยทากชนิดอื่นที่อยู่ตามดินกินกลางทราย แต่มันจะอาศัยการลอยตัวอยู่ในน้ำ โดยหอยทากทะเลม่วงสามารถลอยตัวในน้ำได้ดีเนื่องจากพวกมันสามารถสร้างเมือกออกมาคล้ายฟองอากาศ เพื่อทำหน้าที่คล้ายห่วงยางที่ช่วยในการลอยตัวเวลาอยู่บนผิวน้ำได้
นอกจากการลอยตัวบนผิวน้ำที่ทำให้หอยทากทะเลม่วงต่างจากหอยทากทั่วไปแล้ว เปลือกสีม่วงของมันก็มีความลับซ่อนอยู่ เพราะเปลือกของหอยทากทะเลม่วงสามารถเปลี่ยนสีได้ ลักษณะการเปลี่ยนสีของเปลือกหอยทากทะเลม่วงคือ เมื่อหอยทากชนิดนี้อยู่ในน้ำทะเล เปลือกของมันก็จะเป็นเป็นสีน้ำเงินเข้มตามสีของน้ำเพื่อพรางตัวให้รอดจากพ้นจากน้ำมือการล่าของนกทะเล แต่หากเปลือกของมันอยู่บนหาดทราย แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจะสะท้อนกับเปลือกจนกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า ซึ่งก็จะช่วยให้ศัตรูที่อยู่บนบกมองไม่เห็นตัวมันนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองมันจึงถูกยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่มีการพรางตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
ความลับข้อสุดท้ายของหอยทากทะเลม่วงคือมันเป็นสิ่งมีชีวิต 2 เพศในตัวเดียว โดยแต่เริ่มเดิมทีมันจะมีชีวิตด้วยการเป็นเพศผู้ และเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์มันก็จะกลายร่างเป็นเพศเมีย และนี่คือความลับที่ซ่อนไว้ทั้งหมดของหอยทากทะเลม่วงนั่นเอง
Cr.SpokeDark.TV
นกจับแมลงสีคราม Ultramarine Flycatcher
มีเสียงร้องแหลมเล็ก ” ซีป-ที-อี-ที-อี-ที-อี-พี-อิ๊ก ” อยู่ในวงศ์ นกจับแมลงและนกเขน
ลักษณะของนกจับแมลงสีคราม ตัวผู้ ที่หัวและลำตัวด้านบนฟ้าแกมน้ำเงินสด ข้างหัว ข้างอก และสีข้างตอนบนน้ำเงินเข้มเกือบดำ ตัดกับคอ อก และท้องขาว หางสีเดียวกับหลัง โคนขนหางคู่นอก ๆ ขาว ในส่วนของตัวเมีย ลำตัวด้านบนน้ำตาลแกมเทา หน้าผากและกระหม่อมแกมน้ำตาลแดง คอ กลางอก และท้องขาว บางตัวหางสีฟ้าแกมน้ำเงิน
เป็นนกอพยพมาจากทางทิเบต เพื่อมาหลบหนาวบริเวณทางภาคเหนือของไทย มีถิ่นอาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ป่าโปร่ง ชายป่า บนความสูง 915 ถึง 1,700 เมตร สถานการในปัจจุบันน่าเป็นห่วงว่าจะสูญพันธุ์
Cr.chiangmainews.co.th
ทากมังกรสีน้ำเงิน
เรียกชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า กลาซุส แอตลานติกุส ถึงแม้ว่ารูปร่างของมันจะยั่วยวนให้หลายคนเข้าไปสัมผัส แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเลเตือนว่าทากทะเลชนิดนี้มีพิษอันตราย และทากชนิดนี้ ตามคำบอกเล่าของน.ส.เมลิสซา เมอร์เรย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเลจากพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียระบุว่าทากชนิดนี้เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับสัตว์ทะเลจำพวกขวดน้ำเงิน ซึ่งมีพิษร้ายแรง
“สัตว์ชนิดนี้ปกติแล้วจะมีหนวดอยู่ในระบบ ถ้ามีสัตว์นักล่าอื่นพยายามกินพวกมัน มันก็จะเผยหนวดออกมาเพื่อป้องกันอันตราย ” น.ส.เมอร์เรย์กล่าว พร้อมย้ำว่าอย่าหยิบทากทะเลตัวนี้ด้วยมือ แต่ให้ใช้ถังตักทรายพร้อมน้ำทะเลข้างในการเคลื่อนย้ายมัน
