เรื่องยาวและซับซ้อนหน่อยนะคะ
บทเรียนกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง จัดเก็บลงเป็นประสบการณ์ที่ดีในการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังในอนาคต
ดิฉันทำงานอยู่ที่บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่หนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นเวลานานพอสมควร ปีที่ 4 เข้าปีที่ 5 แล้วแหละ ในทุกวันการทำของฉันก็ผ่านไปปกติ ยังไม่ได้คิดว่าจะออกจากงานหรือหางานใหม่อะไร แต่มีแพลนในใจว่า ถ้าอายุงานครบ 5 ปีแล้วค่อยคิดใหม่อีกทีว่าจะเอายังไงต่อไป เพราะบริษัทที่นี้สำหรับ ดิฉันในตอนนั้น เป็นบริษัทที่ดี เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี สังคมดี สวัสดิการก็ดี เสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ใกล้บ้านด้วย ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ โอกาสต่างๆมากมาย มิตรภาพดีๆแล้วยังได้เงินเดือนตอบแทนอีก.
ช่วงประมาณต้นกรกฎาคม 2019 ได้รับโทรศัพท์ จากบริษัท recruitment consultant ที่หนึ่ง michael page thailand ทาบทามให้
ไปร่วมงานกับบริษัท startup สัญชาติจีน ที่หนึ่งอักษรย่อว่า "G" (พอดีเรามีประวัติการทำงานอยู่ใน website อยู่แล้ว หน้าตาก็คล้ายกับ HI5 แต่เป็นตลาดงาน)
ตอนแรกฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เริ่มฟังมากขึ้น เริ่มฟังละเอียดขึ้น เริ่มถามกลับกับ consult. Conceptงาน, Job description ค่อนข้างน่าสนใจ พอสมควร ท้าทาย แปลกใหม่ เป็นรูปแบบงานที่ยังไม่เคยทำ อยากลอง อยากรู้ น่าเสี่ยง เพราะมองเห็นช่องทางการทำธุรกิจบางอย่างที่ดูมีทางไปต่อยอดได้ แต่ก็ยังไม่ตอบตกลงอะไรไป เพราะเวลาสัมภาษณ์มันไม่ได้ด้วยแหละ เราเองก็ทำงานเต็มวันไม่มีเวลาว่างที่จะไปสัมภาษณ์หรือว่าอยากขนาดถึงจะต้องให้ลางานไปก็ไม่ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำขนาดนั้น จนกระทั้งทาง consult แจ้งว่าสัมภาษณ์ผ่าน Video Call ก็ได้ค่ะ อ่อ....ช่วงนั้นพอดีว่าไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนๆ แต่ก็พอมีเวลาแหละมั้ง ลองดูก็ได้ค่ะ ตกลงนัดสัมภาษณ์รอบแรกก็สัมภาษณ์ผ่าน Video Call ประมาณ 30-40 นาที กับคนจีน หลังจากนั้นก็นัดสัมภาษณ์รอบสองอีกครั้ง โดนที่การนัดสัมภาษณ์แต่ละครั้งก็จะเจ้าหน้าที่ของบริษัท michael page ดูแลประสานงานให้ตลอด รอบสองสัมภาษณ์ในวันอาทิตย์ ที่ร้านกาแฟ starbucks ย่านไชน่าทาวน์ กับคนจีนท่านเดิม เวลาก็ได้อยู่ไม่กระทบกับงานปัจจุบันที่ทำก็เลยไป
สรุปผ่านค่ะ แล้วเอาไงต่อดีหล่ะทีนี้ ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป คิดอยู่นานพอควร แต่เขาจ่ายเยอะนะ เงินเดือนขึ้นมากกว่า 30 % ไม่รวมอื่นๆอีก ไปค่ะ (ใช่ค่ะ... อำนาจเงินซื้อเราได้) (โลภมากมักลาภหายจริงๆ เจอกับตัวจำจนตาย ฮือออ...)
