พระอรหันต์ร้องไห้ ... ชัวร์หรือมั่วนิ่ม ?



https://www.amarintv.com/news-update/news-14319/296153/
อรหันต์ก็ร้องไห้ได้!! เพจธรรมะชี้เป็นกิริยา ยกตัวอย่างครั้งพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพาน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
มหาปรินิพพานสูตร (บางส่วน)

[๑๕๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลาย
นั้น ภิกษุเหล่าใด ยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว ภิกษุเหล่านั้น บางพวกประคอง
แขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า
พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธานเสียเร็วนัก ส่วนภิกษุเหล่าใดที่มีราคะไป
ปราศแล้วภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะอดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยงหนอ เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน ฯ


     [๑๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวย
ร้องไห้อยู่ว่า
เรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่ง
เป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสีย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถาม
พวกภิกษุว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน พวกภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ท่านอานนท์นั้น เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวยร้องไห้อยู่ว่า
เรายังเป็นเสขบุคคล มีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้
อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสีย พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า
เธอจงไปเถิดภิกษุ จงบอกอานนท์ตามคำของเราว่า ท่านอานนท์ พระศาสดา
รับสั่งหาท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่าน
พระอานนท์ถึงที่ใกล้ ครั้นเข้าไปหาแล้วบอกว่า ท่านอานนท์ พระศาสดา
รับสั่งหาท่าน ท่านพระอานนท์รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ฯ
             ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านว่า
อย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร้าโศก ร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่
หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของ
ชอบใจทั้งสิ้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่ง

ใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนา
ว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูกรอานนท์ เธอได้
อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ซึ่ง
เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีสอง หาประมาณมิได้มาช้านาน เธอ
ได้กระทำบุญไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่มี
อาสวะโดยฉับพลัน ฯ

***พระสูตรใช้คำว่า ธรรมสังเวชกับพระอรหันต์ ส่วนพระที่ยังมิได้เป็นพระอรหันต์รวมถึงพระอานนท์ (ขณะนั้นเป็นโสดาบัน)  ร้องไห้


ธรรมสังเวช คืออะไร ??

เมื่อค้นคำว่า สังเวช

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

ธรรมสังเวช ความสังเวชโดยธรรมเมื่อเห็นความแตกดับของสังขาร (เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์);
       ดู สังเวช


แสดงผลการค้น ลำดับที่  2 / 3
สังเวช ความสลดใจ, ความกระตุ้นให้คิด, ความรู้สึกเตือนสำนึก;
       ในทางธรรม ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงาม เกิดความไม่ประมาท เพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช
       ความสลดใจ แล้วหงอยหรือหดหู่เสีย ไม่เรียกว่าเป็นความสังเวช

แสดงผลการค้น ลำดับที่  3 / 3
สังเวชนียสถาน สถานเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช, ที่ที่ให้เกิดความสังเวช มี ๔ คือ
       ๑. ที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือ อุทยานลุมพินี ปัจจุบันเรียก ลุมพินี (Lumbini) หรือ รุมมินเด (Rummindei)
       ๒. ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ ควงโพธิ์ ที่ตำบล พุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh-Gaya)
       ๓. ที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียก สารนาถ
       ๔. ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือ กุสินคร (Kusinagara) บัดนี้เรียก Kasia;
       ดู สังเวช

ดูความหมายแล้ว ธรรมสังเวช ไม่ถึงกับร้องไห้  ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ คือ ความสังเวชโดยธรรมเมื่อเห็นความแตกดับของสังขาร (เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์) พระอรหันต์รู้แจ้งความจริงของสังขารแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา ดังที่พระพุทธเจ้ารับสั่งกับพระอานนท์  แต่พระที่มิใช่พระอรหันต์ พระสูตรบอกชัดเจน รวมพระอานนท์ซึ่งเป็นโสดาบันก็ร้องไห้
ความคิดเห็นที่ 12
พระอรหันต์ร้องไห้ ... ชัวร์หรือมั่วนิ่ม ?

