เป็นผู้ชาย อย่าคิดมีแฟนรวยกว่าถ้าคุณไม่ใจเย็นพอ

สวัสดีครับ นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของผม เลยอยากมาเล่าอะไรเล็กๆน้อยๆ จริงๆแล้วแค่อยากระบาย เผื่อเป็นข้อชี้แนะให้คู่รักหลายๆคู่ได้ตรึกตรอง และปรับอะไรหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน
 
ผมคบกับแฟนคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุมากกว่าผม 10 กว่าปี (แต่เบ้าหน้าไม่ได้แก่กว่ากันมากนะครับ ผมยังออกจะหน้าแก่กว่าเขาอีก) ผมกับแฟนตอนนี้เข้ามาพักอาศัยใต้ชายคาด้วยกันที่บ้านแฟนโดยที่เราไม่ได้แต่งงานกัน เราอยู่ด้วยกันมาตอนนี้ก็เข้าปีที่ 8 แล้ว ที่ไม่ได้แต่งเพราะเห็นว่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย อีกอย่างผมไม่กล้าไปขอแต่งงานโดยที่ไม่มีเงินทองอะไรเลยหรอก มันน่าอายเกินไป
 
ย้อนกลับไป 7-8 ปีก่อน ผมเป็นเพียงพนักงานธรรมดาๆคนนึงที่กินเงินเดือนแบบชนิดเดือนชนเดือน เทื่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่น มีเงินเย็นแค่หลักสองสามหมื่นไว้อุ่นใจเผื่อฉุกเฉิน บังเอิญได้พบกับแฟนคนปัจจุบัน ตอนที่ได้ทำงานร่วมกัน โดยตอนนั้นเธอมีธุรกิจเป็นของตัวเองและสามารถหาเงินให้ตัวเองและครอบครัว รวมถึงยังมีเหลือเก็บและใช้เที่ยวต่างประเทศได้อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้งสบายๆอยู่แล้ว
 
ต่อมาไม่นานเธอมีแฟนที่จะขยายธุรกิจให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันเหนื่อยเกินตัวเธอ โดยเธอก็ขอให้ผมไปช่วย ผมจึงตัดสินใจลาออกและไปช่วย และออกไปช่วยจริงๆนะ ทำงานจริงๆไม่ใช่แค่ไปนั่งทำตัวเป็นผัวเจ้าของ เราทำทุกอย่างในสิ่งที่พนักงานคนนึงต้องทำ ธุรกิจนี้มีกำไรอยู่ที่หลักหลายแสนต่อเดือน แต่ก่อนอื่นบอกไว้เลยว่า.. ผมไม่คิดที่อยากได้เงินส่วนนี้เลย ผมไม่ต้องการเงินหลักแสนหลักล้าน ผมแค่อยากออกมาช่วย และผมก็ได้รับในส่วนที่เป็นเงินเดือนๆละ 2 หมื่นบาท และผมก็พอใจแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนโลภที่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของผมเพราะพ่อกับแม่สอนผมโดยการปฏิบัติให้ผมดูมาแบบนั้น

เธอเป็นคนที่ค่อนข้างมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย เป็นคนที่ปากไว เวลาโมโหจะไม่คิดหน้าคิดหลัง จะพูดเพียงเพื่อเอาชนะ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเจ็บแค้นที่สุดเป็นพอ และด้วยการที่ 
1. ณ เวลาที่ผมเป็นพนักงาน เธอก็ออกมาทำธุรกิจเองมีเงินเก็บหลายแสนแล้ว 
2. เธอมักเคลมว่ามีอายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่า 
3. ชัดๆเลย สมบัติของผมคือมอเตอร์ไซค์มือสองสามคัน(รถรุ่นใหม่และรถเก่า 2 คัน) ที่ผมเก็บเงินซื้อเอง รวมมูลค่าแล้วไม่ถึงแสนบาทด้วยซ้ำไป บ้านที่อยู่ รถ ธุรกิจ นั่นของเธอทั้งหมด 
 
สามอย่างประกอบกันทำให้เธอค่อนข้างมี EGO แม้แต่สำหรับคนเป็นแฟนอย่างผมเธอก็มักจะเผลอที่จะไม่ลดราวาศอก แต่ผมเข้าใจเรื่องนี้ดีนะ เธอมีสิทธิที่จะคิดได้ โดยความจริงแล้วเธอก็รักผมและผมก็รักเธอนะ อีกอย่าง แม้ผมไม่ใช่คนใจเย็น ผมเป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงแต่เก็บอารมณ์เก่ง ผมเคยเก็บจนระเบิดหลายครั้งตอนวัยรุ่นและแต่ละครั้งนั่นก็ไม่ดีเลย (แต่คนอื่นมักมองว่าผมเป็นคนใจเย็น โกรธยาก จริงๆผมเหมือนบรูซ แบนเนอร์ ที่โกรธตลอดเวลา)

