แฟนมานอูชาวเกาะ ใครหัวร้อนก็เอาน้ำมนต์รดหัวด้วยนะครับ ขนาดคนดูบอลเป็นอย่างบอบู๋แห่งมานอูยังยืนยันเอง
บอกโลกว่าข้าตายยาก!
กำลังจะเสียสถิติชนะรวดอยู่รอมร่อ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็ยังอุตส่าห์มีชัยเป็นเกมที่ 8 ติดต่อกันในซีซั่นนี้ และต่อไปนี้คือมุมมองจากท่านผู้ชมทางบ้านที่ดูด้วยสายตาของปีศาจ !!!
1. หงส์แดงเหนือกว่าด้วยคุณภาพของผู้เล่น แถมได้เปรียบจากการเป็นเจ้าบ้านจึงเป็นฝ่ายครองบอลพลางทำเกมรุกบุกได้มากกว่าตามฟอร์ม
ปัญหาคือเหมือนไม่ค่อยละเอียดในการรุก แม้จะมีโอกาสทำประตูมากกว่า แต่ไม่สร้างความลำบากใจให้ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล สักเท่าไหร่
เฉพาะอย่างยิ่ง โม ซาล่าห์ ที่พอสวมบทหน้าเป้าแล้วพิษสงลดลงไปเยอะเลย
2. อย่างไรก็ตามในช่วง 2-3 นัดที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มักเป็นแบบนี้ คือบุกไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องบ้าง ไม่ต่อเนื่องบ้าง แต่เดี๋ยวก็หาจังหวะยิงตุงตาข่ายได้เองนั่นแหละ
แล้วก็จริง จังหวะที่ขึ้นนำมาจากการจ่ายบอลแค่ไม่กี่ครั้งจากหน้าเขตโทษตัวเอง ก่อนที่ เจมส์ มิลเนอร์ จะวางยาวแบบคิลเลอร์พาสส์ทีเดียวให้ ซาดิโอ มาเน่ หลุดไปเผด็จศึก ซึ่งต้องขอบคุณอดีตเด็กผีอย่าง จ้อน อีแวนส์ ที่กะจังหวะพลาด แถมสกัดว่าวอีกตะหาก
3. ช่วงครึ่งแรก เลสเตอร์ ไม่มีอะไรเลยนะครับ ความเร็วระดับทะลุมิติของ เจมี่ วาร์ดี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะ ลิเวอร์พูล บุกแบบรัดกุม หลังไม่ได้ลอยขึ้นสูงเกินไป ซ้ำแดนกลางตัดเกมได้ตลอด ไม่อนุญาตให้สวนกลับเร็ว โอกาสยิงจึงเท่ากับ 0
ครึ่งหลัง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ส่ง มาร์ค อัลไบรท์ตัน มาเปิดบอลริมเส้น แม้จะทำอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อย มันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการโจมตี และสร้างความกดดันในแผงหลังของคู่แข้งบ้าง
ต่อเมื่อ ลิเวอร์พูล ยังทิ้งห่างไม่ได้ พวกจิ้งจอกก็ยังอยู่ในเกม ว่าแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มระดับการรุกมากขึ้นด้วยการถอดมิดฟิลด์ตรงกลางออกไป 1 ตัว แล้วส่งหน้าอย่าง เปเรซ ลงมาโขยกพลางปรับหมากเตะเป็น 4-2-3-1 ขยับ เจมส์ แมดดิสัน มาเป็นกองหน้าตัวที่ 2 โดยเริ่มมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะยิงตีเสมอได้สำเร็จ
ตอนนั้นเหลือเวลาแค่ 10 นาที เลสเตอร์ เหมือนได้ใจแทนที่จะถอยกลับมารับ เพื่อเอาเสมอ กลับคิดการใหญ่ว่าจะ 'เอาตาย' เลยเปิดฉากบุก แต่ดันกล้าๆ กลัวๆ จนไปไม่สุด เพราะพอใกล้หมดเวลา ดันถอด แมดดิสัน ออกแล้วส่งมิดฟิลด์หัวฟูๆ ลงมาช่วยเกมรับเป็นการกวักมือเรียกให้เจ้าบ้านบุกในช่วงสุดท้าย
