อดีตคณบดี นิติฯ มธ. กางกฎหมาย 7 พรรคฝ่ายค้าน-ชลิตา ไม่ผิด ม.116 กรณีถูกฟ้องเสวนาแก้ รธน.
https://voicetv.co.th/read/LQ_sAFt80
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดี นิติศาสตร์ มธ. ระบุ กรณี กอ.รมน. ฟ้อง 7 พรรคฝ่ายค้าน - ดร.ชลิตา กรณีจัดงานเสวนาแก้รัฐธรรมนูญ ที่ปัตตานี ละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานด้วยการใช้ ม.116 ปิดปากไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นใด ในเรื่องแก้ รธน.
จากกรณี พล.ต.
บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับแกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ จำนวน 12 คน ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันยุยงปลุกปั่น ด้วยวาจา ในเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเป็นการยุยงปลุกปั่นที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการจัดเสวนา "พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่" ที่บริเวณลานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี
รวมทั้งกรณีที่ ดร.
ชลิตา บัณฑุวงศ์ เสนอแก้ไขมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าราชอาณาจักรไทยจะแบ่งแยกมิได้ด้วย 6 ต.ค. 2562 นาย
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
"Clear and Present Danger? (ภัยพิบัติชัดแจ้ง อันอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ?) การเสวนาที่ปัตตานีของ 7 พรรคฝ่ายค้านมีอันตรายที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบันเกิดขึ้นแล้วหรือไม่? ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
การกระทำของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน 7 พรรคในการร่วมเสวนากับประชาชนที่ปัตตานี เพื่อรณรงค์ให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ 2560 และให้รัฐธรรมนูญมีความเหมาะสมกับการแก้ปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ ไม่เข้าลักษณะเป็นความผิด ตามป.อาญา มาตรา 116 เพราะ
1. การเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขตามครรลองที่ รัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ (มาตรา 256) จึงเป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่มีการใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย กรณีไม่เข้าข่าย มาตรา 116(1)
2. กรณีไม่เข้าข่าย มาตรา 116 (2)-(3) เพราะการพูดอภิปรายในวงเสวนาเป็น "การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต" เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 34 รับรองไว้ มิได้มีลักษณะเป็นการ "ปลุกปั่นยุยง" หรือ "ปลุกระดม" ที่มีเจตนาเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ที่ "ถึงขนาด" ที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินแต่อย่างใด
คำว่า "ถึงขนาด" แสดงว่า การกระทำอันจะถือได้ว่าเป็นการปลุกปั่นยุยงซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตาม มาตรา 116 นี้ จะต้องมีผลทำให้ประชาชนจำนวนมากลุกฮือขึ้นก่อการจลาจลหรือความไม่สงบในระยะเวลาที่ไม่ห่างจากที่มีการปลุกปั่นยุยงหรือปลุกระดมเช่นนั้นกับประชาชน แต่การพูดถกแถลงในวงเสวนาครั้งนี้ไม่ปรากฎว่ามีการสร้างความปั่นป่วน ความกระด้างกระเดื่องที่ถึงขนาดเป็นการก่อความไม่สงบขึ้นในบริเวณที่มีการเสวนาแต่อย่างใด โดยมิพักต้องพิจารณาว่าถึงขนาดก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งจะต้องมีประชาชนจำนวนมากเข้าเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
ความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 116 นี้ ตามกฎหมายต่างประเทศเรียกว่า "Sedition" หรือ "Seditious Libel" ซึ่งเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญว่าการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดหรือไม่ จะต้องปรากฏว่า อันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการปลุกปั่นยุยงหรือปลุกระดม (ได้แก่ ความปั่นป่วน ความกระด้างกระเดื่อง การล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และการก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร)นั้น เป็นอันตรายที่ชัดเจน และเป็นปัจจุบันปรากฏขึ้นแล้วหรือใกล้จะถึงหรือไม่ (clear and present/imminent danger)"
นอกจากนี้ ในกรณีที่มีการแจ้วข้อกล่าวหากับ ดร.
