Review : โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ : โนบิตะสำรวจดินแดนจันทรา อีกก้าวของการดัดแปลงจากตอนสั้นๆของโดราเอมอนที่ลงตัวที่สุด



โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ : โนบิตะสำรวจดินแดนจันทรา เป็นผลงานภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องที่ 5 ของซีรีส์โดราเอมอน นับตั้งแต่การรีบู๊ตตัวภาพยนตร์เมื่อปี 2006 ที่เป็นการดัดแปลงจากตอนสั้นของการ์ตูนโดราเอมอนมาเป็นเนื้อหาที่ลึกซึ้งขึ้น หรืออัพสเกลเนื้อหาให้มากขึ้นจากต้นฉบับเดิม (นับตั้งแต่ภาค ตะลุยแดนพฤกษา , สงครามเงือกใต้สมุทร, พิพิธภัณฑ์ของวิเศษ , และ คาชิโคชิ การผจญภัยขั้วโลกใต้ของโนบิตะ) 

เนื้อเรื่องโดยย่อนั้น กล่าวถึงโนบิตะได้ทราบข่าวของสิ่งลึกลับประหลาดและเชื่อว่ามันคือกระต่ายบนดวงจันทร์ (แน่นอนว่าโดนหัวเราะเยาะแน่ๆ) โนบิตะกับโดราเอมอนจึงได้ร่วมมือกันใช้ของวิเศษที่ชื่อว่า เครื่องสร้างสมมติฐาน ที่ได้ทำให้ดวงจันทร์เป็นที่ๆอาศัยอยู่ได้ และได้สร้างอาณาจักรกระต่ายขึ้นมา แต่ในครั้งล่าสุด โนบิตะได้พบกับเด็กชายลึกลับผู้นึงที่ชื่อว่า ลูก้า และในจังหวะนั้นก็ได้มีผู้ไม่หวังดีกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้ามาที่ดวงจันทร์ที่มีอาณาจักรกระต่ายเข้ามาพอดี ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากต้นตอของเด็กผู้ชายลึกลับคนนั้นจริงหรือ และเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร

การนำเสนอของเดอะมูฟวี่ภาคนี้ อ้างอิงจากตอนสั้นตอนหนึ่งของโดราเอมอนที่มีชื่อว่า เครื่องสร้างสมมติฐาน และเข็มกลัดเห็นต่าง ทั้งสองชิ้นนี้เป็นเครื่องที่เคยใช้สร้างตัวละครตัวจิ๋วในโลกสมมติที่มีเพียงคนที่ติดเข็มกลัดเท่านั้นที่จะมองเห็นสภาพแวดล้อมสมมตินั้นๆได้ (อารมณ์ Tomorrowland ถ้าเอาออกคือจะกลายเป็นสภาพจริงๆในตอนนั้นทันที ระหว่างที่ไปแดนสมมติ คนใส่ก็จะเหมือนคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนคนบ้ายังไงยังงั้น) ในครั้งนั้นเป็นการสร้างดินแดนสมมติจากบ่อน้ำเก่าๆที่ภูเขาหลังโรงเรียน แต่ในเดอะมูฟวี่ครั้งนี้ โดราเอมอนได้ใช้ของวิเศษชุดนี้บนดวงจันทร์ที่มีเงื่อนไขซับซ้อนกว่า (เพราะเล่นไกลถึงอวกาศ) และได้นำวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นมาเป็นธีมหลักของภาคนี้ นั่นคือ กระต่ายบนดวงจันทร์ และพิธีกรรมบูชาดวงจันทร์สมัยก่อน ทั้งนี้ตัวละครร่วมจะอ้างอิงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในสมัยก่อนด้วยเช่นกัน ใครที่อินกับเนื้อหาของความเชื่อญี่ปุ่นดั้งเดิมจะเข้าใจได้ไม่ยาก

ด้านเนื้อหาของภาพนี้ โดยรวมเป็นโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ที่เดินสายกลางสุดๆ ตลอดทั้งเรื่องเราแทบจะไม่เจอสิ่งที่แตกต่างไปจากที่โดราเอมอนเดอะมูฟวี่เคยทำ การนำเสนอของเนื้อหาก็มีความเรียบง่ายไม่มีความซับซ้อนมากมาย ความลึกซึ้งของเรื่องราวก็ทำให้อินไปกับมันได้แต่ไม่ถึงกับไม่อิมแพ็คไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และจุดอ่อนที่เกิดขึ้นในภาคนี้ที่สำคัญคือ เนื่องจากว่าตัวละครร่วมหลายคนมีบทที่เด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ภาคก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด การเกลี่ยบทบาทของตัวละครโดยรวมมีปัญหาตามมา บางคนที่ปูมาแบบดีสุดๆถูกลดบทบาทไปอย่างน่าเสียดายแทน ส่วนบางตัวละครก็เด่นเกินจนแย่งซีนไปเสียอย่างนั้น

แต่สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยมเลยก็คือ การปูเรื่องและการนำเสนอที่พอเล่ามาแล้วมันรู้สึกมีเหตุมีผล แม้จะไม่ใช่เรื่องราวที่บาดใจชนิดที่บีบเค้นความรู้สึกได้แบบถึงพริกถึงขิง แต่ก็ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นมีความอินพอที่จะเอาใจช่วยไปพร้อมกันได้ ไม่ใช่แรงผลักดันที่เกิดขึ้นลอยๆหรือมาแบบไม่มีที่ไปจนน่าเบื่อ นอกจากนี้ตามที่บอกไว้ด้านบน ตัวละครส่วนใหญ่ล้วนน่าเอาใจช่วยเพราะมีการส่งบทที่ดี และถ้าทำความเข้าใจเนื้อหาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง จะมีการสอดแทรกความหนักอึ้งของเนื้อหาเข้าไปหน่อยนึงด้วย

ด้านเพลงประกอบนั้น มีการใช้เพลงค่อนข้างน้อย แต่เข้ากับธีมของเรื่อง และสถานการณ์แต่ละฉากได้อย่างยอดเยี่ยม บางฉากมีการ remix ใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆได้แบบชวนขนลุกด้วย

งานภาพ มีความสวยงามตามแบบฉบับของโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ แต่จะมีความดรอปลงไปในฉากที่สำคัญๆบางจุด ทำให้บางฉากมีความกร่อยเสียอย่างนั้น

เป็นโดราเอมอน เดอะมูฟวี่ อีกภาคนึง ที่ดูแล้วไม่เสียดดายเงินแน่นอน ถ้าไม่ได้คาดหวังกับสิ่งที่เกินกว่าความเป็นโดราเอมอน เด็กดูได้กับความสวยงามของการนำเสนอ และผู้ใหญ่ก็ดูดีในเรื่องการย้อนความหลังตอนที่เคยดูมาก่อน และวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณ สำหรับบางคนที่เป็นชาวอนิเมะบางกลุ่มอาจได้มีตัวแตกชัวร์ๆหลังดูเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้เซอร์วิสโนบิตะได้เด่นกว่าเรื่องอื่นจริงๆ 

เนื้อหา : 7/10
การนำเสนอ : 9/10
เพลงประกอบ : 8/10
งานภาพ : 7.5/10

Verdict : 7.8 / 10
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่