ทำเรื่องแจ้งออกกับบริษัทเก่า ปนอารมณ์เศร้าๆ งอยๆ เหงาๆ แต่เพื่อเงินเราจะไปต่อ. (อยากมีเงินเยอะๆจะเอามารีโนเวทบ้านให้ครอบครัว)(เป้าหมาย)(ความฝัน)🏡🏗
จริงๆที่ไปก็มองหลายอย่างแล้วนะ
ถึงแม้ว่า บริษัท "G" จะเป็นสตาร์ทอัพในประเทศไทย แต่ก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่จีน มีตัวตนในจีนจริงๆ ถึงแม้ว่าในไทยยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่ อีกทั้งบริษัท michael page thailand เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูง คนรู้จักหลายท่านก็ได้รับโอกาสงานดีๆจากการ hunting ของบริษัทนี้ คิดว่าเขามีการตรวจสอบเช็คบริษัทที่เขาต้องรับงานอยู่แล้วและเราถามย้ำกับทาง consult ด้วยนะ ว่า บริษัทไม่เจ๊งใช่ไหมคะ คำตอบคือ ไม่*** ยิ่งทำให้เรามั่นใจมากขึ้น.
วันเริ่มงานวันแรกที่บริษัท "G"
เอ่อ....เปลี่ยนเป็นการร่วมงานวันแรกกับ เพื่อนร่วมงานคนจีนที่บริษัท "G" ดีกว่าค่ะ เรานัดเจอกันที่ starbucks พระรามเก้า ตอน 9 โมงเช้าค่ะ และเขาก็มาสาย เนื่องด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ช่างเถอะ ทำงานต่อกันดีกว่า เรานั่งคุยงานกันที่นั้นค่ะ เราก็พยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด ว่าใครเป็นใคร ต้องติดต่อประสานงานเรื่องนี้กับใครยังไงบ้าง ขอไม่ลงรายละเอียดลึกเรื่องของเนื้องานนะคะ คำตอบที่ได้ก็ค่อนข้างไปทางไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อยู่ๆไป เดี๋ยวก็ชัดเอง ค่อยๆซึมซับไปละกัน ตอนนั้นคิดแบบนั้นนะคะ
อ่อ..... บริษัท "G" ไม่ได้จดทะเบียนที่ไทยค่ะ เขาฝาก พนักงานในบริษัท ก็คือเรานี่แหละ ไปไว้ที่หัวของอีกบริษัทหนึ่งหรือเรียกกันว่า Nominee ตัวอักษรย่อว่าบริษัท "R" เขาจะฝากจ่ายเงินเดือน, หักประกันสังคมกับกับพนักงานผ่านบริษัทนี้ และก็....บริษัท "G" ไม่มีออฟฟิตค่ะ การทำงาน คือ WORKS AT HOME คุยงานกับคนจีนฝั่งบริษัทแม่ผ่านทาง WeChat, E-mail และก็นัดหาลูกค้าเองเปิดตลาดใหม่ๆในกรุงเทพฯ ก็มีออกไปหาลูกค้าบ้างอะไรบ้าง เราก็พยายามทำความเข้าใจและยอมรับนะว่าบริษัท "G" เป็น Startup เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้น ค่อยๆโตไปพร้อมกัน
อ่อ....เราร้องขอ notebook กับนามบัตร กับทางบริษัท "G" ให้ช่วย support ให้หน่อยในการทำงาน โดยที่ทาง บริษัท "M" ก็พยายามช่วยขอและพูดให้อีกทางนะคะ แต่มันก็ไม่เป็นผล ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เลย ตอนแรกก็บอกว่าทำงบให้แล้ว รอหน่อยๆ กำลังดำเนินการ ถามไปถามมา โยนกันไปโยนกันมา บอกว่าหัวหน้าคนจีนท่านหนึ่งจะบินมาไทยเดี๋ยวถือ notebook มาให้ด้วย สรุปสุดท้าย ยังไปเคยเจอบุคคลท่านนี้เลยค่ะ
ส่วนคนจีนอีกท่านที่สัมภาษณ์รับเราเข้าร่วมทำงาน เขาโดนย้ายกับจีนค่ะ และคงไม่ได้กลับมาไทยอีกแล้ว T_T เราพยายามกับสู่โหมดการทำงานปกติ หายืม notebook จากเพื่อนมาใช้งานเบื้องต้นก่อนเพื่อความสะดวกในการทำงาน พยายามออกหาลูกค้าตาม job description ที่ได้ตกลงกันเอาไว้ มีนัดประชุมกับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ เพื่ออัพเดทข้อมูลกันตามร้านกาแฟต่างๆ ในกรุงเทพฯ และแล้วเราก็รู้สึกแปลกๆถึงบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้น กับ เพื่อนร่วมงานคนจีนที่บริษัท "G" ที่เจอกันวันแรก เขาพูดทำนองว่า เผื่อทำใจต้องเตรียมตัวหางานใหม่ อะไรทำนองนั้น ช่วงสัปดาห์แรกที่เรามาทำงาน
เราพยายามทำตัวปกติไม่ตื่นตระหนกอะไร (เดี๋ยวก่อนนะ เราเพิ่งทำงานได้ ไม่ถึงสัปดาห์เลยนะ ยังไม่ได้โชว์ performance อะไรเลย เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเจ๊ง ไม่ !!!)