ทั้งนี้ ทากมังกรทะเลสีน้ำเงินเป็นหนึ่งในจำพวกสัตว์ทะเลขวดสีน้ำเงิน รวมไปถึงแมงกะพรุนขวดสีน้ำเงิน หรือแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส ซึ่งปกติแล้วทากทะเลพันธุ์นี้จะกินแมงกะพรุนที่มีพิษเป็นอาหารและเก็บพิษของแมงกะพรุนไว้เพื่อป้องกันตัว ส่วนความยาวของมันอยู่ที่ประมาณ 3 เซนติเมตร พบได้มาในเขตอบอุ่น หรือเขตน่านน้ำร้อนชื้น และที่สำคัญสัตว์ชนิดนี้อันตราย
Cr.khaosod.co.th
งูเขียวหางไหม้ตาโต Large -eyed Green Pit Viper
Trimeresurus macrops (Kramer, 1977)
ลักษณะ : ขนาดวัดจากปลายปากถึงก้น ๑๖๐ และ ๑๘๔ มม. หางยาว ๓๘ และ ๕๕ มม. (วัดจากงูวัยรุ่นและงูโตเต็มวัย) เป็นงูพิษหัวโตรูปสามเหลี่ยมคอคอด ลำตัวยาวเรียวและหางสั้นแต่เรียวเล็ก ลักษณะทั่วไปคล้ายกับงูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง แต่ตามีขนาดโตกว่าอย่างเห็นได้ชัดและเกล็ดริมฝีปากบนเกล็ดแรกแยกจากเกล็ดจมูกอย่างชัดเจน อีกทั้งเกล็ดลำตัวเป็นสันบาง ๆ สีลำตัวโดยทั่วไปจะออกเขียวคล้ำไม่มีสีเขียวสดเหมือนงูเขียวหางไหม้ชนิดก่อน สีหางออกน้ำตาลคล้ำ ใต้ท้องสีฟ้าออกสีคล้ายสีคราม ยกเว้นใต้คางและคอสีออกขาวอมฟ้า จุดเด่นคือ ลูกตามีขนาดโตและเป็นสีเหลืองขุ่น ๆ
เขตแพร่กระจาย : พม่าตอนใต้ ไทย ลาวตอนใต้ เวียดนามตอนใต้ลงไปถึงภาคใต้ของไทย
โดยทั่วไปงูเขียวหางไหม้ชนิดนี้ อาศัยอยู่ในที่ร่มครึ้ม ไม่มีแสงแดดจัด และอยู่ค่อยไปบริเวณโคนต้นไม้ คือใกล้พื้นดินมากกว่างูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง พบขดตัวนอนอยู่บนรากต้นไม้และใต้ก้อนหินที่อยู่บนพื้นป่า
อาหารที่โปรดปราน พบว่าเป็นพวกจิ้งจกต่าง ๆ อาหารอื่น ๆ น่าจะเป็นพวกลูกกิ้งก่า งูชนิดนี้ไม่ดุ เวลาถูกรบกวน แทบไม่พบว่าฉกกัดเลย ยกเว้นเจ็บหรือถูกจับตัวแรง ๆ จึงต่อสู้ ส่วนใหญ่จะพยายามหนีให้เร็วที่สุด
Cr.facebook.com/rakkhaoyai
กบลูกศรพิษสีทอง Golden poison frog
สายพันธุ์ซึ่งได้ชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในวงศ์กบลูกศรพิษ (ซึ่งก็เป็นที่กล่าวขานกันว่ามีพิษร้ายแรง) พิษจากกบลูกศรพิษสีทอง 1 ตัวนั้น สามารถคร่าชีวิตคนวัยผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่ 10-20 คน แม้ว่ามันจะตัวเล็กราว 1.5-2 นิ้ว และพิษของมันจะมีอยู่ทั้งตัวแค่ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมก็ตาม ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าพิษของมันร้ายในระดับรุนแรง
นักวิทยาศาสตร์ประเมินคร่าว ๆ ว่า พิษของมันแค่ 1 มิลลิกรัม สามารถฆ่าคนได้ราว 10-15 คน ฆ่าหนูได้ประมาณ 10,000 ตัว และล้มช้างป่าแอฟริกาได้ 2 ตัว !!! หากรวบรวมพิษของมันมาแค่ 1 กรัมนี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะจะสามารถฆ่าคนได้ราว 15,000 คนเลยทีเดียว
กบลูกศรพิษสีทองอาศัยอยู่ในป่าฝนที่มีความชื้นสูง มีฝนตกลงมามาก (ราว 5 เมตรต่อปี) ท่ามกลางอุณหภูมิอย่างน้อย 26 องศาเซลเซียส มักใช้ชีวิตอยู่รวมกันเป็นฝูงได้มากถึง 6 ตัว หรืออาจมากกว่านั้น พบมากในแถบป่าฝนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างโคลอมเบีย หากใครได้รับพิษของมันเข้าไปก็จะเป็นอัมพาต และนำมาซึ่งหัวใจล้มเหลวได้
