ในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน
พม่า เป็นประเทศที่ผมไปเที่ยวมากที่สุดถึง ๗ ครั้ง
เพื่อนหลายคนถามว่าทำไมไปหลายครั้ง...ผมตอบไม่ได้
รู้แต่ว่า ไปพม่าแล้วถ่ายรูปสนุก มีความสุข เหมือนเราไปเยี่ยมเพื่อนที่สนิท
ไม่น่ากลัวอะไรทั้งสิ้น คนพม่าให้เกียรติกับคนไทยมาก
ครั้งนี้ผมพาน้อง ๆ ไปรวม ๑๒ ชีวิต
เป็นห้าวันที่มีความหมายมากที่สุดอีกครั้งหนึ่งของการถ่ายภาพ
ผมยอมลงทุนแบกกล้องและเลนส์ไปเกือบสิบ กก. อีกครั้ง หลังจากทิ้งไปนาน
๕๒ ภาพ ไม่ใช่ภาพที่สวยที่สุด แต่เป็น ๕๒ ภาพที่มีที่มาที่ไปให้ต้องเขียนถึง
อ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ มันมีคุณค่าต่อใจ(ผม)มากมาย
.....................
Canon 6D รุ่นแรก สองตัว
เลนส์ Canon 17-40 F4L ตัวแรก
เลนส์ Sigma 100-300 F4 Ex
Panasonic Lx100 F1.7
ขาตั้ง Manflotto
......................

ตอนไปพม่าคราวก่อน
เมื่อเรามองจากสะพานอูเบ็ง ผมจะเห็นว่าภูเขาลูกเล็ก ๆ ทางด้านทิศตะวันตกของสะพาน มีเจดีย์สีทองอยู่หลายองค์ สงสัยว่าทำไมไม่ค่อยมีใครพูดถึง....อยากไป
เก็บความคิดนี้ผ่านการสำรวจในกูเกิ้ลแมป จนมีข้อมูลเบื้องต้นว่า นั่นคือเมืองหลวงเก่าของพม่าที่ชื่อ "สะกาย"
ผมรีบวางแผนปักหมุดหาโรงแรมที่พัก จนมาเจอที่พักตรงนี้ที่มีมุมถ่ายภาพสุดยอดมาก เพราะออกจากที่พักชั้นสี่ เดินขึ้นดาดฟ้าก็กางขาตั้งถ่ายภาพได้เลย
เมืองสะกายยิ่งใหญ่จนน่าถูกจัดเป็นเมืองมรดกโลกได้สบาย จำได้ว่านั่งรถเข้าไปในเขตเมืองเก่า รถวิ่งกว่าห้านาทียังไม่พ้นวัดเลย
ความจริงทริปเราจะต้องขึ้นไปดูวัดไม้เก่าแก่วัดหนึ่ง แต่ด้วยเงื่อนไขเวลาทำให้เราพลาดไปอย่างน่าเสียดาย...เก็บไว้แก้มือ
ในเมืองแค่ขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวถ่ายภาพ ผมว่าสองวันก็ไม่หมด
.............................
จากโรงแรม Sagaing Golden World Hotel ที่เราพัก มองไปทางด้านตะวันออก ก็เจอวัดชื่อ မဂႅလာမဟာစေတီတော် งดงามมาก
ผมเอาเลนส์ ๓๐๐ ส่อง เห็นภาพนกยูงสีเขียวตรงแถวบนด้วย งดงามและดูขลังมาก
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า บริเวณรายรอบวัดแห่งนี้เป็นที่ลงหลักปักฐานของชาวอโยธยาในสมัยเราเสียกรุงครั้งที่ ๒
ภาพนี้น่าตั้งชื่อว่า โดดเดี่ยวแห่งกรุงเก่า
...............................................