บริษัท "R" ที่เป็น Nominee เริ่มติดต่อมาหาเรา แล้วถามว่าทาง บริษัท "G" ได้บอกกล่าวอะไรบ้างไหม "มีอะไรหรือเปล่าคะ" เสียงเราถามกลับ ทางเจ้าหน้าที่ของบริษัท "R" แจ้งว่า ทางบริษัท "G" ส่ง e-mail **แจ้งขอยุติการทำงานที่ประเทศไทยทั้งหมด เนื่องด้วยผลของพิษภาวะเศรษฐกิจสงครามทางการค้าระหว่างอเมริกา-จีน พร้อมทั้งส่งจดหมาย Termination Letter ให้เราทาง e-mail ลงวันที่ 09/09/2019. รวมอายุการทำงานของเราก่อนเลิกจ้าง 10 วัน มีผลนับจากนี้ พร้อมทั้งให้พนักงานทำงานต่ออีก 1.5 เดือน โดยได้รับผลประโยชน์รวมทั้งสิ้น 2 เดือน** ก็คือสิ้นสุดวันที่ 15 ตุลาคมนี้ค่ะ
ความพีคอยู่ที่ว่า ตอนนี้ ทางบริษัท "R" และบริษัท "M" ยังคงเรียกเก็บเงิน เอ่อไม่สิ ใช้คำว่ายังไม่ได้รับสัญญาณที่ดีสักเท่าไหร่จาก บริษัท "G" ดีกว่า
และที่พีคหนักสุด คือ อยู่ๆฉันก็พ้นสถานะ "ลูกจ้าง" 👤 T_T กลายเป็น บุคคลว่างงาน ซะงั้น หัวใจมันชาๆไปหมดเลยค่ะ มันไม่เป็นเหมือนที่เราคิด
ตอนนี้เรื่องราวอยู่ระหว่างดำเนินการค่ะ.... ยังไม่จบสิ้น ไม่รู้ว่าวันที่ 15 จะได้รับเงินเดือนงวดสุดท้ายไหม ต้องมานั่งลุ้นกันเอา ถ้าไม่ได้มีวิธีการจัดการหรือแนะนำไหมคะ ตอนบริษัท "R" ส่งจดหมายเลิกจ้างมีการเซ็นเอกสารตอบ-กลับระหว่างกันค่ะ
เรื่องราวของเราก็ประมาณนี้
ให้เรื่องของเราเป็นวิทยทานสำหรับเพื่อนๆนะคะ ใครที่กำลังมองหางานใหม่ๆ หรือตัดสินใจจะไปทำงานที่ใหม่ใดๆก็ตามแต่ สำหรับเราครั้งต่อไปเราคงต้องระมัดระวังให้ดีกว่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก ต้องเช็คทุกอย่างให้ละเอียดก่อนไปฝากชีวิตไว้กับบริษัทนั้น
เหตุการณ์ทั้งหมด มันมาจากการที่เราตัดสินใจผิดพลาดเองถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเรื่องนึงเลยค่ะ ตอนนี้ก็นั่งหางานวนไปค่ะ ตั้งใจว่าอยากเริ่มงานใหม่วันที่ 16 ตุลานี้เลย เป็น กลจ. ให้ด้วยนะคะ
เเสดงความคิดเห็น แนะนำได้ตามสะดวก เราอยากรู้ว่า
1. ถ้า 15 ตุลาคมนี้ ถ้าเขาไม่จ่ายเงินเดือนงวดสุดท้ายจะมีวิธีการจัดการอย่างไรได้บ้างคะ (ถ้าบริษัท "G" "ไม่จ่ายเงินให้บริษัท "R" บริษัท "R" มีสิทธิอ้างไม่จ่ายเงินให้เราได้หรือไม่)
2. กรณีจ่ายตามสัญญา บริษัท "R" แจ้งกล่าวบอกจะจ่ายชดเชยให้ 15 วัน สมควรถูกต้องแล้วหรือไม่
3. บริษัท M ที่เป็นคนชักชวนให้ร่วมงาน ควรรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วยหรือไม่
บริษัทยกเลิกการจ้างงาน ในขณะที่อายุงานได้ 10 วัน สามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้ไหม
บทเรียนกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง จัดเก็บลงเป็นประสบการณ์ที่ดีในการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังในอนาคต
ดิฉันทำงานอยู่ที่บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่หนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นเวลานานพอสมควร ปีที่ 4 เข้าปีที่ 5 แล้วแหละ ในทุกวันการทำของฉันก็ผ่านไปปกติ ยังไม่ได้คิดว่าจะออกจากงานหรือหางานใหม่อะไร แต่มีแพลนในใจว่า ถ้าอายุงานครบ 5 ปีแล้วค่อยคิดใหม่อีกทีว่าจะเอายังไงต่อไป เพราะบริษัทที่นี้สำหรับ ดิฉันในตอนนั้น เป็นบริษัทที่ดี เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี สังคมดี สวัสดิการก็ดี เสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ใกล้บ้านด้วย ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ โอกาสต่างๆมากมาย มิตรภาพดีๆแล้วยังได้เงินเดือนตอบแทนอีก.