แม้จะดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วกบขนาดเล็กเพียง 1.5-2 นิ้ว ชนิดนี้ กลับเลือกที่จะหลีกหนีผู้คนมากกว่าจะกระโดดใส่เรา และคงมีแค่ชาวพื้นเมืองของอเมริกาใต้เท่านั้นที่ชื่นชอบกบเหล่านี้มาก เพราะมันสามารถนำมารีดพิษเพื่อใช้ร่วมกับลูกดอกของพวกเขาในการล่าสัตว์เพื่อดำรงชีพ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ระบุว่า เดิมทีกบเหล่านี้ไม่ได้มีพิษอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด แต่เป็นผลมาจากอาหารซึ่งประกอบด้วยมดและด้วงขนาดเล็กซึ่งมีสารแอลคาลอยด์เอาไว้ป้องกันตัว ซึ่งทำให้กบได้พิษสะสมอยู่ในตัวตามไปด้วย ดังนั้นถ้ากบเหล่านี้ถูกเปลี่ยนอาหารเป็นแมลงที่ไม่มีพิษ พวกมันก็จะกลายเป็นเพียงกบสีลูกกวาดที่ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
Cr.hilight.kapook.com
แมงกะพรุนไฟ Sea nettle
เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกจำพวกแมงกะพรุนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Chrysaora จัดอยู่ในชั้นแมงกะพรุนแท้ หรือไซโฟซัว โดยแมงกะพรุนไฟ
มีลักษณะทั่วไปคล้ายร่ม แต่มีสีลำตัวและหนวดเป็นสีแดงสดหรือสีส้ม ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป สังเกตได้ง่าย ปากและหนวดยื่นออกมาทางด้านล่างหรือด้านท้อง เส้นหนวดมีจำนวนมากเป็นสายยาวกว่าลำตัว พบในทะเลทั้งบริเวณชายฝั่งและไกลฝั่ง ในช่วงฤดูมรสุมอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อย
จัดเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากอีกจำพวกหนึ่ง เมื่อโดนต่อยจากเข็มพิษแล้วจะมีอาการเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล จะมีอาการเจ็บ ปวดบริเวณบาดแผลอย่างรุนแรงภายในระยะเวลา 2-3 นาที บางครั้งอาจพบหนวดแมงกะพรุนขาดติดอยู่บนผิวสัมผัส ผิวหนังมีแนวผื่นแดง หรือรอยไหม้ ตามรอยหนวด ปวดแสบปวดร้อน บวมแดงจากการอักเสบและอาจเป็นหนองจากการติดเชื้อสำทับ อาการบวมแดงอาจหายไปได้ในเวลาไม่ช้า แต่รอยไหม้และรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลารักษานานหลายปี หรืออยู่ถาวรตลอดไป
นอกจากนี้อาจมีอาการไอ, น้ำมูกและน้ำตาไหล และอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อเป็นตะคริว, อ่อนเพลีย และหมดสติ จากการฉีดพิษที่สกัดจากแมงกะพรุนไฟเข้าไปในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้การทำงานของตับและไตผิดปรกติ จนอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ แต่ยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมนุษย์
ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงกะพรุนไฟคือ Chrysaora มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีก คือ ไครเซออร์ซึ่งเป็นโอรสของโปเซดอนเทพเจ้าแห่งท้องทะเลกับเมดูซ่า เป็นอนุชาของเพกาซัส มีความหมายว่า บุรุษผู้ถืออาวุธทองคำ
Cr.oceanmaidblog.wordpress.com
Tomato Frog กบมะเขือเทศ
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dyscophus antongilii เป็นกบสายพันธุ์หนึ่งที่พบได้ตามแหล่งน้ำจืดเฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์ ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาเท่านั้น
