พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดีละ ดีละ คฤหบดี ท่านพึงข่มขี่พวกโมฆบุรุษให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยกาลอันควร โดยชอบธรรมอย่างนี้แล
ดูกรคฤหบดี
.....เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่า ควรบำเพ็ญ เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่าไม่ควรบำเพ็ญ
.....เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ควรสมาทาน เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ไม่ควรสมาทาน
.....เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความเพียรทั้งหมดว่าควรเริ่มตั้งความเพียร
เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความเพียรทั้งหมดว่า ไม่ควรเริ่มตั้งความเพียร
.....เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ควรสละ เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ไม่ควรสละ
.....เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า ควรหลุดพ้น เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า ไม่ควรหลุดพ้น
ดูกรคฤหบดี
เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
เรากล่าวตบะเห็นปานนี้ว่า ไม่ควรบำเพ็ญ
ก็เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
เรากล่าวตบะเห็นปานนี้ว่า ควรบำเพ็ญ
เมื่อบุคคลสมาทานการสมาทานอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรสมาทาน
เมื่อบุคคลสมาทานการสมาทานอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ควรสมาทาน
เมื่อบุคคลเริ่มตั้งความเพียรอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ควรสมาทาน
เมื่อบุคคลเริ่มตั้งความเพียรอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ควรเริ่มตั้ง
เมื่อบุคคลสละซึ่งการสละอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรสละ
เมื่อบุคคลสละการสละอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ควรสละ
เมื่อบุคคลหลุดพ้นการหลุดพ้นอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรหลุดพ้น
เมื่อบุคคลหลุดพ้นการหลุดพ้นอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า ควรหลุดพ้น
ลำดับนั้น วัชชิยมาหิตคฤหบดีอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว
ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีหลีกไปไม่นาน
พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดแล ผู้มีกิเลสเพียงดังว่าธุลีในปัญญาจักษุน้อยในธรรมวินัยนี้ตลอดกาลนาน
ภิกษุแม้นั้น พึงข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายให้เป็นการข่มขี่ด้วยดีโดยชอบธรรม
เหมือนอย่างวัชชิยมาหิตคฤหบดีข่มขี่แล้ว ฉะนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๔
-------------------------------
ก็เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
ดีละ ดีละ คฤหบดี ท่านพึงข่มขี่พวกโมฆบุรุษให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยกาลอันควร โดยชอบธรรมอย่างนี้แล
.....เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่า ควรบำเพ็ญ เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่าไม่ควรบำเพ็ญ
.....เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ควรสมาทาน เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ไม่ควรสมาทาน
.....เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความเพียรทั้งหมดว่าควรเริ่มตั้งความเพียร
เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความเพียรทั้งหมดว่า ไม่ควรเริ่มตั้งความเพียร
.....เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ควรสละ เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ไม่ควรสละ
.....เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า ควรหลุดพ้น เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า ไม่ควรหลุดพ้น
เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
เรากล่าวตบะเห็นปานนี้ว่า ไม่ควรบำเพ็ญ
เรากล่าวตบะเห็นปานนี้ว่า ควรบำเพ็ญ
เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรสมาทาน
เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ควรสมาทาน
เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ควรสมาทาน
เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ควรเริ่มตั้ง
เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรสละ
เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ควรสละ
เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรหลุดพ้น
เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า ควรหลุดพ้น
ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีหลีกไปไม่นาน
พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุแม้นั้น พึงข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายให้เป็นการข่มขี่ด้วยดีโดยชอบธรรม
เหมือนอย่างวัชชิยมาหิตคฤหบดีข่มขี่แล้ว ฉะนั้น ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๔๓๔๕ - ๔๔๒๒. หน้าที่ ๑๘๘ - ๑๙๑.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=4345&Z=4422&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=94