ยามเช้าในเมืองสะกาย
เราเดินถ่ายภาพแสงเช้ากันนิดหน่อย พอไกด์เรียกขึ้นรถ ผมเหลือบไปเห็นพระเดินบาตร ท่าทางท่านสำรวมมาก ไม่สวมรองเท้า ผมเหลือบตามองไปเห็นป้ายโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ทางด้านหลัง
รอจนพระเดินเข้ามาในเฟรม
เป็นภาพแนวคอนทราสต์ที่ค่อนข้างแรง ในขณะที่สายธารของพุทธศาสนายังเชี่ยวกราก ก็จะมีสารธารที่สวนทางศีลห้าอีกกระแสหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างหนักแน่นและเชี่ยวกรากแข่งขันกันอย่างเมามัน
อีกสิบปีข้างหน้ามาดูกันอีกที
..............................
งานวัดในเมืองสะกาย
เหลือบเห็นเด็กสามสี่คนนั่งล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนาน มีคนหนึ่งที่สะดุดตา เพราะที่นิ้วของเธอมีบางสิ่งที่น่าสนใจ
หนูน้อยโดนผมจับมายืนแอ๊คท่าอย่างไม่ทันตั้งตัว
หนูน้อยพอรู้ว่าจะถูกถ่ายภาพ จึงกำลังจะเอาลูกโป่งที่เสียบนิ้วทั้งห้าออก แต่ผมโบกมือว่าไม่ต้อง แล้วจับมือให้พาดนิ้วไปบนหน้าอกตัวเอง
ทุกคนรุมถ่ายภาพนี้กัน
ได้ค่านางแบบไปพันจ๊าต ยิ้มแก้มปริ (๒๐ บาท)
............................
ขณะเดินในงานวัด สวนทางกับแถวสามเณรสามสี่รูป
สายตาผมปะทะเข้ากับบางสิ่ง
น่าจะเป็นภาพถ่ายสามเณรที่โดดเด่นที่สุดในชีวิตผมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ เป็นภาพสามเณรกับชีวิตในวัดที่ซุกซนกันตามประสาเด็ก
ที่แรงที่สุดที่เคยถ่ายได้คือ สามเณรเล่นยิงปืนล่อเป้าในงานวัดในเมืองเวียงจันทร์อย่างสนุก
เราเอาภาพนี้มาดูกันตอนหลัง สงสัยว่าปืนนี้ได้มาจากไหน? ใครถวาย?
นี่เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่หรือ ?
เป็นภาพที่ผมรักมากอีกภาพหนึ่ง
............................
ในงานวัดแห่งเมืองสะกาย เราเจอเข้ากับเด็กน้อยคนนี้ มากับแม่ ท่าทางเอียงอาย
แต่พอเราจู่โจมเข้าประชิดแบบไม่ทันตั้งตัว เด็กน้อยก็มีท่าทีงงงง ปล่อยให้พวกเราถ่ายภาพอยู่พักใหญ่
ผมสังเกตุว่าการผูกจุกด้านบนแบบนี้ ไม่ค่อยเจอในเด็กชาวพม่า ยิ่งมาเจอในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยเป็นถิ่นคนไทยสมัยอยุธยามาอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
หรือนี่คือลูกหลานชาวอโยธยา
...................................
ภาพนี้ไม่ได้ตั้งใจประจานอะไรเลยนะครับ
แค่เป็นภาพห้องปลดทุกข์ที่ทำให้ผมหวลคิดไปถึงห้องส้วมสมัยผมยังเด็กเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน เหมือนกันมากเลย
เป็นภาพที่ถ่ายออกมาจากระเบียงที่พักโรงแรมในเมืองสะกาย
เหมือนกลิ่นจะโชยมาเลยแหล่ะ
.................................
ที่วัด Mya Thein Tan Pagoda ตะวันนออกของเมืองสะกาย ริมอิระวดี
ผมชอบท่าทางของช่างภาพตัวน้อยที่รับถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือให้นักท่องเที่ยว ดูทะมัดทะแมงและชำนาญมาก รู้ทิศทางแสงด้วย
โตขึ้นคงเป็นช่างภาพมือโปร
.....................................