พูดตรงๆ ถ้าพูดกันเรื่องเงินผมไม่มีทางเถียงอะไรเธอได้เวลาทะเลาะกัน เพราะมันเป็นความจริง ผมไม่มีเงิน !! ผมมีน้อง 1 คนที่ผมยังต้องส่งเสียให้เรียนและจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมด อีกสัก 2 ปีน่าจะจบ และมีพ่อที่มักจะเงินหมดขอความช่วยเหลือเป็นเนืองๆ บางครั้งที่มันหนักก็ต้องยืมเงินเธอ เธอยินดีช่วยเหลือนะแต่ผมก็จะใช้คืนทุกครั้ง ส่วนที่มีกำลังผมก็เอาจากเงินเดือนผมอย่างเดียว ดังนั้น เรื่องเงิน ไม่มีทางเถียงเธอได้ เพราะเพียงแค่ภาระเล็กๆของน้องกับพ่อนี่ ก็แทบจะไม่พอใช้แล้ว ยิ่งเวลาที่ไปเที่ยวต่างประเทศ ในบางทริปที่ผมจ่ายได้หลักหมื่น ผมก็จะหามาจ่าย แต่บางทริปที่ใช้จำนวนเยอะกว่านี้มากๆ เช่น 2 หมื่น 3 หมื่น เธอก็มักจะจ่ายให้.. คือ ผมไม่มีจริงๆ บางครั้งเธอก็มักพูดว่าถ้าไม่มีฉันจะทำยังไง..... ผมก็ตอบตรงๆ ถ้าไม่มีก็อยู่ได้ ก็แค่ไม่ไปเที่ยว จะไปทำไมถ้าไม่มีเงิน 
 
ด้วยความต่างด้านเศรษฐกิจนี้ เวลาทะเลาะหรือมีปากเสียงกัน เรื่องจะทำอะไรสักอย่าง หรือแก้ไขอะไรสักอย่างที่ต้องใช้เงิน เธอมักจะจบด้วยคำว่า "นี่เงินฉัน !!" ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องหุบปากทันที มันเหมือนเอามีดมากรีดที่ใจจนเราต้องหยุด เพราะไม่สามารถให้คำแนะนำหรือโต้แย้งอะไรต่อได้ ถ้าเรายิ่งระเบิดใส่มันยิ่งแย่
 
ล่าสุดมีการทำบางอย่างที่ต้องใช้เงินในการทำ แต่ผมไม่ได้อ่าน Line ที่บอกว่าให้ไปหาคนๆหนึ่งซึ่งจะได้ส่วนลด แต่ผมไม่ได้อ่าน Line เธอก็บ้าขึ้นและตอบกลับว่า "เพราะเธอมันสบาย อยู่บ้านก็ไม่ต้องจ่ายอะไร แค่ให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายแค่นี้เอง ทำไมไม่ใส่ใจ" เพราะเอาจริงๆ ในหลายๆเดือน ผมก็ไม่ได้ช่วยค่าน้ำค่าไฟที่บ้าน จะด้วยความที่ไม่มีเงินก็คงไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะผลสรุปคือผมก็ไม่ได้ช่วยจ่ายในส่วนนี้จริงๆ 
 
แต่นั่นมันเหมือนเอามีดมาปักย้ำๆๆๆๆๆๆ จริงๆแล้วผมเกือบจะระเบิดแล้ว โกรธจนตัวสั่นจนต้องรีบผละออกไปสูบบุหรี่รัวๆเพื่อสงบสติ แม้สุดท้ายเธอตอนเย็นได้สติคืนเธอก็ขอโทษที่บอกแบบนั้นไป แต่เหมือนใจมันโดนกระทืบเละไปแล้ว และคิดว่าน่าจะติดอยู่กับอารมณ์แบบนี้อีกหลายวัน
 
ความรู้สึกที่เกิดกับตัวเองคือ "ทำไมกูมันกระจอกจังวะ!!" วนซ้ำๆอยู่ในหัว
 
แต่เชื่อเถอะ มันจะมีเหตุการณ์ภาพซ้ำแบบนี้เกิดขึ้นอีก นี่เป็นแค่เรื่องเล่าของผมครับ หากท่านที่เป็นผู้ชาย ที่กำลังคิดจะคบหา จริงจังกับแฟนที่มีฐานะจากธุรกิจที่เหนือกว่าคุณสัก 10 หรือ 20 เท่า บางอย่างคุณอาจจะต้องเลือกระหว่าง การอะลุ่มอล่วย / ครอบครัว หรือศักดิ์ศรี ซึ่งแต่ละอย่างมันก็จะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน
 
และสำหรับคุณผู้หญิง หากคุณมีแฟนที่กระจอกแบบผม ได้โปรด... ให้เกียรติเขา แม้จะสักนิดนึงก็ยังดีครับ ในฐานะแฟน สามี หรือผู้ชายกระจอกๆคนนึงก็ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่