จุดโทษ...ชัดเจนนะครับ ในสายตาของผู้ชมทางบ้านอย่างผม หลังได้ดูภาพช้า หากทะลึ่งเถียงเท่ากับเอานิ้วเปียกๆ แหย่ปลั๊กไฟ 220 โวลต์ แล้วมันตลกตรงคนที่สังหารได้ชัวร์ที่สุดในทีมอย่าง มิลเนอร์ ทั้งได้ลงเป็นตัวจริง แถมไม่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปก่อน ประหนึ่งใครบางคนเขียนบทล่วงหน้าเอาไว้ให้เป็นแบบนี้
ภาษาอังกฤษพากย์ว่า 'Destiny'
4. ขอยกตำแหน่ง 'ผู้เล่นทรงคุณค่า' ในเกมนี้ให้ ซาดิโอ มาเน่ ไม่เพียงแต่จะยิง 1 แอสซิสต์ 1 (จากการเรียกจุดโทษ) พี่ณเดช คูกิชิมิคะ ยังสลับโจมตีคู่แข่งทั้งด้านซ้ายและด้านขวา นอกจากจะบีบแบ็คซ้ายของ เลสเตอร์ อย่าง เบน ชิลเวลล์ ไม่ให้เติมขึ้นมาเปิดบอล ยังถอยลงไปช่วยซ้อนฟูลแบ็คตัวเองในเกมรับสกัดการบุกของคู่แข่งได้หลายจังหวะ
5. ลิเวอร์พูล และนาทีนี้ตายยากยิ่งกว่า 'เจสัน' อีกนะครับ ฟอร์มการเล่นอาจไม่น่าประทับใจ แถมยังเสียประตู

เกือบทุกนัด ทว่าผลสุดท้าย ไม่ใช่แค่เอาตัวรอด แต่เป็นผู้ชนะตลอด
ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องดงเรื่องดวง หรือเทพีแห่งโชคเข้าข้างอะไรแล้วล่ะ
พวกเขายกตูดตัวเองขึ้นเป็นทีมอีกระดับที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกชั้นบรรยากาศโลก กล่าวคือเล่นได้ไม่ต้องเต็มสปีดความแรง ขอแค่ 60-70% ของมาตรฐานตัวเองก็เพียงพอต่อการเอาชนะคู่แข่งแล้ว !!!
บอ.บู๋
https://www.siamsport.co.th/column/detail/72366
เอาล่ะแฟนมานอูเลิกหัวร้อนกันได้แล้วนะครับ
"ร้อนที่ใจ..แต่อย่าไปถึงหัวนะครับ"^^
............ "จุดโทษชัดเจน"หากทะลึ่งเถียงเท่ากับเอานิ้วเปียกๆ แหย่ปลั๊กไฟ....โดย บอบู๋.............
บอกโลกว่าข้าตายยาก!
กำลังจะเสียสถิติชนะรวดอยู่รอมร่อ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็ยังอุตส่าห์มีชัยเป็นเกมที่ 8 ติดต่อกันในซีซั่นนี้ และต่อไปนี้คือมุมมองจากท่านผู้ชมทางบ้านที่ดูด้วยสายตาของปีศาจ !!!
1. หงส์แดงเหนือกว่าด้วยคุณภาพของผู้เล่น แถมได้เปรียบจากการเป็นเจ้าบ้านจึงเป็นฝ่ายครองบอลพลางทำเกมรุกบุกได้มากกว่าตามฟอร์ม
ปัญหาคือเหมือนไม่ค่อยละเอียดในการรุก แม้จะมีโอกาสทำประตูมากกว่า แต่ไม่สร้างความลำบากใจให้ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล สักเท่าไหร่
เฉพาะอย่างยิ่ง โม ซาล่าห์ ที่พอสวมบทหน้าเป้าแล้วพิษสงลดลงไปเยอะเลย
2. อย่างไรก็ตามในช่วง 2-3 นัดที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มักเป็นแบบนี้ คือบุกไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องบ้าง ไม่ต่อเนื่องบ้าง แต่เดี๋ยวก็หาจังหวะยิงตุงตาข่ายได้เองนั่นแหละ
แล้วก็จริง จังหวะที่ขึ้นนำมาจากการจ่ายบอลแค่ไม่กี่ครั้งจากหน้าเขตโทษตัวเอง ก่อนที่ เจมส์ มิลเนอร์ จะวางยาวแบบคิลเลอร์พาสส์ทีเดียวให้ ซาดิโอ มาเน่ หลุดไปเผด็จศึก ซึ่งต้องขอบคุณอดีตเด็กผีอย่าง จ้อน อีแวนส์ ที่กะจังหวะพลาด แถมสกัดว่าวอีกตะหาก