กบสายพันธุ์นี้มีชื่อว่ากบมะเขือเทศ เนื่องจากผิวหนังของมันมีความเรียบลื่นเป็นสีแดงคล้ายผลมะเขือเทศ ซึ่งหากอยู่ในวัยเจริญพันธุ์สีของผิวหนังก็จะเข้มขึ้น โดยกบมะเขือเทศตัวเมียจะมีสีที่แดงที่เข้มและมีขนาดตัวที่ใหญ่ประมาณ 10.5 เซนติเมตร และหนัก 230 กรัม ในขณะที่ตัวผู้จะมีผิวหนังเป็นสีส้ม มีขนาดประมาณ 6.5 เซนติเมตร และหนักเพียง 41 กรัมเท่านั้น
ถึงแม้ว่ากบมะเขือเทศจะมีสีสันที่ฉูดฉาดสดใส แต่ความร้ายกาจของมันนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะแม้แต่งูก็ไม่สามารถกินมันเป็นอาหารได้เนื่องจากผิวหนังของกบสายพันธุ์นี้มีพิษที่รุนแรงมาก หากกบมะเขือเทศอยู่ในภาวะเครียดหรือตกใจ มันจะปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นเหมือนกาวและเป็นพิษออกมาทางผิวหนัง เพื่อป้องกันตัว ซึ่งหากว่าใครโชคร้ายโดนพิษชนิดนี้อาจต้องใช้เวลาหลายวันในการล้างความเหนียวหนืดออกจนหมด
กบมะเขือเทศเป็นกบที่ว่ายน้ำไม่เก่ง แต่มันกินไม่เลือก โดยอาหารของกบมะเขือเทศหลักๆ ได้แก่ ตัวอ่อนของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หนอน จิ้งหรีด แมลงขนาดใหญ่ รวมถึงสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังสายพันธุ์อื่นๆ อีกด้วย
Cr.SpokeDark.TV
กิ้งกือมังกรสีชมพู Shocking pink millipede
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Desmoxytes purpurosea เป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัม Arthropoda ชนิดของสัตว์ขาปล้อง ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2550 โดยนักสำรวจชาวไทยในกลุ่ม siamensis.org ได้มีการถ่ายภาพสัตว์ชนิดใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในประเทศไทยและส่งให้ทางผู้เชี่ยวชาญ ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหาและคณะ ซึ่งก็เดินทางไปยังพื้นที่ที่ค้นพบคือ ป่าเขาหินปูนแถบภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่างของไทย พบสัตว์ชนิดนี้และนำตัวอย่างไปตรวจสอบ
เป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์สปีซีส์เดียวกับกิ้งกือ จึงถูกตั้งชื่อสัตว์ดังกล่าวว่า กิ้งกือมังกรสีชมพู เนื่องจากลักษณะลำตัวมีสีชมพูสดใสทั้งตัวแบบช็อกกิ้งพิ้งค์
บริเวณลำตัวมีปุ่มหนามยื่นจากลำตัวคล้ายหนวดมังกร และมีขาใต้ลำตัว จากการศึกษากิ้งกือชนิดนี้จัดว่าเป็นกิ้งกือขนาดเล็กโดยตัวเต็มวัยมีความยาว 7 – 8 เซนติเมตรมี
ปล้องลำตัวประมาณ 25 – 40 ปล้องและมีขาจำนวน 50 – 80 ขา กิ้งกือมังกรสีชมพู จัดว่าเป็นกิ้งกือชนิดใหม่และชนิดเดียวที่พบในประเทศไทย
และจัดว่าเป็นสัตว์สปีชีส์ใหม่ที่ถูกค้นพบแห่งแรกของโลก นอกจากนี้ยังพบว่ากิ้งกือมังกรสีชมพูยังมีสารพิษบริเวณหนามของมัน
ซึ่งเป็นสารพิษประเภทไซยาไนด์ ซึ่งใช้ป้องกันตัวจากศัตรูตามธรรมชาติ โดยเจ้ากิ้งกือมังกรสีชมพูนี้พบได้มากที่สุดในเขตอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
แม้ว่าตอนนี้จะมีข้อมูลและรายละเอียดไม่มากพอ แต่มันถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ถูกค้นพบในประเทศไทยและสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก
Cr.marionscatholicschools.com
สัตว์โลกสีต่างที่ธรรมชาติมอบให้ (เรียงตามสีรุ้ง)
