ลำนำแห่งพงไพร-มาอ่านและวิจารณ์กันเยอะๆนะครับ

….. ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บของช่วงเหมันตฤดู ภายในป่าทึบเงียบสงัด ถูกทำลายด้วยเสียงร้องของเด็กผู้ชาย ด้วยวัยยังเยาว์ไร้ซึ่งความคิด มีเพียงความไร้เดียงสาทำให้เด็กน้อยที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์กับครอบครัว เกิดพลัดหลงเข้าไปในป่าเพราะความซนของเจ้าตัว และนี่เป็นเหตุที่ทำให้เจ้าจอมซน แหกปากลั่นเพราะหลงป่าไม่สามารถออกไปเองได้

“ฮึก...พ่อครับ แม่ครับ….ช่วยผมด้วย แง้!!!”

เสียงของเด็กนั้น สามารถไล่สัตว์ขนาดเล็กให้ตื่นตกใจจนออกไปจากบริเวณนั้นได้ แต่ไม่ใช่กับเหล่านักล่า นั้นหมายถึงการประกาศศักดิ์ดา ของอาณาเขตบริเวณนี้

แซ็กๆ!!

เสียงบางสิ่งกระทบพุ่มไม้ สายตาของเด็กน้อยมองตามเสียงด้วยความหวาดผวา แม้จะมองไม่เห็นด้วยสายตาเพราะหมอกลงหนาทว่าเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นนั่น ค่อยๆเดินย่ำมาช้าๆยังที่ตนอยู่

ในใจของเด็กน้อยเกิดความคิดสองแบบ หากแต่ความไร้เดียงสา และความหวังที่เกิดจากความสิ้นหวัง ทำให้เจ้าหนูเลือกมองว่าเป็นคนที่จะมาช่วยตน

“ช...ช่วยผมด้วยครับ….ผมหลงทาง เห้… ผมอยู่ทางนี้ ผะ...ผม....”

จู่ๆเด็กชายก็เงียบเสียงไปซะดื้อๆ แววตาจากคาดหวังกลับดิ่งลงในพริบตาเมื่อเห็นบางสิ่งอยู่ตรงหน้า ร่างกายใหญ่โตสีดำทมิฬ ลักษณะเดินด้วยเท้าทั้งสี่ ดวงตาสีแดงทับทิมนั้นจ้องมองร่างเด็กน้อยจนสะท้อนเป็นเงาอย่างชัดเจน เขี้ยวคมกำลังแสยะโชว์ซี่ฟันอันแข็งแรงและหน้ากลัวพาลให้สติสตังของเด็กน้อยเตลิดยิ่งกว่าเดิม 

โฮกกก!!!

ว๊ากกกก!!!

เจ้าเสือดำที่ตัวใหญ่กว่าเสือดำปกติไปโข คำรามลั่นประกาศศักดิ์ดาความเป็นเจ้าถิ่นให้เจ้าตัวจ้อยด้านหน้ารู้ว่าพร้อมตอบรับคำท้าทาย หากแต่เด็กน้อยนั้นไม่สามารถเข้าใจกิริยาสื่อความหมายของมันได้ ในใจนั้นมีแต่ความหวาดกลัวไม่มีสิ่งอื่นใด เจ้าหนูกลับแหกปากร้องลั่นยิ่งกว่าเดิมเพราะความหน้ากลัวของเจ้าถิ่นตรงหน้า หัวใจดวงน้อยๆกำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับช่วงล่างได้ปลดปล่อยปัสสาวะ ออกมาจนเหม็นคลุ้งไปทั่วพร้อมกับร่างเล็กกำลังหมดสติ

ทว่าในห้วงขณะจิตนั้น เขากลับได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืม

“หยุดก่อน….ฆาราตะ นี่ไม่ใช่กิจของเจ้า เวลาของเด็กผู้นี้ยังไม่มาถึง”

จากนั้นสติของเด็กชายตัวน้อยก็ดับวูบไป

————————————————

หลังจากนั้น ก็เหมือนกับความฝัน ร่างเล็กในอ้อมกอดอันอบอุ่น สัมผัสได้ถึงความอารี ในความเลือนรางนั้นเด็กน้อยได้ท่องผจญภัยไปในที่ต่างๆ เสพทัศนียภาพของป่าดิบชื้นโดยมีอ้อมกอดของสตรีปริศนามอบความอบอุ่นในกายให้คลายหนาว 