ชลิตา นาย
พนัส กล่าวว่า
"การบังคับใช้ ป.อาญา มาตรา 116 (ความผิดฐานปลุกปั่นยุยง) ต้องไม่เป็นการทำลายล้างสาระสำคัญของเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 34
การกล่าวโดย ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ ว่า แม้แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 (ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรที่แบ่งแยกไม่ได้) ก็ควรพิจารณาแก้ไขได้ หากเป็นสาเหตุที่ทำให้แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ไม่ได้ ไม่เข้าช่ายเป็นการกระทำความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 116(1) เพราะตราบใดที่ยังมิได้มีการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอันเป็นผลโดยตรงจากการกล่าวเช่นนั้น และใน การกล่าวเช่นนั้น มิได้มีการใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้ายผู้อื่นให้ยอมกระทำตามที่กล่าวแต่อย่างใด กรณีย่อมไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามองค์ประกอบที่กำหนดไว้ในมาตรา 116 (1) นั้น
การที่ กอ.รมน. ร้องทุกข์กล่าวโทษ ดร.ชลิตา ว่า กระทำความผิดตามป.อาญา มาตรา 116 จึงเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของ ดร.ชลิตา ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเธอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 34 เพราะเป็นการมุ่งทำลายสาระสำตัญของการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าว ด้วยการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 116 ปิดปากไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องดังกล่าวโดยสิ้นเชิง"
https://www.facebook.com/t.panat/posts/2786921381319940
กลุ่มเกษตรกร บุกปชป. จวก "จุรินทร์" ไร้หัวใจ บ่นชุมนุม 21 วัน "เฉลิมชัย" ไม่เคยมาแล
https://www.matichon.co.th/politics/news_1703110
กลุ่มเกษตรกร บุกปชป. หลังทำผิดสัญญารับปากนำ7ข้อเรียกร้องเข้าบอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ จวก “จุรินทร์” ไร้หัวใจ บ่นชุมนุม 21 วัน “เฉลิมชัย” ไม่เคยมาแล
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เวลา 15.10 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มชาวเกษตรกรจากทั่วประเทศ นำโดย นาย
ชุมพร จินตนาวสาร แกนนำเกษตรจังหวัดตาก ที่ปักหลักชุมนุมริมคลองปะปาข้างกระทรวงการคลัง ซึ่งชุมนุมมาแล้ว 21 วัน ประมาณ 500 คนได้เดินเท้าข้ามถนนพระรามหก มายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อทวงสัญญาณ 7 ข้อ จากนาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกร โดยก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องผ่านนาย
ไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี (นาย
จุรินทร์) และชาวเกษตรกรได้เข้าพบนาย
ไชยยศมาถึง 2 ครั้งแล้ว ซึ่งก็ได้รับปากว่าจะบรรจุข้อเรียกร้องเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมบอร์ดของกองทุนที่จะมีการประชุมในวันที่ 8 ต.ค. นี้ แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ในวาระการประชุมยังไม่มีเรื่องนี้บรรจุไว้
นาย
ชุมพร กล่าวอีกว่า นาย
จุรินทร์ยังไม่เคยออกมาพูดว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา จึงอยากถามว่า นาย
จุรินทร์ไม่มีหัวใจการเป็นเกษตรกรหรืออย่างไร และนาย
เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ไม่เคยลงมาดูหรือเยี่ยมผู้ชุมนุมเลยทั้งที่ชุมนุมกันมา 21 วันแล้ว มีแต่เพียงนักการเมืองพรรคอื่นที่มาช่วยดูแล
นาย
ชุมพร กล่าวต่อพ.ร.บ.กองทุนดังกล่าว มีนาย
ชวน หลีกภัย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีการบริหารกองทุนฯ ทำให้เกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์จากกองทุนนี้ แต่กลับเอื้อประโยชน์ให้กับสถาบันการเงินของเอกชน ดังนั้นพวกตนจึงต้องออกมาเรียกร้องต่อพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดใหญ่ในวันที่ 8 ต.ค. พวกตนจะปักหลักชุมนุมอยู่ต่อที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้านำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมก็จะเดินทางกลับข้างกระทรวงการคลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยดูแลความเรียบร้อยจากสน.บางซื่อ สน.ทุ่งสองห้อง และตำรวจจากสันติบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าข้อเรียกร้อง7ข้อ ประกอบด้วย
1. หนี้สหกรณ์การเกษตรที่ฟ้องและกำลังดำเนินคดี ขอให้หยุดดำเนินคดีจนกว่ากองทุนฟื้นฟูฯ จะเข้ามาซื้อหนี้
2. ขอให้เป็นคนกลางในการเจรจาหนี้สหกรณ์การเกษตร กรณีวัตถุประสงค์เข้าหลักเกณฑ์ที่กองทุนฟื้นฟูฯ สามารถซื้อหนี้ได้
3. ขอจำหน่ายหนี้สูญตามกฎกระทรวงการคลังกำหนด (กฎกระทรวงฉบับที่ 186 ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ พ.ศ. 2534) กรณีคุณสมบัติเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนด
4. หนี้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินคดี ขอให้ชะลอไว้จนกว่าจะได้รับการจัดการหนี้จากกองทุนฟื้นฟูฯ
5. กรณีหนี้ค้างชำระให้ชะลอทุกกรณี (หนี้ ธ.ก.ส.)
6. กรณีลูกหนี้เสียชีวิตห้ามไม่ให้หักเงินฌาปณกิจ (ลูกหนี้ ธ.ก.ส.)