ตอบ มั่วนิ่ม (คนไร้ใจย่อมไม่หลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก เสียใจ แม้เป็นน้ำตาแห่งการปีติในธรรม ก็ยังไม่มีจะไหล ยกเว้นกริยาจิต เช่น เวทนาทางกาย ที่ไม่สามารถรบังคับได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของกายนี้จริง สุดแต่ตัวมันจะเป็นไป แต่ใจไม่ยึดถือ ประมาณนี้แล... )
ความคิดเห็นที่ 11
ผู้เดินตามพระพุทธเจ้าอยู่ในกระแสพุทธธรรม มรรค8
กำหนดรู้ทุกขอริยสัจ
การยึดมั่นในวัตถุธาตุ วัตถุกามตัวตนของตน ที่เป็นที่เกิดอาศัยของความรู้ ความรู้สึกอารมณ์(ส่วนที่สุดโต่ง2 กามสุขทุกข์) เป็นตัวทุกข์
*ผู้พิจารณาตรึกตรองเปรียบเทียบตามเห็นจำแนก อริยสัจ4 พุทธธรรม จนเกิดดวงตาเห็นธรรมตามความเป็นจริง โสดาบัน เห็นชอบ*
กำหนดรู้ละทุกขสมุทัยอริยสัจ
โสดาบัน น้อมจิตเดินตาม ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าอยู่ในกระแสพุทธธรรม อริยสัจ4 มรรค8
นึกคิด ละอายบุญ กลัวบาป ระวังความรู้ ละความรู้สึกอารมณ์ที่ติดใจ(ละกิเลสตัณหา3 ละส่วนที่สุดโต่ง2 ละสังโยชน์10)
1.ทานละความพอใจติดใจ อยากทำให้(คนที่คิดว่าดี)เกิดเจริญ ส่วนที่สุดโต่ง1
ยินดี(ปีติ) สุขสบาย หรือ สุข สงบในฌาน เกิดญาณหยั่งรูอดีตอนาคตปัจจุบัน(พรหม เทพ อวตาร อาศัยร่างกายวัตถุกาม ตัวตนพูดทำโลภ)
ชรา-มรณะ เกิดตามกฎไตรลักษณ์ พร้อมสืบต่อ เสื่อมแก่เจ็บดับจากความดีสุขสงบ วนกลับสลับเกิดอีก
รักษาศีล จิต รักษาสภาวะที่สงบจากความรู้สึกอารมณ์ใดๆ ที่ดีไม่ดี ละสังสารวัฏ ด้วยความยินดี(ปิติ สุข อนุโมทนาสาธุ กุศล)
2.ทานละความไม่พอใจขัดใจ ติดใจ อยากทำให้เกิดเจริญยิ่งๆขั้นไป หรืออยากทำให้(คนที่คิดว่าไม่ดี)เสื่อมแก่เจ็บดับสูญไป ส่วนที่สุดโต่ง2
ไม่ยินดี(ริษยา) ตระหนี่ ร้อนลำบากจิตใจ(พรหมเทพ อวตาร ในรูปมาร  อาศัยร่างกายวัตถุกาม ตัวตนพูดทำโกรธ) และ
(3)ทานละความไม่แน่ใจ ติดใจ หลงลังเลห่วงกังวลกลัวเหงาหดหู่ซึมเศร้า ในส่วนที่สุดโต่งทั้ง2
(พรหมเทพ อวตาร ติดอยู่ในรูปคนสัตว์ ผีปีศาจ เปรตอสุรกาย อาศัยร่างกาย วัตถุกามตัวตนพูดทำหลงสุขทุกข์ เกิดดับสลับกัน)
ชรา-มรณะ เกิดตามกฎไตรลักษณ์ พร้อมสืบต่อ เสื่อมดับจากความไม่ดีบาปทุกข์ วนกลับสลับเกิดอีก
รักษาศีล จิต สภาวะที่สงบจากความรู้สึกอารมณ์ใดๆ ที่ดีไม่ดี ละสังสารวัฏ ด้วยความยินดี(ปิติ สุข อนุโมทนาสาธุ กุศล)
*ละส่วนที่สุดโต่ง2 ความติดใจ พอใจไม่พอใจ และ ไม่แน่ใจ ที่เกิดดับสลับกัน ในรูปกามนามสุขทุกข์ บุญบาป สวรรค์นรก ภพ3 และ
รูปอรูปฌาน ญาณ พรหมโลก สังโยชน์10 ละเบาบางสกิทาคามี ละหมดไปอนาคามี เห็นคิดเพียรสติสมาธิชอบ ละวางเฉยสงบจิตใจ*

