ในวัฒนธรรมของทุกชนชาติบนโลก ล้วนมีตำนานของตัวเอง โดยเฉพาะในวันวานที่มนุษย์ยังต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่ยังคงลึกลับ และทรงพลังสำหรับพวกเขา ตำนานต่างๆถูกเล่าขานสืบกันมาในฐานะเทพเจ้า ไม่ก็สัตว์ร้ายที่ทรงพลัง และเรื่องราวในบทความนี้ คือ หนึ่งในตำนานเหล่านั้น ชาวเมารีเรียกมันว่า โปวาไก (Pouakai) อสูรร้ายในตำนานที่มีต้นกำเนิดจากสัตว์ที่เคยมีอยู่จริงบนโลก
"นิวซีแลนด์แบ่งเป็น 2 เกาะใหญ่ๆ ประกอบด้วยเกาะเหนือ และเกาะใต้ ล้อมรอบด้วยเกาะขนาดเล็กราว 600 เกาะ โดยเกาะเหนือมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง มีภูเขาไฟที่ยังไม่สงบคุกรุ่นอยู่ ส่วนเกาะใต้ เป็นแนวเทือกเขาสูง ซึ่งส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ"
คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 คือช่วงเวลาที่ถูกเรียกว่า ยุคแห่งการสำรวจ ชาวยุโรปคิดค้นเข็มทิศ และเทคนิคการเดินเรือที่ล้ำยุค พวกเขาออกแสวงหาดินแดนใหม่ๆทั้งบนบกและในทะเล หนึ่งในนักสำรวจเหล่านั้นคือกะลาสีชาวดัตช์ อาเบล ทาสมาน (Abel Van Tasman) เขาล่องเรือสำรวจรอบทวีปออสเตรเลียจนนำไปสู่การค้นพบดินแดนใหม่อย่าง หมู่เกาะมอริเชียส เกาะแทสมาเนีย และเอาเตอารัว (Aotearoa) หรือในภาษาเมารีคือดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว ซึ่งชาวโลกรู้จักกันในชื่อหมู่เกาะนิวซีแลนด์
"เกาะนิวซีแลนด์ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ด้วยความที่หมู่เกาะแยกตัวออกจากแผ่นดินใหญ่มานานกว่า 80 ล้านปี ทำให้สัตว์ และพืชพันธุ์ที่เจริญเติบโตที่นี้ มีวิวัฒนาการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างจากที่อื่นๆบนโลก สัตว์ป่า พืช และนกหลายชนิดพบได้เฉพาะในนิวซีแลนด์เท่านั้น"
วันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1642 คณะสำรวจของอาเบลสังเกตเห็นชายฝั่งของเกาะนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรก และเริ่มแล่นสำรวจตามแนวชายฝั่งทางเหนือและตะวันออกของเกาะ ก่อนจะพบว่าเกาะแห่งนี้มีผู้อาศัยอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาคือชาวเมารี (Maori) ชนเผ่านักรบร่างกายกำยำที่มีนิสัยกล้าหาญและดุร้าย การพบกันครั้งแรกของกะลาสีชาวยุโรปและชนพื้นเมือง ลงเอยได้ไม่ดีนัก เมื่อชาวเมารีมองว่านักสำรวจเหล่านี้เป็นผู้รุกรานและเข้าจู่โจมคณะของอาเบลจนมีผู้เสียชีวิตไปหลายคน
"กะลาสีชาวดัตช์ชื่อ อาเบล ทาสมาน (Abel Van Tasman) ชาวยุโรปผู้ค้นพบเกาะนิวซีแลนด์"