และ 7. กรณีขอกู้เงินกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน มีการประเมินล่าช้าและไม่ผ่านหลักเกณฑ์ของกองทุนหมุนเวียน
JJNY : อดีตคณบดีนิติฯ มธ.กางกฎหมาย 7พรรค-ชลิตาไม่ผิดฯ/กลุ่มเกษตรกรบุกปชป.จวกจุรินทร์ไร้หัวใจฯ/ม็อบยาเส้นเพชรบูรณ์เดือด!ฯ
https://voicetv.co.th/read/LQ_sAFt80
จากกรณี พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับแกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ จำนวน 12 คน ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันยุยงปลุกปั่น ด้วยวาจา ในเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเป็นการยุยงปลุกปั่นที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการจัดเสวนา "พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่" ที่บริเวณลานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี
รวมทั้งกรณีที่ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ เสนอแก้ไขมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าราชอาณาจักรไทยจะแบ่งแยกมิได้ด้วย 6 ต.ค. 2562 นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
"Clear and Present Danger? (ภัยพิบัติชัดแจ้ง อันอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ?) การเสวนาที่ปัตตานีของ 7 พรรคฝ่ายค้านมีอันตรายที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบันเกิดขึ้นแล้วหรือไม่? ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
การกระทำของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน 7 พรรคในการร่วมเสวนากับประชาชนที่ปัตตานี เพื่อรณรงค์ให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ 2560 และให้รัฐธรรมนูญมีความเหมาะสมกับการแก้ปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ ไม่เข้าลักษณะเป็นความผิด ตามป.อาญา มาตรา 116 เพราะ
1. การเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขตามครรลองที่ รัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ (มาตรา 256) จึงเป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่มีการใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย กรณีไม่เข้าข่าย มาตรา 116(1)
2. กรณีไม่เข้าข่าย มาตรา 116 (2)-(3) เพราะการพูดอภิปรายในวงเสวนาเป็น "การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต" เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 34 รับรองไว้ มิได้มีลักษณะเป็นการ "ปลุกปั่นยุยง" หรือ "ปลุกระดม" ที่มีเจตนาเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ที่ "ถึงขนาด" ที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินแต่อย่างใด
คำว่า "ถึงขนาด" แสดงว่า การกระทำอันจะถือได้ว่าเป็นการปลุกปั่นยุยงซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตาม มาตรา 116 นี้ จะต้องมีผลทำให้ประชาชนจำนวนมากลุกฮือขึ้นก่อการจลาจลหรือความไม่สงบในระยะเวลาที่ไม่ห่างจากที่มีการปลุกปั่นยุยงหรือปลุกระดมเช่นนั้นกับประชาชน แต่การพูดถกแถลงในวงเสวนาครั้งนี้ไม่ปรากฎว่ามีการสร้างความปั่นป่วน ความกระด้างกระเดื่องที่ถึงขนาดเป็นการก่อความไม่สงบขึ้นในบริเวณที่มีการเสวนาแต่อย่างใด โดยมิพักต้องพิจารณาว่าถึงขนาดก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งจะต้องมีประชาชนจำนวนมากเข้าเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
ความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 116 นี้ ตามกฎหมายต่างประเทศเรียกว่า "Sedition" หรือ "Seditious Libel" ซึ่งเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญว่าการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดหรือไม่ จะต้องปรากฏว่า อันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการปลุกปั่นยุยงหรือปลุกระดม (ได้แก่ ความปั่นป่วน ความกระด้างกระเดื่อง การล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และการก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร)นั้น เป็นอันตรายที่ชัดเจน และเป็นปัจจุบันปรากฏขึ้นแล้วหรือใกล้จะถึงหรือไม่ (clear and present/imminent danger)"
นอกจากนี้ ในกรณีที่มีการแจ้วข้อกล่าวหากับ ดร.ชลิตา นายพนัส กล่าวว่า "การบังคับใช้ ป.อาญา มาตรา 116 (ความผิดฐานปลุกปั่นยุยง) ต้องไม่เป็นการทำลายล้างสาระสำคัญของเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 34