ช่วงประมาณต้นกรกฎาคม 2019 ได้รับโทรศัพท์ จากบริษัท recruitment consultant ที่หนึ่ง michael page thailand ทาบทามให้
ไปร่วมงานกับบริษัท startup สัญชาติจีน ที่หนึ่งอักษรย่อว่า "G" (พอดีเรามีประวัติการทำงานอยู่ใน website อยู่แล้ว หน้าตาก็คล้ายกับ HI5 แต่เป็นตลาดงาน)
ตอนแรกฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เริ่มฟังมากขึ้น เริ่มฟังละเอียดขึ้น เริ่มถามกลับกับ consult. Conceptงาน, Job description ค่อนข้างน่าสนใจ พอสมควร ท้าทาย แปลกใหม่ เป็นรูปแบบงานที่ยังไม่เคยทำ อยากลอง อยากรู้ น่าเสี่ยง เพราะมองเห็นช่องทางการทำธุรกิจบางอย่างที่ดูมีทางไปต่อยอดได้ แต่ก็ยังไม่ตอบตกลงอะไรไป เพราะเวลาสัมภาษณ์มันไม่ได้ด้วยแหละ เราเองก็ทำงานเต็มวันไม่มีเวลาว่างที่จะไปสัมภาษณ์หรือว่าอยากขนาดถึงจะต้องให้ลางานไปก็ไม่ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำขนาดนั้น จนกระทั้งทาง consult แจ้งว่าสัมภาษณ์ผ่าน Video Call ก็ได้ค่ะ อ่อ....ช่วงนั้นพอดีว่าไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนๆ แต่ก็พอมีเวลาแหละมั้ง ลองดูก็ได้ค่ะ ตกลงนัดสัมภาษณ์รอบแรกก็สัมภาษณ์ผ่าน Video Call ประมาณ 30-40 นาที กับคนจีน หลังจากนั้นก็นัดสัมภาษณ์รอบสองอีกครั้ง โดนที่การนัดสัมภาษณ์แต่ละครั้งก็จะเจ้าหน้าที่ของบริษัท michael page ดูแลประสานงานให้ตลอด รอบสองสัมภาษณ์ในวันอาทิตย์ ที่ร้านกาแฟ starbucks ย่านไชน่าทาวน์ กับคนจีนท่านเดิม เวลาก็ได้อยู่ไม่กระทบกับงานปัจจุบันที่ทำก็เลยไป
สรุปผ่านค่ะ แล้วเอาไงต่อดีหล่ะทีนี้ ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป คิดอยู่นานพอควร แต่เขาจ่ายเยอะนะ เงินเดือนขึ้นมากกว่า 30 % ไม่รวมอื่นๆอีก ไปค่ะ (ใช่ค่ะ... อำนาจเงินซื้อเราได้) (โลภมากมักลาภหายจริงๆ เจอกับตัวจำจนตาย ฮือออ...)