เป็นสัตว์ทะเลมีเปลือกชนิดหนึ่ง พบได้ตามน่านน้ำในพื้นที่เขตร้อน ความลับที่ทำให้มันต่างจากหอยทากทั่วไปคือ มันจะไม่ใช้ชีวิตแบบหอยทากชนิดอื่น หอยทากทะเลม่วงจะไม่ใช้ชีวิตแบบหอยทากชนิดอื่นที่อยู่ตามดินกินกลางทราย แต่มันจะอาศัยการลอยตัวอยู่ในน้ำ โดยหอยทากทะเลม่วงสามารถลอยตัวในน้ำได้ดีเนื่องจากพวกมันสามารถสร้างเมือกออกมาคล้ายฟองอากาศ เพื่อทำหน้าที่คล้ายห่วงยางที่ช่วยในการลอยตัวเวลาอยู่บนผิวน้ำได้
นอกจากการลอยตัวบนผิวน้ำที่ทำให้หอยทากทะเลม่วงต่างจากหอยทากทั่วไปแล้ว เปลือกสีม่วงของมันก็มีความลับซ่อนอยู่ เพราะเปลือกของหอยทากทะเลม่วงสามารถเปลี่ยนสีได้ ลักษณะการเปลี่ยนสีของเปลือกหอยทากทะเลม่วงคือ เมื่อหอยทากชนิดนี้อยู่ในน้ำทะเล เปลือกของมันก็จะเป็นเป็นสีน้ำเงินเข้มตามสีของน้ำเพื่อพรางตัวให้รอดจากพ้นจากน้ำมือการล่าของนกทะเล แต่หากเปลือกของมันอยู่บนหาดทราย แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจะสะท้อนกับเปลือกจนกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า ซึ่งก็จะช่วยให้ศัตรูที่อยู่บนบกมองไม่เห็นตัวมันนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองมันจึงถูกยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่มีการพรางตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
ความลับข้อสุดท้ายของหอยทากทะเลม่วงคือมันเป็นสิ่งมีชีวิต 2 เพศในตัวเดียว โดยแต่เริ่มเดิมทีมันจะมีชีวิตด้วยการเป็นเพศผู้ และเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์มันก็จะกลายร่างเป็นเพศเมีย และนี่คือความลับที่ซ่อนไว้ทั้งหมดของหอยทากทะเลม่วงนั่นเอง
Cr.SpokeDark.TV
นกจับแมลงสีคราม Ultramarine Flycatcher
มีเสียงร้องแหลมเล็ก ” ซีป-ที-อี-ที-อี-ที-อี-พี-อิ๊ก ” อยู่ในวงศ์ นกจับแมลงและนกเขน
ลักษณะของนกจับแมลงสีคราม ตัวผู้ ที่หัวและลำตัวด้านบนฟ้าแกมน้ำเงินสด ข้างหัว ข้างอก และสีข้างตอนบนน้ำเงินเข้มเกือบดำ ตัดกับคอ อก และท้องขาว หางสีเดียวกับหลัง โคนขนหางคู่นอก ๆ ขาว ในส่วนของตัวเมีย ลำตัวด้านบนน้ำตาลแกมเทา หน้าผากและกระหม่อมแกมน้ำตาลแดง คอ กลางอก และท้องขาว บางตัวหางสีฟ้าแกมน้ำเงิน
เป็นนกอพยพมาจากทางทิเบต เพื่อมาหลบหนาวบริเวณทางภาคเหนือของไทย มีถิ่นอาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ป่าโปร่ง ชายป่า บนความสูง 915 ถึง 1,700 เมตร สถานการในปัจจุบันน่าเป็นห่วงว่าจะสูญพันธุ์
Cr.chiangmainews.co.th
ทากมังกรสีน้ำเงิน
เรียกชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า กลาซุส แอตลานติกุส ถึงแม้ว่ารูปร่างของมันจะยั่วยวนให้หลายคนเข้าไปสัมผัส แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเลเตือนว่าทากทะเลชนิดนี้มีพิษอันตราย และทากชนิดนี้ ตามคำบอกเล่าของน.ส.เมลิสซา เมอร์เรย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเลจากพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียระบุว่าทากชนิดนี้เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับสัตว์ทะเลจำพวกขวดน้ำเงิน ซึ่งมีพิษร้ายแรง
“สัตว์ชนิดนี้ปกติแล้วจะมีหนวดอยู่ในระบบ ถ้ามีสัตว์นักล่าอื่นพยายามกินพวกมัน มันก็จะเผยหนวดออกมาเพื่อป้องกันอันตราย ” น.ส.เมอร์เรย์กล่าว พร้อมย้ำว่าอย่าหยิบทากทะเลตัวนี้ด้วยมือ แต่ให้ใช้ถังตักทรายพร้อมน้ำทะเลข้างในการเคลื่อนย้ายมัน