3. ช่วงครึ่งแรก เลสเตอร์ ไม่มีอะไรเลยนะครับ ความเร็วระดับทะลุมิติของ เจมี่ วาร์ดี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะ ลิเวอร์พูล บุกแบบรัดกุม หลังไม่ได้ลอยขึ้นสูงเกินไป ซ้ำแดนกลางตัดเกมได้ตลอด ไม่อนุญาตให้สวนกลับเร็ว โอกาสยิงจึงเท่ากับ 0
ครึ่งหลัง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ส่ง มาร์ค อัลไบรท์ตัน มาเปิดบอลริมเส้น แม้จะทำอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อย มันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการโจมตี และสร้างความกดดันในแผงหลังของคู่แข้งบ้าง
ต่อเมื่อ ลิเวอร์พูล ยังทิ้งห่างไม่ได้ พวกจิ้งจอกก็ยังอยู่ในเกม ว่าแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มระดับการรุกมากขึ้นด้วยการถอดมิดฟิลด์ตรงกลางออกไป 1 ตัว แล้วส่งหน้าอย่าง เปเรซ ลงมาโขยกพลางปรับหมากเตะเป็น 4-2-3-1 ขยับ เจมส์ แมดดิสัน มาเป็นกองหน้าตัวที่ 2 โดยเริ่มมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะยิงตีเสมอได้สำเร็จ
ตอนนั้นเหลือเวลาแค่ 10 นาที เลสเตอร์ เหมือนได้ใจแทนที่จะถอยกลับมารับ เพื่อเอาเสมอ กลับคิดการใหญ่ว่าจะ 'เอาตาย' เลยเปิดฉากบุก แต่ดันกล้าๆ กลัวๆ จนไปไม่สุด เพราะพอใกล้หมดเวลา ดันถอด แมดดิสัน ออกแล้วส่งมิดฟิลด์หัวฟูๆ ลงมาช่วยเกมรับเป็นการกวักมือเรียกให้เจ้าบ้านบุกในช่วงสุดท้าย
จุดโทษ...ชัดเจนนะครับ ในสายตาของผู้ชมทางบ้านอย่างผม หลังได้ดูภาพช้า หากทะลึ่งเถียงเท่ากับเอานิ้วเปียกๆ แหย่ปลั๊กไฟ 220 โวลต์ แล้วมันตลกตรงคนที่สังหารได้ชัวร์ที่สุดในทีมอย่าง มิลเนอร์ ทั้งได้ลงเป็นตัวจริง แถมไม่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปก่อน ประหนึ่งใครบางคนเขียนบทล่วงหน้าเอาไว้ให้เป็นแบบนี้
ภาษาอังกฤษพากย์ว่า 'Destiny'
4. ขอยกตำแหน่ง 'ผู้เล่นทรงคุณค่า' ในเกมนี้ให้ ซาดิโอ มาเน่ ไม่เพียงแต่จะยิง 1 แอสซิสต์ 1 (จากการเรียกจุดโทษ) พี่ณเดช คูกิชิมิคะ ยังสลับโจมตีคู่แข่งทั้งด้านซ้ายและด้านขวา นอกจากจะบีบแบ็คซ้ายของ เลสเตอร์ อย่าง เบน ชิลเวลล์ ไม่ให้เติมขึ้นมาเปิดบอล ยังถอยลงไปช่วยซ้อนฟูลแบ็คตัวเองในเกมรับสกัดการบุกของคู่แข่งได้หลายจังหวะ
5. ลิเวอร์พูล และนาทีนี้ตายยากยิ่งกว่า 'เจสัน' อีกนะครับ ฟอร์มการเล่นอาจไม่น่าประทับใจ แถมยังเสียประตู
ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องดงเรื่องดวง หรือเทพีแห่งโชคเข้าข้างอะไรแล้วล่ะ
พวกเขายกตูดตัวเองขึ้นเป็นทีมอีกระดับที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกชั้นบรรยากาศโลก กล่าวคือเล่นได้ไม่ต้องเต็มสปีดความแรง ขอแค่ 60-70% ของมาตรฐานตัวเองก็เพียงพอต่อการเอาชนะคู่แข่งแล้ว !!!
บอ.บู๋
https://www.siamsport.co.th/column/detail/72366
เอาล่ะแฟนมานอูเลิกหัวร้อนกันได้แล้วนะครับ
"ร้อนที่ใจ..แต่อย่าไปถึงหัวนะครับ"^^