ทำเรื่องแจ้งออกกับบริษัทเก่า ปนอารมณ์เศร้าๆ งอยๆ เหงาๆ แต่เพื่อเงินเราจะไปต่อ. (อยากมีเงินเยอะๆจะเอามารีโนเวทบ้านให้ครอบครัว)(เป้าหมาย)(ความฝัน)🏡🏗
จริงๆที่ไปก็มองหลายอย่างแล้วนะ
ถึงแม้ว่า บริษัท "G" จะเป็นสตาร์ทอัพในประเทศไทย แต่ก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่จีน มีตัวตนในจีนจริงๆ ถึงแม้ว่าในไทยยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่ อีกทั้งบริษัท michael page thailand เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูง คนรู้จักหลายท่านก็ได้รับโอกาสงานดีๆจากการ hunting ของบริษัทนี้ คิดว่าเขามีการตรวจสอบเช็คบริษัทที่เขาต้องรับงานอยู่แล้วและเราถามย้ำกับทาง consult ด้วยนะ ว่า บริษัทไม่เจ๊งใช่ไหมคะ คำตอบคือ ไม่*** ยิ่งทำให้เรามั่นใจมากขึ้น.
วันเริ่มงานวันแรกที่บริษัท "G"
เอ่อ....เปลี่ยนเป็นการร่วมงานวันแรกกับ เพื่อนร่วมงานคนจีนที่บริษัท "G" ดีกว่าค่ะ เรานัดเจอกันที่ starbucks พระรามเก้า ตอน 9 โมงเช้าค่ะ และเขาก็มาสาย เนื่องด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ช่างเถอะ ทำงานต่อกันดีกว่า เรานั่งคุยงานกันที่นั้นค่ะ เราก็พยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด ว่าใครเป็นใคร ต้องติดต่อประสานงานเรื่องนี้กับใครยังไงบ้าง ขอไม่ลงรายละเอียดลึกเรื่องของเนื้องานนะคะ คำตอบที่ได้ก็ค่อนข้างไปทางไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อยู่ๆไป เดี๋ยวก็ชัดเอง ค่อยๆซึมซับไปละกัน ตอนนั้นคิดแบบนั้นนะคะ
อ่อ..... บริษัท "G" ไม่ได้จดทะเบียนที่ไทยค่ะ เขาฝาก พนักงานในบริษัท ก็คือเรานี่แหละ ไปไว้ที่หัวของอีกบริษัทหนึ่งหรือเรียกกันว่า Nominee ตัวอักษรย่อว่าบริษัท "R" เขาจะฝากจ่ายเงินเดือน, หักประกันสังคมกับกับพนักงานผ่านบริษัทนี้ และก็....บริษัท "G" ไม่มีออฟฟิตค่ะ การทำงาน คือ WORKS AT HOME คุยงานกับคนจีนฝั่งบริษัทแม่ผ่านทาง WeChat, E-mail และก็นัดหาลูกค้าเองเปิดตลาดใหม่ๆในกรุงเทพฯ ก็มีออกไปหาลูกค้าบ้างอะไรบ้าง เราก็พยายามทำความเข้าใจและยอมรับนะว่าบริษัท "G" เป็น Startup เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้น ค่อยๆโตไปพร้อมกัน
อ่อ....เราร้องขอ notebook กับนามบัตร กับทางบริษัท "G" ให้ช่วย support ให้หน่อยในการทำงาน โดยที่ทาง บริษัท "M" ก็พยายามช่วยขอและพูดให้อีกทางนะคะ แต่มันก็ไม่เป็นผล ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เลย ตอนแรกก็บอกว่าทำงบให้แล้ว รอหน่อยๆ กำลังดำเนินการ ถามไปถามมา โยนกันไปโยนกันมา บอกว่าหัวหน้าคนจีนท่านหนึ่งจะบินมาไทยเดี๋ยวถือ notebook มาให้ด้วย สรุปสุดท้าย ยังไปเคยเจอบุคคลท่านนี้เลยค่ะ
ส่วนคนจีนอีกท่านที่สัมภาษณ์รับเราเข้าร่วมทำงาน เขาโดนย้ายกับจีนค่ะ และคงไม่ได้กลับมาไทยอีกแล้ว T_T เราพยายามกับสู่โหมดการทำงานปกติ หายืม notebook จากเพื่อนมาใช้งานเบื้องต้นก่อนเพื่อความสะดวกในการทำงาน พยายามออกหาลูกค้าตาม job description ที่ได้ตกลงกันเอาไว้ มีนัดประชุมกับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ เพื่ออัพเดทข้อมูลกันตามร้านกาแฟต่างๆ ในกรุงเทพฯ และแล้วเราก็รู้สึกแปลกๆถึงบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้น กับ เพื่อนร่วมงานคนจีนที่บริษัท "G" ที่เจอกันวันแรก เขาพูดทำนองว่า เผื่อทำใจต้องเตรียมตัวหางานใหม่ อะไรทำนองนั้น ช่วงสัปดาห์แรกที่เรามาทำงาน
เราพยายามทำตัวปกติไม่ตื่นตระหนกอะไร (เดี๋ยวก่อนนะ เราเพิ่งทำงานได้ ไม่ถึงสัปดาห์เลยนะ ยังไม่ได้โชว์ performance อะไรเลย เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเจ๊ง ไม่ !!!)