ทั้งนี้ ทากมังกรทะเลสีน้ำเงินเป็นหนึ่งในจำพวกสัตว์ทะเลขวดสีน้ำเงิน รวมไปถึงแมงกะพรุนขวดสีน้ำเงิน หรือแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส ซึ่งปกติแล้วทากทะเลพันธุ์นี้จะกินแมงกะพรุนที่มีพิษเป็นอาหารและเก็บพิษของแมงกะพรุนไว้เพื่อป้องกันตัว ส่วนความยาวของมันอยู่ที่ประมาณ 3 เซนติเมตร พบได้มาในเขตอบอุ่น หรือเขตน่านน้ำร้อนชื้น และที่สำคัญสัตว์ชนิดนี้อันตราย
Cr.khaosod.co.th
งูเขียวหางไหม้ตาโต Large -eyed Green Pit Viper
Trimeresurus macrops (Kramer, 1977)
ลักษณะ : ขนาดวัดจากปลายปากถึงก้น ๑๖๐ และ ๑๘๔ มม. หางยาว ๓๘ และ ๕๕ มม. (วัดจากงูวัยรุ่นและงูโตเต็มวัย) เป็นงูพิษหัวโตรูปสามเหลี่ยมคอคอด ลำตัวยาวเรียวและหางสั้นแต่เรียวเล็ก ลักษณะทั่วไปคล้ายกับงูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง แต่ตามีขนาดโตกว่าอย่างเห็นได้ชัดและเกล็ดริมฝีปากบนเกล็ดแรกแยกจากเกล็ดจมูกอย่างชัดเจน อีกทั้งเกล็ดลำตัวเป็นสันบาง ๆ สีลำตัวโดยทั่วไปจะออกเขียวคล้ำไม่มีสีเขียวสดเหมือนงูเขียวหางไหม้ชนิดก่อน สีหางออกน้ำตาลคล้ำ ใต้ท้องสีฟ้าออกสีคล้ายสีคราม ยกเว้นใต้คางและคอสีออกขาวอมฟ้า จุดเด่นคือ ลูกตามีขนาดโตและเป็นสีเหลืองขุ่น ๆ
เขตแพร่กระจาย : พม่าตอนใต้ ไทย ลาวตอนใต้ เวียดนามตอนใต้ลงไปถึงภาคใต้ของไทย
โดยทั่วไปงูเขียวหางไหม้ชนิดนี้ อาศัยอยู่ในที่ร่มครึ้ม ไม่มีแสงแดดจัด และอยู่ค่อยไปบริเวณโคนต้นไม้ คือใกล้พื้นดินมากกว่างูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง พบขดตัวนอนอยู่บนรากต้นไม้และใต้ก้อนหินที่อยู่บนพื้นป่า
อาหารที่โปรดปราน พบว่าเป็นพวกจิ้งจกต่าง ๆ อาหารอื่น ๆ น่าจะเป็นพวกลูกกิ้งก่า งูชนิดนี้ไม่ดุ เวลาถูกรบกวน แทบไม่พบว่าฉกกัดเลย ยกเว้นเจ็บหรือถูกจับตัวแรง ๆ จึงต่อสู้ ส่วนใหญ่จะพยายามหนีให้เร็วที่สุด
Cr.facebook.com/rakkhaoyai
กบลูกศรพิษสีทอง Golden poison frog
สายพันธุ์ซึ่งได้ชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในวงศ์กบลูกศรพิษ (ซึ่งก็เป็นที่กล่าวขานกันว่ามีพิษร้ายแรง) พิษจากกบลูกศรพิษสีทอง 1 ตัวนั้น สามารถคร่าชีวิตคนวัยผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่ 10-20 คน แม้ว่ามันจะตัวเล็กราว 1.5-2 นิ้ว และพิษของมันจะมีอยู่ทั้งตัวแค่ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมก็ตาม ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าพิษของมันร้ายในระดับรุนแรง
นักวิทยาศาสตร์ประเมินคร่าว ๆ ว่า พิษของมันแค่ 1 มิลลิกรัม สามารถฆ่าคนได้ราว 10-15 คน ฆ่าหนูได้ประมาณ 10,000 ตัว และล้มช้างป่าแอฟริกาได้ 2 ตัว !!! หากรวบรวมพิษของมันมาแค่ 1 กรัมนี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะจะสามารถฆ่าคนได้ราว 15,000 คนเลยทีเดียว
กบลูกศรพิษสีทองอาศัยอยู่ในป่าฝนที่มีความชื้นสูง มีฝนตกลงมามาก (ราว 5 เมตรต่อปี) ท่ามกลางอุณหภูมิอย่างน้อย 26 องศาเซลเซียส มักใช้ชีวิตอยู่รวมกันเป็นฝูงได้มากถึง 6 ตัว หรืออาจมากกว่านั้น พบมากในแถบป่าฝนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างโคลอมเบีย หากใครได้รับพิษของมันเข้าไปก็จะเป็นอัมพาต และนำมาซึ่งหัวใจล้มเหลวได้