ดั่งความฝัน เด็กน้อยรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสนุกสนาน รื่นเริงกับเหล่าสรรพสัตว์ต่างๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะอันไพเราะของสตรีที่ตนพยายามมองใบหน้าไม่สามารถมองได้ชัดเจน จนเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไป การจากลาก็มาถึง

“ถึงเวลาที่เจ้าจะกลับบ้านแล้ว การพบพานเพื่อลาจากนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ซักวันหนึ่ง เจ้าจะกลับมา กลับมายังบ้านที่แท้จริงของเจ้า”

สิ้นเสียงของสตรีอันไพเราะนั้น สติของเด็กน้อยก็ดับวูบอีกครั้ง

ร่างเล็กลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงยามเช้าอันอบอุ่นของวันใหม่ หยดน้ำค้างจากปลายยอดหญ้าหล่นกระทบกับแก้มใสของเด็กน้อยเป็นการทักทายและสัญญานของการเริ่มต้น

ทีมกู้ภัยพบเด็กน้อยกำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าอันเขียวชะอุ่ม ก่อนจะรีบทำการช่วยเหลือ ส่งตัวกลับไปหาพ่อแม่ของตน 

เด็กน้อยในวัย 10 ขวบ พยายามเล่าเรื่องราวที่เขาได้ประสบพบเจอมา หาแต่ด้วยวัยและความไร้เดียงสาของเขานั้น ไม่สามารถทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนที่ได้ฟังทำใจเชื่อได้ เขาต้องถูกพ่อแม่พาไปพบกับแพทย์เฉพาะทางสมอง 2 ครั้งและ จิตแพทย์ 3 ครั้ง จนทำให้เด็กน้อยทราบว่าสิ่งที่ตนเองไปประสบพบมา มันเป็นเรื่องที่ใครได้ฟังนั้นยากจะเชื่อ หลังจากนั้น เด็กชายจึงเงียบไม่เอ่ยปากเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขารอดชีวิตจากป่าทึบทั้งที่ผ่านมาได้ 10 วันนี้ ให้ใครได้ฟังอีก

เพียงแต่ไม่ได้เอ่ย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมเลือน ทุกภาพเหตุการณ์ ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัสอันอ่อนโยนและเสียงอันไพเราะนั้น ยังตราตรึงอยู่ในใจของเขาไม่มีวันลบเลือน

——- 10 ปี ผ่านไป ——-

จากเด็กชาย สู่วัยฉกรรจ์ เขาสอบติดนายร้อย จปร. ศึกษาร่ำเรียนวิชาจนจบในวัย 20 ปีบริบูรณ์ เขาพร้อมแล้วที่จะพิสูจน์ความจริงผ่านสายตาตัวเอง ด้วยการเลือกประจำการเป็นกรมป่าไม้ กลับไปยังที่ๆเขาจากมาตั้งแต่ต้น เพื่อพิสูจน์ ภาพที่ยังวนเวียนอยู่ในใจเขา ทั้งภาพ ทั้งเสียง แม้ยามหลับตายังนึกถึง 

หากแต่โชคชะตาเหมือนดั่งเส้นขนาดอันยาวนานไม่สามารถบรรจบกันได้ แม้เขาจะมาถึงยังจุดหมาย หากแต่ยังมองไม่เห็นเป้าหมาย เขาไม่อาจพบเจอกับบรรยากาศชวนฝันในวัยเด็ก ไม่แม้แต่สัมผัสสิ่งใดๆที่บ่งบอกถึงสตรีปริศนานั้นได้ 

วันแล้ว...วันเล่า...ปีแล้ว….ปีเล่า

จากผมดำกลายเป็นผมขาว

จากร่างกายสมบูรณ์กำยำเริ่มชราภาพ

เขาเริ่มสร้างครอบครัวกับสาวในพื้นที่

ลงหลักปักฐานจนมีลูกหลาน ส่งเสียให้เล่าเรียนเป็นเจ้าคนนายคน

แม้จะมีพร้อมทุกสิ่ง หากแต่ในใจเขายังเฝ้าคิดคำนึงถึงเหตุการณ์ในวันนั้นมิรู้ลืม

หลายครั้งหลายคราที่เขาเริ่มถอดใจ หากแต่ภายในยังมีความหวัง...หวังว่าซักวันจะได้พบเจอกันอีกซักครั้ง….เหมือนดั่งวิหก โหยหารัง….

วันแล้ว….วันเล่า….ปีแล้ว….ปีเล่า

———— 40 ปีผ่านไป ——————-

ชายชราในวัยเกษียนกลับต้องมาจับด้ามปืนอีกครั้ง ด้วยหัวใจอันร้อนรุ่ม เมื่อได้ข่าวว่าชาวบ้านในระแวกถูกเสือดำทมิฬทำร้าย

ต้องใช่…..