บริษัท "R" ที่เป็น Nominee เริ่มติดต่อมาหาเรา แล้วถามว่าทาง บริษัท "G" ได้บอกกล่าวอะไรบ้างไหม "มีอะไรหรือเปล่าคะ" เสียงเราถามกลับ ทางเจ้าหน้าที่ของบริษัท "R" แจ้งว่า ทางบริษัท "G" ส่ง e-mail **แจ้งขอยุติการทำงานที่ประเทศไทยทั้งหมด เนื่องด้วยผลของพิษภาวะเศรษฐกิจสงครามทางการค้าระหว่างอเมริกา-จีน พร้อมทั้งส่งจดหมาย Termination Letter ให้เราทาง e-mail ลงวันที่ 09/09/2019. รวมอายุการทำงานของเราก่อนเลิกจ้าง 10 วัน มีผลนับจากนี้ พร้อมทั้งให้พนักงานทำงานต่ออีก 1.5 เดือน โดยได้รับผลประโยชน์รวมทั้งสิ้น 2 เดือน** ก็คือสิ้นสุดวันที่ 15 ตุลาคมนี้ค่ะ
ความพีคอยู่ที่ว่า ตอนนี้ ทางบริษัท "R" และบริษัท "M" ยังคงเรียกเก็บเงิน เอ่อไม่สิ ใช้คำว่ายังไม่ได้รับสัญญาณที่ดีสักเท่าไหร่จาก บริษัท "G" ดีกว่า
และที่พีคหนักสุด คือ อยู่ๆฉันก็พ้นสถานะ "ลูกจ้าง" 👤 T_T กลายเป็น บุคคลว่างงาน ซะงั้น หัวใจมันชาๆไปหมดเลยค่ะ มันไม่เป็นเหมือนที่เราคิด
ตอนนี้เรื่องราวอยู่ระหว่างดำเนินการค่ะ.... ยังไม่จบสิ้น ไม่รู้ว่าวันที่ 15 จะได้รับเงินเดือนงวดสุดท้ายไหม ต้องมานั่งลุ้นกันเอา ถ้าไม่ได้มีวิธีการจัดการหรือแนะนำไหมคะ ตอนบริษัท "R" ส่งจดหมายเลิกจ้างมีการเซ็นเอกสารตอบ-กลับระหว่างกันค่ะ
เรื่องราวของเราก็ประมาณนี้
ให้เรื่องของเราเป็นวิทยทานสำหรับเพื่อนๆนะคะ ใครที่กำลังมองหางานใหม่ๆ หรือตัดสินใจจะไปทำงานที่ใหม่ใดๆก็ตามแต่ สำหรับเราครั้งต่อไปเราคงต้องระมัดระวังให้ดีกว่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก ต้องเช็คทุกอย่างให้ละเอียดก่อนไปฝากชีวิตไว้กับบริษัทนั้น
เหตุการณ์ทั้งหมด มันมาจากการที่เราตัดสินใจผิดพลาดเองถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเรื่องนึงเลยค่ะ ตอนนี้ก็นั่งหางานวนไปค่ะ ตั้งใจว่าอยากเริ่มงานใหม่วันที่ 16 ตุลานี้เลย เป็น กลจ. ให้ด้วยนะคะ
เเสดงความคิดเห็น แนะนำได้ตามสะดวก เราอยากรู้ว่า
1. ถ้า 15 ตุลาคมนี้ ถ้าเขาไม่จ่ายเงินเดือนงวดสุดท้ายจะมีวิธีการจัดการอย่างไรได้บ้างคะ (ถ้าบริษัท "G" "ไม่จ่ายเงินให้บริษัท "R" บริษัท "R" มีสิทธิอ้างไม่จ่ายเงินให้เราได้หรือไม่)
2. กรณีจ่ายตามสัญญา บริษัท "R" แจ้งกล่าวบอกจะจ่ายชดเชยให้ 15 วัน สมควรถูกต้องแล้วหรือไม่
3. บริษัท M ที่เป็นคนชักชวนให้ร่วมงาน ควรรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วยหรือไม่