การกล่าวโดย ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ ว่า แม้แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 (ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรที่แบ่งแยกไม่ได้) ก็ควรพิจารณาแก้ไขได้ หากเป็นสาเหตุที่ทำให้แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ไม่ได้ ไม่เข้าช่ายเป็นการกระทำความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 116(1) เพราะตราบใดที่ยังมิได้มีการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอันเป็นผลโดยตรงจากการกล่าวเช่นนั้น และใน การกล่าวเช่นนั้น มิได้มีการใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้ายผู้อื่นให้ยอมกระทำตามที่กล่าวแต่อย่างใด กรณีย่อมไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามองค์ประกอบที่กำหนดไว้ในมาตรา 116 (1) นั้น
การที่ กอ.รมน. ร้องทุกข์กล่าวโทษ ดร.ชลิตา ว่า กระทำความผิดตามป.อาญา มาตรา 116 จึงเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของ ดร.ชลิตา ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเธอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 34 เพราะเป็นการมุ่งทำลายสาระสำตัญของการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าว ด้วยการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 116 ปิดปากไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องดังกล่าวโดยสิ้นเชิง"
https://www.facebook.com/t.panat/posts/2786921381319940
กลุ่มเกษตรกร บุกปชป. จวก "จุรินทร์" ไร้หัวใจ บ่นชุมนุม 21 วัน "เฉลิมชัย" ไม่เคยมาแล
https://www.matichon.co.th/politics/news_1703110
กลุ่มเกษตรกร บุกปชป. หลังทำผิดสัญญารับปากนำ7ข้อเรียกร้องเข้าบอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ จวก “จุรินทร์” ไร้หัวใจ บ่นชุมนุม 21 วัน “เฉลิมชัย” ไม่เคยมาแล
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เวลา 15.10 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มชาวเกษตรกรจากทั่วประเทศ นำโดย นายชุมพร จินตนาวสาร แกนนำเกษตรจังหวัดตาก ที่ปักหลักชุมนุมริมคลองปะปาข้างกระทรวงการคลัง ซึ่งชุมนุมมาแล้ว 21 วัน ประมาณ 500 คนได้เดินเท้าข้ามถนนพระรามหก มายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อทวงสัญญาณ 7 ข้อ จากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกร โดยก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องผ่านนายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์) และชาวเกษตรกรได้เข้าพบนายไชยยศมาถึง 2 ครั้งแล้ว ซึ่งก็ได้รับปากว่าจะบรรจุข้อเรียกร้องเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมบอร์ดของกองทุนที่จะมีการประชุมในวันที่ 8 ต.ค. นี้ แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ในวาระการประชุมยังไม่มีเรื่องนี้บรรจุไว้
นายชุมพร กล่าวอีกว่า นายจุรินทร์ยังไม่เคยออกมาพูดว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา จึงอยากถามว่า นายจุรินทร์ไม่มีหัวใจการเป็นเกษตรกรหรืออย่างไร และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ไม่เคยลงมาดูหรือเยี่ยมผู้ชุมนุมเลยทั้งที่ชุมนุมกันมา 21 วันแล้ว มีแต่เพียงนักการเมืองพรรคอื่นที่มาช่วยดูแล
นายชุมพร กล่าวต่อพ.ร.บ.กองทุนดังกล่าว มีนายชวน หลีกภัย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีการบริหารกองทุนฯ ทำให้เกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์จากกองทุนนี้ แต่กลับเอื้อประโยชน์ให้กับสถาบันการเงินของเอกชน ดังนั้นพวกตนจึงต้องออกมาเรียกร้องต่อพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดใหญ่ในวันที่ 8 ต.ค. พวกตนจะปักหลักชุมนุมอยู่ต่อที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้านำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมก็จะเดินทางกลับข้างกระทรวงการคลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยดูแลความเรียบร้อยจากสน.บางซื่อ สน.ทุ่งสองห้อง และตำรวจจากสันติบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าข้อเรียกร้อง7ข้อ ประกอบด้วย
1. หนี้สหกรณ์การเกษตรที่ฟ้องและกำลังดำเนินคดี ขอให้หยุดดำเนินคดีจนกว่ากองทุนฟื้นฟูฯ จะเข้ามาซื้อหนี้
2. ขอให้เป็นคนกลางในการเจรจาหนี้สหกรณ์การเกษตร กรณีวัตถุประสงค์เข้าหลักเกณฑ์ที่กองทุนฟื้นฟูฯ สามารถซื้อหนี้ได้
3. ขอจำหน่ายหนี้สูญตามกฎกระทรวงการคลังกำหนด (กฎกระทรวงฉบับที่ 186 ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ พ.ศ. 2534) กรณีคุณสมบัติเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนด
4. หนี้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินคดี ขอให้ชะลอไว้จนกว่าจะได้รับการจัดการหนี้จากกองทุนฟื้นฟูฯ
5. กรณีหนี้ค้างชำระให้ชะลอทุกกรณี (หนี้ ธ.ก.ส.)
6. กรณีลูกหนี้เสียชีวิตห้ามไม่ให้หักเงินฌาปณกิจ (ลูกหนี้ ธ.ก.ส.)
และ 7. กรณีขอกู้เงินกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน มีการประเมินล่าช้าและไม่ผ่านหลักเกณฑ์ของกองทุนหมุนเวียน