ต้องใช่แน่ๆ…..ฆาราตะ

ร่างชายชราพร้อมกับชายวัยฉกรรจ์ประมาณสี่ห้าคน ลงพื้นที่ตรวจสอบ ทุกคนล้วนตื่นตระหนกปนหวาดกลัว….หากแต่มีเพียงชายชราเท่านั้นที่รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น

แม้ร่างกายจะโรยรา เพียงย่างขาก็ทำให้เหนื่อยหอบ แต่เขาไม่ย่อท้อ…. เพียงแค่ได้เห็นเพียงซักครั้ง ซักนาที… ถ้ามากเกิน ขอเพียง วินาที หรือเสี้ยววินาทีก็ได้…. ขอเพียงแค่อีกครั้ง…. อีกซักครั้ง มีอีกหลายเรื่องเหลือเกินที่ชายแก่คนนี้อยากเล่าให้สตรีปริศนาฟัง… อยากกลับไปหา อยากสัมผัสความอารีที่ตนโหยหามาทั้งชีวิต

หากแต่ภาพตรงหน้านั้น….ช่างโหดร้าย

สภาพรอบกายเมื่อร่างชราได้เหยียบย่างเข้ามาถึงนั้น….เต็มไปด้วยซากศพมนุษย์ ที่เละไม่มีชิ้นดี เขาทั้งตื่นตกใจและเศร้าสลด นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการเห็นเลย และที่ตื่นตกใจไปกว่านั้น….ตรงหน้าของเขา มีเสือดำทมิฬกำลังเลียอุ้งมือที่เปรอะคราบเลือด 

“ทำไม… ทำไมล่ะฆาราตะ….เจ้าฆ่าพวกเขาทำไม”

ทำไมต้องมาเจอกันในสภาพนี้ แว็บแรกที่ได้เห็นเขาแน่ใจทันที่ว่าเจ้าเสือดำขนาดเสือโคร่งตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่เขาเคยเจอแน่ๆ หากแต่สถานะการณ์ที่เจอนั้น มันช่างบีบรัดหัวใจเขาเหลือเกิน

ชายชราจ้องมองเสือดำตรงหน้าทั้งน้ำตา ก่อนประทับปลายกระบอกปืนขึ้นบ่า และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ…

“ฆาราตะเอ๋ย….หากเจ้ากลายเป็นสัตว์ร้าย ข้าจำต้องพรากชีวิตเจ้าเสีย เพื่อไม่ให้เป็นภัยแก่ลูกหลานข้าสืบไป”

เปรี้ยง!!!!

โฮกกกกก!!!

กระสุนพุ่งเข้าเจาะร่างกายของเสือดำอย่างถนัดถนี่ ร่างใหญ่ของเจ้าฆาราตะล้มลงนอนแผ่หลาหายใจรวยรินแทบสิ้นใจ ชายชราเดินไปสำรวจร่างของเสือดำที่เป็นทั้งสหายและศัตรูของตัวเองเพื่อตรวจสอบเพื่อความแน่ใจ…. ทว่าภาพที่เขาเห็นกลับทำให้เขาไม่สามารถก้าวขาออกไปได้มากกว่านี้… มือไม้สั่นถึงกับทำปืนไรเฟิลคู่ชีวิตของตัวเองหล่น เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือฆาราตะ เสือดำร่างยักษ์ กำลังเลียซากศพของลูกเสือดำด้วยความอาดูร น้ำตาขอเดรัจฉานหลังรินเมื่อโลมเลียซากศพที่ไร้ชีวิตของลูกตนเอง…. หวังว่าจะตื่นขึ้นมา เมื่อมันเลียปลุก สายตาของชายชราเหลือบมองเห็นบาดแผลบนร่างของลูกเสือดำเป็นกระสุนลูกซอง เป็นไปไม่ได้เลยเพราะตนเองจะไปยิงถูกลูกเสือเพราะตนนั้นใช้ปืนไรเฟิล แววตาของชายชราฉายเป็นความโกรธ ก่อนจะหันไปมองยังกลุ่มผู้นำทางด้วยสายตาอาฆาต หาแต่ไม่ทันได้เอ่ยปากอันใด…..

เปรี้ยง!!!

ร่างของชายชรากระเด็นตามวิถีกระสุนซึ่งชายคนนึงได้ลั่นไกใส่ตนอย่างถนัดถนี่ ไม่ต่างจากที่ตนยิงใส่เจ้าฆาราตะเลยซักนิด….