กำหนดรู้ละให้แจ้งทุกขนิโรธอริยสัจ และ ปฏิบัติให้เจริญทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
อนาคามี น้อมจิตเดินตาม ปฏิบัติ พูดทำเลี้ยงชีพชอบ สร้างบารมี ตามปัญญาญาณพระพุทธเจ้า อยู่ในกระแสพุทธธรรม(อริยสัจ4 มรรค8)
มีดวงตาเห็นธรรม มีญาณ อุเบกขาญาณ ทานละวางเฉยต่อส่วนที่สุดโต่ง2 รับมาให้คืน ให้อภัยเป็นทาน ให้อโหสิกรรมตนเอง คนอื่น
รักษาศีล รักษาจิต ตั้งจิตวางเฉยสงบต่อส่วนที่สุดโต่ง2 สงบจากกามสุขทุกข์ ด้วยความยินดี(ปีติ สุข อนุโมทนา สาธุ)
รักษาสภาวะจิตที่สงบจากความรู้สึกอารมณ์ใดๆ ที่ดีไม่ดี ให้เกิดง่าย เร็ว นานสืบติดต่อกันไปให้ถึงจิตสุดท้าย
เพื่อปัญญา วิชชา แสงสว่าง แจ้งในการดับทุกข์(ภัย) และไม่ให้กลับมาเกิดทุกข์(ภัย)อีก อรหันต์ เกิดปัญญาญาณตาม(ของ)พระพุทธเจ้า

*ฝากพิจารณา ตามเห็น ตรึกตรอง เปรียบเทียบ จำแนก นามสภาวะจิต89(ความรู้ กำหนดรู้ หยั่งรู้ ตามเจตสิก52)
เจตสิก52(นึกคิดปรุงแต่งความรุ้ ด้วยความรู้สึกอารมณ์) อาศัยรูปวัตถุธาตุ28 ใจร่างกายวัตถุธาตุ(วัตถุกามตัวตนของตนพูดทำ)
ด้วยตานอก(สัญชาตญาณ ในร่างกาย วัตถุกาม วิญญาณในภพ3) หรือตาใน(รูปอรูปฌาน ญาณ พรหมโลก)
หากผิดพลาด ไม่มีประโยชน์ กราบขออภัยเป็นทาน ขออโหสิกรรม เพื่อไม่สืบต่อกรรมดีไม่ดีต่อกัน(ไม่สืบต่อ กามสุขทุกข์ ภพ3)*
ความคิดเห็นที่ 6
ดูแต่สิ่งที่เห็นด้วยตา ก็มโนกันไป
การร้องไห้คืออะไร?
เมื่อสังโยชน์10 เป็นสิ่งที่หมดสิ้นแล้ว
อภิชฌาและโทมนัสไม่มีในโลก
มองโลกเป็นเพียงพยับแดด
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อะไรๆจะเป็นอย่างไร ต้องเป็นไปตาม
หลักธรรมเหล่านี้
ความคิดเห็นที่ 1


https://dailynews.co.th/regional/735203
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่