ด้านข้างของวัด Mya Thein Tan Pagoda มีวัดเล็ก ๆ ที่มีแม่ชีห่มผ้าสีชมพูมากหลายรูป
ผมใช้ภาษาใบ้ให้หลานชีตัวน้อยมานั่งตรงที่แสงลง
ผมชอบภาพนี้ตรงที่ "หน้าเริ่มบอกบุญไม่รับ" เพราะเราถ่ายกันมากเป็นสิบนาทีแล้วยังไม่หยุด
................................
ที่วัดเดียวกัน หลานชีรูปนี้มีอาการลิงโลดเมื่อผมเดินยกกล้องเข้าไปใกล้ ๆ
เลยบอกให้มายืนตรงผนังสีชมพูอ่อนตรงนี้
เธอยิ้มอย่างมีความสุข จนคนถ่ายมีความสุขไปด้วย
"เพราะเป็นแก้วใบที่ว่างเปล่า รอยยิ้มจึงออกมาจากส่วนลึกสุดของดวงใจ"
...........................
ตรงร้านน้ำชา ชานเมืองสะกาย
ผมเดินไปในร้าน ผู้คนมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดึงกล้องคอมแพ๊คตัวเล็กมาเตรียมพร้อมในมือ
เดินเข้าหาคุณลุง ชี้ไปที่หน้าหนังสือพิมพ์ ทำเป็นสนใจข่าว ได้ผล คุณลุงชี้ให้ดูรูป แล้วพูดเป็นภาษาพม่า ผมยิ้ม ยิ้มเพราะฟังไม่เข้าใจ ๕๕๕๕
ชี้ไปที่กล้อง ขออนุญาตถ่ายภาพด้วยภาษามือ คุณลุงให้เกียรติเป็นนายแบบอย่างดี ให้ดูภาพหลังกล้อง หัวเราะร่าลั่นร้าน
ความสุขเป็นเรื่องธรรมชาติที่หาได้ง่ายบนผืนดินพม่า
...๕ วัน ๕๒ ภาพ กับทริปพม่าหนที่ ๗... "ประเทศเพื่อนบ้านที่ดูห่างเหินและชิงชัง(แต่น่าไป)"
พม่า เป็นประเทศที่ผมไปเที่ยวมากที่สุดถึง ๗ ครั้ง
เพื่อนหลายคนถามว่าทำไมไปหลายครั้ง...ผมตอบไม่ได้
รู้แต่ว่า ไปพม่าแล้วถ่ายรูปสนุก มีความสุข เหมือนเราไปเยี่ยมเพื่อนที่สนิท
ไม่น่ากลัวอะไรทั้งสิ้น คนพม่าให้เกียรติกับคนไทยมาก
ครั้งนี้ผมพาน้อง ๆ ไปรวม ๑๒ ชีวิต
เป็นห้าวันที่มีความหมายมากที่สุดอีกครั้งหนึ่งของการถ่ายภาพ
ผมยอมลงทุนแบกกล้องและเลนส์ไปเกือบสิบ กก. อีกครั้ง หลังจากทิ้งไปนาน
๕๒ ภาพ ไม่ใช่ภาพที่สวยที่สุด แต่เป็น ๕๒ ภาพที่มีที่มาที่ไปให้ต้องเขียนถึง
อ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ มันมีคุณค่าต่อใจ(ผม)มากมาย
.....................
Canon 6D รุ่นแรก สองตัว
เลนส์ Canon 17-40 F4L ตัวแรก
เลนส์ Sigma 100-300 F4 Ex
Panasonic Lx100 F1.7
ขาตั้ง Manflotto
......................