หลังการสำรวจของอาเบล ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักสำรวจคนอื่น จนกระทั่งปีค.ศ. 1769 กัปตันเจมส์ คุก (James Cook) ชาวอังกฤษได้ล่องเรือมายังนิวซีแลนด์พร้อมลูกเรือชาวตาฮิติที่พอจะสื่อสารกับชาวเมารีได้ ครั้งนี้คณะชาวยุโรปจึงได้รับการต้อนรับอย่างดี จนนำไปสู่การค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในที่สุด
"ชนเผ่าเมารี พร้อมท่าเต้นฮากา (Haka) อันภาคภูมิใจของพวกเขา"
ชาวยุโรปพบว่าชาวเมารีเป็นชนเผ่านักรบที่กล้าหาญ และมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในวัฒนธรรมที่เลื่องชื่อคือ ท่าเต้นฮากา (Haka) ซึ่งเป็นการเต้นบูชาพระเจ้าของชนเผ่าเมารีเพื่อข่มขู่ศัตรูในยามศึกสงคราม ปัจจุบันถูกปรับมาใช้ในพิธีการสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานแต่งงาน และอื่นๆ รวมไปถึงท่าเต้นปลุกใจก่อนลงสนามในทีมกีฬารักบี้ของนิวซีแลนด์ แต่บทความนี้จะขอเล่าถึงตำนานที่ถูกเล่าขานกันมารุ่นต่อรุ่นเกี่ยวกับอสูรกายจากฟากฟ้าอันน่าสะพรึงกลัว พวกมันบินโฉบลงมาสังหารผู้คนด้วยกรงเล็บอันแหลมคม ก่อนจะพาร่างของพวกเขากลับไปยังรังบนยอดภูเขา ไม่มีใครเคยหนีรอดจากกรงเล็บของมันไปได้ แค่เสียงกระพือปีกก็มากพอจะฝังความกลัวเข้าไปในจิตใจของผู้ที่ได้ยิน ชาวเมารีขนานนามอสูรร้ายตนนี้ว่า โปวาไก (Pouakai)
“กาลครั้งหนึ่ง นักรบผู้หนึ่งนามว่า Te Hau o Tawera เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอสูรร้ายโปวาไกที่ออกมาล่าคนในหมู่บ้านกินเป็นอาหาร เมื่อรับฟังถึงความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน เขาก็อาสาที่จะกำจัดสัตว์ร้ายตนนี้ นักรบผู้กล้าหาญพร้อมกับทหารติดอาวุธจำนวน 50 คน เดินทางไปยังตีนภูเขาทารานากิ (Taranaki) ในคืนที่ไร้แสงจันทร์ และสร้างกับดักที่ทำจากต้นอ่อนของมานูก้า (Manuka) และใบเฟิร์น นักรบผู้นั้นสั่งให้ทหารของเขาซ่อนตัวอยู่ใต้กับดักที่เตรียมไว้ ส่วนตัวเขาจะปีนขึ้นไปยังยอดภูเขาเพื่อล่ออสูรร้ายออกจากรัง ทันทีที่โปวาไกสังเกตเห็น มันสยายปีกโผบินสู่ท้องฟ้าและพุ่งโฉบลงมาหมายจะสังหารนักรบผู้นั้น แต่นักรบหนุ่มวิ่งหนีสุดชีวิตไปยังแนวกับดักที่วางเอาไว้ เสี้ยววินาทีก่อนที่กรงเล็บจะพรากชีวิตของเขาไป ทหารทั้ง 50 นายที่หลบซ่อนอยู่ก็ปรากฎตัวขึ้น พร้อมกับรุมปาหอกใส่โปวาไกจนมันร่วงลงสู่พื้นดินและสิ้นใจตายในทันที”

"ตำนานของโปวาไก (Pouakai) ถูกเล่าขานในหมู่ชนเผ่าเมารีที่อาศัยอยู่ตามแนวเทือกเขาทารานากิ (Taranaki) ของเกาะใต้ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของอินทรียักษ์ในอดีต อย่างไรก็ตาม ตำนานที่คล้ายคลึงยังพบได้ในชนเผ่าทางเกาะเหนือด้วย"
ตำนานเรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในตำนานหลายๆเรื่องเกี่ยวกับโปวาไกที่ถูกเล่าขานกันมาในกลุ่มชนเผ่าเมารี ชาวยุโรปที่ได้ยินเรื่องราวนี้ครั้งแรกคงคิดว่ามันไม่ได้แตกต่างจากตำนานอื่นในยุโรปเท่าใดนัก อย่างอัศวินผู้กล้าบุกเข้าไปในรังมังกรซึ่งเฝ้ากองสมบัติอันมีค่า หรือจับตัวเจ้าหญิงผู้เลอโฉมไว้ ตำนานเหล่านี้มักถูกแต่งเติมจากจินตนาการของผู้เล่าเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้ฟังหรือเพื่อจุดประสงค์อื่น แต่แล้วในปี ค.ศ. 1871 นักธรณีวิทยา จูเลียส วอน ฮาสท์ (Julius von Haast) ได้มีการค้นพบโครงกระดูกของนกนักล่าขนาดใหญ่ที่บึงเกลนมาร์ก (Glenmark) ในแคนเทอร์บิวรี (Canterbury) หลังศึกษาอยู่หลายปี พวกเขาก็ตระหนักว่า สิ่งที่พวกเขาค้นพบนั้นมีปีกยาวกว่า 3 เมตรและอาจมีน้ำหนักมากถึง 15 กิโลกรัม นับว่าขนาดของมันใหญ่กว่านกนักล่าทุกชนิดที่รู้จักกันในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีกรงเล็บที่ยาวและแหลมคมราวกับอุ้งเล็บของเสือโคร่ง สิ่งมีชีวิตนี้คือ อดีตผู้ปกครองที่เคยอยู่เหนือทุกมวลชีวิตในหมู่เกาะนิวซีแลนด์ นักล่าชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร และเจ้าของตำนานอสูรร้ายโปวาไก ตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวในจิตใจของเหล่าบรรพบุรุษชาวเมารี ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมันคือ ฮาร์ปากอร์นิส โมโอเรย์ (Harpagornis moorei) พญาอินทรีที่มีขนาดใหญ่ และทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยค้นพบ

"จูเลียส วอน ฮาสท์ (Julius von Haast) นักธรณีวิทยาชาวเยอรมัน ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แคนเทอร์บิวรี (Canterbury Museum) ในเมืองไครสต์เชิร์ช (Christchurch) และเป็นผู้ค้นพบโครงกระดูกของนกอินทรียักษ์"
(ต่อโพสล่าง)
เปิดตำนานโปวาไก (Pouakai) พญาอินทรีกินคนแห่งหมู่เกาะนิวซีแลนด์
“กาลครั้งหนึ่ง นักรบผู้หนึ่งนามว่า Te Hau o Tawera เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอสูรร้ายโปวาไกที่ออกมาล่าคนในหมู่บ้านกินเป็นอาหาร เมื่อรับฟังถึงความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน เขาก็อาสาที่จะกำจัดสัตว์ร้ายตนนี้ นักรบผู้กล้าหาญพร้อมกับทหารติดอาวุธจำนวน 50 คน เดินทางไปยังตีนภูเขาทารานากิ (Taranaki) ในคืนที่ไร้แสงจันทร์ และสร้างกับดักที่ทำจากต้นอ่อนของมานูก้า (Manuka) และใบเฟิร์น นักรบผู้นั้นสั่งให้ทหารของเขาซ่อนตัวอยู่ใต้กับดักที่เตรียมไว้ ส่วนตัวเขาจะปีนขึ้นไปยังยอดภูเขาเพื่อล่ออสูรร้ายออกจากรัง ทันทีที่โปวาไกสังเกตเห็น มันสยายปีกโผบินสู่ท้องฟ้าและพุ่งโฉบลงมาหมายจะสังหารนักรบผู้นั้น แต่นักรบหนุ่มวิ่งหนีสุดชีวิตไปยังแนวกับดักที่วางเอาไว้ เสี้ยววินาทีก่อนที่กรงเล็บจะพรากชีวิตของเขาไป ทหารทั้ง 50 นายที่หลบซ่อนอยู่ก็ปรากฎตัวขึ้น พร้อมกับรุมปาหอกใส่โปวาไกจนมันร่วงลงสู่พื้นดินและสิ้นใจตายในทันที”