แม้จะดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วกบขนาดเล็กเพียง 1.5-2 นิ้ว ชนิดนี้ กลับเลือกที่จะหลีกหนีผู้คนมากกว่าจะกระโดดใส่เรา และคงมีแค่ชาวพื้นเมืองของอเมริกาใต้เท่านั้นที่ชื่นชอบกบเหล่านี้มาก เพราะมันสามารถนำมารีดพิษเพื่อใช้ร่วมกับลูกดอกของพวกเขาในการล่าสัตว์เพื่อดำรงชีพ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ระบุว่า เดิมทีกบเหล่านี้ไม่ได้มีพิษอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด แต่เป็นผลมาจากอาหารซึ่งประกอบด้วยมดและด้วงขนาดเล็กซึ่งมีสารแอลคาลอยด์เอาไว้ป้องกันตัว ซึ่งทำให้กบได้พิษสะสมอยู่ในตัวตามไปด้วย ดังนั้นถ้ากบเหล่านี้ถูกเปลี่ยนอาหารเป็นแมลงที่ไม่มีพิษ พวกมันก็จะกลายเป็นเพียงกบสีลูกกวาดที่ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
Cr.hilight.kapook.com
แมงกะพรุนไฟ Sea nettle
เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกจำพวกแมงกะพรุนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Chrysaora จัดอยู่ในชั้นแมงกะพรุนแท้ หรือไซโฟซัว โดยแมงกะพรุนไฟ
มีลักษณะทั่วไปคล้ายร่ม แต่มีสีลำตัวและหนวดเป็นสีแดงสดหรือสีส้ม ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป สังเกตได้ง่าย ปากและหนวดยื่นออกมาทางด้านล่างหรือด้านท้อง เส้นหนวดมีจำนวนมากเป็นสายยาวกว่าลำตัว พบในทะเลทั้งบริเวณชายฝั่งและไกลฝั่ง ในช่วงฤดูมรสุมอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อย
จัดเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากอีกจำพวกหนึ่ง เมื่อโดนต่อยจากเข็มพิษแล้วจะมีอาการเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล จะมีอาการเจ็บ ปวดบริเวณบาดแผลอย่างรุนแรงภายในระยะเวลา 2-3 นาที บางครั้งอาจพบหนวดแมงกะพรุนขาดติดอยู่บนผิวสัมผัส ผิวหนังมีแนวผื่นแดง หรือรอยไหม้ ตามรอยหนวด ปวดแสบปวดร้อน บวมแดงจากการอักเสบและอาจเป็นหนองจากการติดเชื้อสำทับ อาการบวมแดงอาจหายไปได้ในเวลาไม่ช้า แต่รอยไหม้และรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลารักษานานหลายปี หรืออยู่ถาวรตลอดไป
นอกจากนี้อาจมีอาการไอ, น้ำมูกและน้ำตาไหล และอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อเป็นตะคริว, อ่อนเพลีย และหมดสติ จากการฉีดพิษที่สกัดจากแมงกะพรุนไฟเข้าไปในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้การทำงานของตับและไตผิดปรกติ จนอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ แต่ยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมนุษย์
ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงกะพรุนไฟคือ Chrysaora มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีก คือ ไครเซออร์ซึ่งเป็นโอรสของโปเซดอนเทพเจ้าแห่งท้องทะเลกับเมดูซ่า เป็นอนุชาของเพกาซัส มีความหมายว่า บุรุษผู้ถืออาวุธทองคำ
Cr.oceanmaidblog.wordpress.com
Tomato Frog กบมะเขือเทศ
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dyscophus antongilii เป็นกบสายพันธุ์หนึ่งที่พบได้ตามแหล่งน้ำจืดเฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์ ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาเท่านั้น