ตอนไปพม่าคราวก่อน
เมื่อเรามองจากสะพานอูเบ็ง ผมจะเห็นว่าภูเขาลูกเล็ก ๆ ทางด้านทิศตะวันตกของสะพาน มีเจดีย์สีทองอยู่หลายองค์ สงสัยว่าทำไมไม่ค่อยมีใครพูดถึง....อยากไป
เก็บความคิดนี้ผ่านการสำรวจในกูเกิ้ลแมป จนมีข้อมูลเบื้องต้นว่า นั่นคือเมืองหลวงเก่าของพม่าที่ชื่อ "สะกาย"
ผมรีบวางแผนปักหมุดหาโรงแรมที่พัก จนมาเจอที่พักตรงนี้ที่มีมุมถ่ายภาพสุดยอดมาก เพราะออกจากที่พักชั้นสี่ เดินขึ้นดาดฟ้าก็กางขาตั้งถ่ายภาพได้เลย
เมืองสะกายยิ่งใหญ่จนน่าถูกจัดเป็นเมืองมรดกโลกได้สบาย จำได้ว่านั่งรถเข้าไปในเขตเมืองเก่า รถวิ่งกว่าห้านาทียังไม่พ้นวัดเลย
ความจริงทริปเราจะต้องขึ้นไปดูวัดไม้เก่าแก่วัดหนึ่ง แต่ด้วยเงื่อนไขเวลาทำให้เราพลาดไปอย่างน่าเสียดาย...เก็บไว้แก้มือ
ในเมืองแค่ขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวถ่ายภาพ ผมว่าสองวันก็ไม่หมด
.............................
จากโรงแรม Sagaing Golden World Hotel ที่เราพัก มองไปทางด้านตะวันออก ก็เจอวัดชื่อ မဂႅလာမဟာစေတီတော် งดงามมาก
ผมเอาเลนส์ ๓๐๐ ส่อง เห็นภาพนกยูงสีเขียวตรงแถวบนด้วย งดงามและดูขลังมาก
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า บริเวณรายรอบวัดแห่งนี้เป็นที่ลงหลักปักฐานของชาวอโยธยาในสมัยเราเสียกรุงครั้งที่ ๒
ภาพนี้น่าตั้งชื่อว่า โดดเดี่ยวแห่งกรุงเก่า
...............................................
ยามเช้าในเมืองสะกาย
เราเดินถ่ายภาพแสงเช้ากันนิดหน่อย พอไกด์เรียกขึ้นรถ ผมเหลือบไปเห็นพระเดินบาตร ท่าทางท่านสำรวมมาก ไม่สวมรองเท้า ผมเหลือบตามองไปเห็นป้ายโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ทางด้านหลัง
รอจนพระเดินเข้ามาในเฟรม
เป็นภาพแนวคอนทราสต์ที่ค่อนข้างแรง ในขณะที่สายธารของพุทธศาสนายังเชี่ยวกราก ก็จะมีสารธารที่สวนทางศีลห้าอีกกระแสหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างหนักแน่นและเชี่ยวกรากแข่งขันกันอย่างเมามัน
อีกสิบปีข้างหน้ามาดูกันอีกที
..............................
งานวัดในเมืองสะกาย
เหลือบเห็นเด็กสามสี่คนนั่งล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนาน มีคนหนึ่งที่สะดุดตา เพราะที่นิ้วของเธอมีบางสิ่งที่น่าสนใจ
หนูน้อยโดนผมจับมายืนแอ๊คท่าอย่างไม่ทันตั้งตัว
หนูน้อยพอรู้ว่าจะถูกถ่ายภาพ จึงกำลังจะเอาลูกโป่งที่เสียบนิ้วทั้งห้าออก แต่ผมโบกมือว่าไม่ต้อง แล้วจับมือให้พาดนิ้วไปบนหน้าอกตัวเอง
ทุกคนรุมถ่ายภาพนี้กัน
ได้ค่านางแบบไปพันจ๊าต ยิ้มแก้มปริ (๒๐ บาท)
............................
ขณะเดินในงานวัด สวนทางกับแถวสามเณรสามสี่รูป
สายตาผมปะทะเข้ากับบางสิ่ง
น่าจะเป็นภาพถ่ายสามเณรที่โดดเด่นที่สุดในชีวิตผมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ เป็นภาพสามเณรกับชีวิตในวัดที่ซุกซนกันตามประสาเด็ก
ที่แรงที่สุดที่เคยถ่ายได้คือ สามเณรเล่นยิงปืนล่อเป้าในงานวัดในเมืองเวียงจันทร์อย่างสนุก
เราเอาภาพนี้มาดูกันตอนหลัง สงสัยว่าปืนนี้ได้มาจากไหน? ใครถวาย?