“ขอโทษนะผู้พัน...พวกผมต้องกินต้องใช้ แค่ซากเสือดำคงทำเงินให้พวกผมมากโข อโหสินะผู้พัน”

 กระสุนปลายของปืนลูกซองกระจายเต็มร่างอันชรา โลหิตเปื้อนฝนจนแดงฉานไปทั่วบริเวณ พร้อมกับสายตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตาแห่งความสำนึกผิด จ้องไปยังเสือดำแม่ลูกทั้งสอง ก่อนที่สติตัวเองจะดับวูบไป

แสงจันทร์นวลผ่องสอดส่องลอดร่มไม้ แม้จะเป็นยามค่ำอันมือมิดแต่กลับมีแสงของจันทราคอยสอดส่องนำทางอันไร้จุดมุ่งหมาย

ชายแก่กำลังก้าวเดินไปตามทาง…. มือข้างหนึ่งกุมปากแผลตัวเอง เลือดไหลชุ่มเป็นทางใบหน้าซีดเซียวกำลังข่มฟันตัวเองพยายามอดทนจนถึงที่สุดเพื่อจะเดินต่อไป

ยิ่งเดินยิ่งคุ้นเคย เหมือนดั่งความฝันในวัยเยาว์

ยิ่งก้าวยิ่งเจ็บปวด หากแต่หัวใจที่กำบังเต้นแผ่วๆนั้นกลับร่ำร้องให้ก้าวเดินต่อไม่ไม่อาจหยุดยั้ง

จนถึงจุดนึงเมื่อร่างกายไม่อาจฝืนต่อ สังขารที่ทนแบกรับอาการบาดเจ็บมานานก็ล้มวูบหมดสิ้นเรี่ยวแรงหันไปมองตามทางที่เดินผ่านมีแต่รอยเลือดไหลเต็มทาง ชายชราสายตาพร่ามัวยังไม่ย่อท้อ แม้ริมฝีปากจะแห้งผาก แม้ลมหายใจจะรวยริน แต่เขายังพยายามคลานต่อไป

หมับ!

ในขณะที่เขายื่นมือจะคลานต่อนั้น กลับมีมือเรียวขาวมาจับไว้ ไออุ่นที่เขาโหยหามานานแสนนาน สาดกระทบข้างในห้วงสำนึกเขาอีกครั้ง … ชายชราใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามแหงนหน้ามองสตรีที่เขาถวิลหามาทั้งชีวิต หากแต่เขาไม่สามารถเห็นใบหน้านั้นได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะจิตสำนึกอันเลือนราง แต่เป็นเพราะเขาเสียเลือดมากไปทำให้นัยน์ตาเขาบอดสนิทเสียแล้ว …. ชายแก่เค้นยิ้มนึกสมเพชตัวเอง แม้กระทั่งบัดนี้ยังไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเธอได้….

แต่ไม่เป็นไรหรอก...เพียงเท่านี้… ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ….เท่านี้….ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว 

ใบหน้าหยาบกร้านกำลังยิ้มอย่างมีความสุข แม้สายตาที่ทึบมัวจะมองไม่เห็น แต่สัมผัสอันอบอุ่นนั้นไม่เสื่อมคลาย ชายชรานอนลงบนตักของสตรีที่เขาเฝ้าตามหา ใช้เวลาทั้งชีวิตที่สุดก็ได้พบเจออีกครั้ง….

“พ...พี่สาว”

อยากบอกเหลือเกิน…. อยากเล่าเหลือเกิน…. คิดถึงเหลือเกิน…. แต่ไม่มีเสียงแล้ว…. 

ช่างเถอะ…. เพียงเท่านี้…. แค่นี้… ก็พอแล้ว

“การพบพานเพื่อลาจากนั้น….เป็นสัจธรรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง…. ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ...เด็กน้อย”

“ถึงเวลาที่เจ้าจะกลับบ้านแล้ว การพบพานเพื่อลาจากนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ซักวันหนึ่ง เจ้าจะกลับมา กลับมายังบ้านที่แท้จริงของเจ้า”

เหมือนตอนนั้น….ไม่ต่างกันเลยซักนิด… เพียงแต่

ฉันได้กลับมาแล้ว….

นี่แหละ….

บ้านของฉัน…..

สรรพสิ่งล้วนเงียบสงบ พร้อมกับลมหายใจของชายชราที่ดับไป….

ชั่วนิจนิรันด์...

———— END —————
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่