กบสายพันธุ์นี้มีชื่อว่ากบมะเขือเทศ เนื่องจากผิวหนังของมันมีความเรียบลื่นเป็นสีแดงคล้ายผลมะเขือเทศ ซึ่งหากอยู่ในวัยเจริญพันธุ์สีของผิวหนังก็จะเข้มขึ้น โดยกบมะเขือเทศตัวเมียจะมีสีที่แดงที่เข้มและมีขนาดตัวที่ใหญ่ประมาณ 10.5 เซนติเมตร และหนัก 230 กรัม ในขณะที่ตัวผู้จะมีผิวหนังเป็นสีส้ม มีขนาดประมาณ 6.5 เซนติเมตร และหนักเพียง 41 กรัมเท่านั้น
ถึงแม้ว่ากบมะเขือเทศจะมีสีสันที่ฉูดฉาดสดใส แต่ความร้ายกาจของมันนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะแม้แต่งูก็ไม่สามารถกินมันเป็นอาหารได้เนื่องจากผิวหนังของกบสายพันธุ์นี้มีพิษที่รุนแรงมาก หากกบมะเขือเทศอยู่ในภาวะเครียดหรือตกใจ มันจะปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นเหมือนกาวและเป็นพิษออกมาทางผิวหนัง เพื่อป้องกันตัว ซึ่งหากว่าใครโชคร้ายโดนพิษชนิดนี้อาจต้องใช้เวลาหลายวันในการล้างความเหนียวหนืดออกจนหมด
กบมะเขือเทศเป็นกบที่ว่ายน้ำไม่เก่ง แต่มันกินไม่เลือก โดยอาหารของกบมะเขือเทศหลักๆ ได้แก่ ตัวอ่อนของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หนอน จิ้งหรีด แมลงขนาดใหญ่ รวมถึงสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังสายพันธุ์อื่นๆ อีกด้วย
Cr.SpokeDark.TV
กิ้งกือมังกรสีชมพู Shocking pink millipede
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Desmoxytes purpurosea เป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัม Arthropoda ชนิดของสัตว์ขาปล้อง ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2550 โดยนักสำรวจชาวไทยในกลุ่ม siamensis.org ได้มีการถ่ายภาพสัตว์ชนิดใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในประเทศไทยและส่งให้ทางผู้เชี่ยวชาญ ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหาและคณะ ซึ่งก็เดินทางไปยังพื้นที่ที่ค้นพบคือ ป่าเขาหินปูนแถบภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่างของไทย พบสัตว์ชนิดนี้และนำตัวอย่างไปตรวจสอบ
เป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์สปีซีส์เดียวกับกิ้งกือ จึงถูกตั้งชื่อสัตว์ดังกล่าวว่า กิ้งกือมังกรสีชมพู เนื่องจากลักษณะลำตัวมีสีชมพูสดใสทั้งตัวแบบช็อกกิ้งพิ้งค์
บริเวณลำตัวมีปุ่มหนามยื่นจากลำตัวคล้ายหนวดมังกร และมีขาใต้ลำตัว จากการศึกษากิ้งกือชนิดนี้จัดว่าเป็นกิ้งกือขนาดเล็กโดยตัวเต็มวัยมีความยาว 7 – 8 เซนติเมตรมี
ปล้องลำตัวประมาณ 25 – 40 ปล้องและมีขาจำนวน 50 – 80 ขา กิ้งกือมังกรสีชมพู จัดว่าเป็นกิ้งกือชนิดใหม่และชนิดเดียวที่พบในประเทศไทย
และจัดว่าเป็นสัตว์สปีชีส์ใหม่ที่ถูกค้นพบแห่งแรกของโลก นอกจากนี้ยังพบว่ากิ้งกือมังกรสีชมพูยังมีสารพิษบริเวณหนามของมัน
ซึ่งเป็นสารพิษประเภทไซยาไนด์ ซึ่งใช้ป้องกันตัวจากศัตรูตามธรรมชาติ โดยเจ้ากิ้งกือมังกรสีชมพูนี้พบได้มากที่สุดในเขตอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
แม้ว่าตอนนี้จะมีข้อมูลและรายละเอียดไม่มากพอ แต่มันถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ถูกค้นพบในประเทศไทยและสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก
Cr.marionscatholicschools.com