นี่เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่หรือ ?
เป็นภาพที่ผมรักมากอีกภาพหนึ่ง
............................
ในงานวัดแห่งเมืองสะกาย เราเจอเข้ากับเด็กน้อยคนนี้ มากับแม่ ท่าทางเอียงอาย
แต่พอเราจู่โจมเข้าประชิดแบบไม่ทันตั้งตัว เด็กน้อยก็มีท่าทีงงงง ปล่อยให้พวกเราถ่ายภาพอยู่พักใหญ่
ผมสังเกตุว่าการผูกจุกด้านบนแบบนี้ ไม่ค่อยเจอในเด็กชาวพม่า ยิ่งมาเจอในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยเป็นถิ่นคนไทยสมัยอยุธยามาอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
หรือนี่คือลูกหลานชาวอโยธยา
...................................
ภาพนี้ไม่ได้ตั้งใจประจานอะไรเลยนะครับ
แค่เป็นภาพห้องปลดทุกข์ที่ทำให้ผมหวลคิดไปถึงห้องส้วมสมัยผมยังเด็กเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน เหมือนกันมากเลย
เป็นภาพที่ถ่ายออกมาจากระเบียงที่พักโรงแรมในเมืองสะกาย
เหมือนกลิ่นจะโชยมาเลยแหล่ะ
.................................
ที่วัด Mya Thein Tan Pagoda ตะวันนออกของเมืองสะกาย ริมอิระวดี
ผมชอบท่าทางของช่างภาพตัวน้อยที่รับถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือให้นักท่องเที่ยว ดูทะมัดทะแมงและชำนาญมาก รู้ทิศทางแสงด้วย
โตขึ้นคงเป็นช่างภาพมือโปร
.....................................
ด้านข้างของวัด Mya Thein Tan Pagoda มีวัดเล็ก ๆ ที่มีแม่ชีห่มผ้าสีชมพูมากหลายรูป
ผมใช้ภาษาใบ้ให้หลานชีตัวน้อยมานั่งตรงที่แสงลง
ผมชอบภาพนี้ตรงที่ "หน้าเริ่มบอกบุญไม่รับ" เพราะเราถ่ายกันมากเป็นสิบนาทีแล้วยังไม่หยุด
................................
ที่วัดเดียวกัน หลานชีรูปนี้มีอาการลิงโลดเมื่อผมเดินยกกล้องเข้าไปใกล้ ๆ
เลยบอกให้มายืนตรงผนังสีชมพูอ่อนตรงนี้
เธอยิ้มอย่างมีความสุข จนคนถ่ายมีความสุขไปด้วย
"เพราะเป็นแก้วใบที่ว่างเปล่า รอยยิ้มจึงออกมาจากส่วนลึกสุดของดวงใจ"
...........................
ตรงร้านน้ำชา ชานเมืองสะกาย
ผมเดินไปในร้าน ผู้คนมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดึงกล้องคอมแพ๊คตัวเล็กมาเตรียมพร้อมในมือ
เดินเข้าหาคุณลุง ชี้ไปที่หน้าหนังสือพิมพ์ ทำเป็นสนใจข่าว ได้ผล คุณลุงชี้ให้ดูรูป แล้วพูดเป็นภาษาพม่า ผมยิ้ม ยิ้มเพราะฟังไม่เข้าใจ ๕๕๕๕
ชี้ไปที่กล้อง ขออนุญาตถ่ายภาพด้วยภาษามือ คุณลุงให้เกียรติเป็นนายแบบอย่างดี ให้ดูภาพหลังกล้อง หัวเราะร่าลั่นร้าน
ความสุขเป็นเรื่องธรรมชาติที่หาได้ง่ายบนผืนดินพม่า